เล่มที่ 7 บทที่ 181 เงื่อนไขสกปรก

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ในเมื่อตอนนี้พระองค์ตระเตรียมกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์เอาไว้แล้ว หากเปิ่นกงต้องการลดจำนวนทหารให้เหลือเพียงห้าหมื่น ไม่ทราบว่าพระองค์จะคิดเห็นเช่นไร?”

ฮองเฮาเอ่ยเสียงเรียบแต่ถึงกระนั้นก็ยังเจือไว้ซึ่งน้ำเสียงสงสัยอันเสแสร้ง

หยาดเหงื่อพรั่งพรูบนแผ่นหลังของฮ่องเต้หมิง

หากมิใช่เพราะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับหมิงเยว่ ฮองเฮาคงไม่รีบพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

ยามนี้ฮ่องเต้หมิงรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในสงครามระหว่างสวรรค์และมนุษย์

จะยังคงดึงดันเรื่องหมิงเยว่หรือยอมถอยหลังหนึ่งก้าว

ทั้งหมดล้วนถูกฮองเฮากำหนดเอาไว้แล้ว

นานกว่าฮ่องเต้หมิงจะถอนหายใจแล้วกล่าวด้วยความไม่เต็มใจเท่าไรนัก

“ในเมื่อฮองเฮาได้ตัดสินพระทัยเอาไว้แล้ว เช่นนั้นฮ่องเต้องค์เล็กๆ เช่นข้าคงมิอาจขัดพระประสงค์ ทว่าลูกสาวของกระหม่อมจะต้องไม่ตายเปล่า”

ฮองเฮาเดาคำตอบเอาไว้อยู่แล้ว

ริมฝีปากบางยกยิ้มก่อนจะเอ่ย

“ฮ่องเต้หมิงโปรดวางใจ เปิ่นกงจะหาคำอธิบายให้กับพระองค์อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องทหาร เปิ่นกงเป็นเพียงสตรีที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ดังนั้นจึงไม่ประสีประสาเรื่องกำลังไพร่พลเท่าไรนัก ไม่ทราบว่าฮ่องเต้หมิงคิดเห็นเช่นไร?”

ฮ่องเต้หมิงเหลือบมองฮองเฮา เพราะเหตุนี้แม้ฮ่องเต้จะประชวรอย่างยาวนานแต่ต้าจิ้นกลับยังสงบสุขอยู่ได้

ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งกว่าลูกชายของเขามาก

“กระหม่อมจะปลดทหารจำนวนห้าหมื่นนาย อีกทั้งยังเพิ่มเครื่องราชบรรณาการอีกเท่าตัว มิทราบว่าฮองเฮาคิดเห็นเช่นไร?”

เครื่องราชบรรณาการที่มอบให้แก่ต้าจิ้นเทียบเท่าจำนวนทรัพยากรหนึ่งในสามของซีฟานที่ผลิตได้ต่อปี

การเพิ่มจากหนึ่งเท่าเป็นสองเท่า อีกทั้งยังลดกำลังทหารอีกห้าหมื่นคน ฮ่องเต้หมิงมิต่างอะไรจากคนขาดทุนย่อยยับ

“ทหารหนึ่งแสนคน? เหตุเพราะฮ่องเต้กำลังประชวร พระองค์จึงดูถูกพวกเราสองแม่ลูกกระนั้นหรือ?”

ดวงตาคมกริบดั่งหงส์ของฮองเฮาจ้องมองฮ่องเต้หมิงด้วยความเย็นชา

แม้จะเป็นถึงฮ่องเต้หมิงแต่ก็มิอาจนิ่งเฉยต่อสายตาของนางได้

ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง

สุดท้ายฮ่องเต้หมิงก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้

“เช่นนั้นฮองเฮารับสั่งมาเถิดว่าควรปลดทหารกี่คนจึงจะเหมาะสม?”

บทสนทนาของทั้งคู่เสมือนการต่อรองราคา ฮองเฮาหัวเราะแผ่วเบา ก่อนหยิบชาขึ้นจิบ

“อันที่จริงหากฮ่องเต้หมิงจะเก็บทหารเอาไว้หนึ่งแสนคนก็มิใช่ปัญหา ทว่าเปิ่นกงมีเงื่อนไขหนึ่งข้อ เปิ่นกงต้องการทหารฝีมือดีจำนวนสามหมื่นคนจากหนึ่งแสนคนของฮ่องเต้หมิงเพื่อเอาไว้รับใช้เปิ่นกงเท่านั้น”

เงื่อนไขของฮองเฮาทำให้สีหน้าของฮ่องเต้หมิงเปลี่ยนไป

“ฮองเฮา กระหม่อมเห็นว่าเรื่องนี้ทำได้ยากยิ่ง ซีฟานอยู่ห่างออกไปถึงหนึ่งพันลี้ ไม่ทราบว่าพระองค์จะคัดเลือกทหารเหล่านั้นเช่นไร?”

ฮองเฮามองฮ่องเต้หมิงก่อนจะเอ่ยช้าๆ

“เปิ่นกงจะส่งแม่ทัพคนหนึ่งไปดูแลทหารทั้งสามหมื่นคน แต่ฮ่องเต้หมิงโปรดวางพระทัย อันที่จริงทหารเหล่านั้นยังคงอยู่ในการครอบครองของพระองค์ เพียงแค่…หากวันใดเปิ่นกงต้องใช้งาน พวกเขาจึงจะต้องมารับใช้เปิ่นกงแต่เพียงผู้เดียว”

คิดไม่ถึงเลยว่าฮองเฮาจะมีจุดประสงค์เช่นนี้

สีหน้าของฮ่องเต้หมิงยิ่งไม่น่ามอง

หากไม่ตอบตกลง เกรงว่าฮองเฮาจะต้องรีบสั่งให้ปลดทหารเหล่านั้นทันที

แต่ถ้าหากตอบตกลง เช่นนั้นคนที่ฮองเฮาส่งมาสอดแนมก็มิต่างอะไรจากมีดที่กำลังจ่อคอ

ทหารหนึ่งแสนคนล้วนเป็นยอดฝีมือ

แม้เขาอาจจะซื้อใจของคนที่ฮองเฮาส่งมาได้ แต่ก็ใช่ว่าฮองเฮาจะไม่รู้เรื่องนี้

เกรงว่านางจะต้องคิดหาวิธีรับมือเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน

ผิดกับเขา ทั้งที่ตนเองมาถามหาเอาความผิดจากผู้อื่นแต่กลับโดนบังคับขู่เข็ญเสียเอง

“ฮองเฮา ลูกชายและลูกสาวของกระหม่อมต้องมาตายที่แผ่นดินต้าจิ้น แม้จะไม่มีเรื่องทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างไรกระหม่อมก็ต้องการคำอธิบาย”

เขาครุ่นคิด แต่สุดท้ายทำได้เพียงใช้ความตายของหมิงเยว่และหูลู่หนานมาต่อรอง

“เรื่องนี้…มีความสำคัญค่อนข้างมาก เปิ่นกงคิดว่าหากพระองค์มีพระประสงค์เช่นนั้น เปิ่นกงเองก็จนใจ เช่นนั้นพระองค์ปลดทหารออกอีกสองหมื่นก็แล้วกัน เท่านี้เปิ่นกงก็ไม่ติดใจอะไรแล้ว”

เพียงประโยคนี้หลุดออกมา ฮ่องเต้หมิงรู้สึกว่าตนเองติดกับเข้าเสียแล้ว

อันที่จริงฮองเฮามิได้คิดจะปลดทหารของเขา

แต่นางเพียงต้องการให้เขาเสนอเงื่อนไขออกมา จากนั้นนางจึงใช้โอกาสนี้ในการพลิกสถานการณ์

ชีวิตของลูกสาวและลูกชายถูกแลกไปกับทหารจำนวนสามหมื่นคน

ฮ่องเต้หมิงรู้สึกว่าการต่อรองคงจบแต่เพียงเท่านี้

“เช่นนั้นก็ตกลงตามที่ฮองเฮาตรัสเถิด แต่ถึงอย่างไรกระหม่อมก็ยังต้องการคำอธิบายเรื่องลูกชายและลูกสาว ฮองเฮาได้โปรดหาคำอธิบายให้เร็วที่สุด อาเป่ย พวกเรากลับ”

เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ นั่นเท่ากับว่าการเจรจาจบลงแล้ว

ฮ่องเต้หมิงรู้สึกว่าต่อให้อยู่ต่อก็ไร้ประโยชน์

พาลูกชายของตนเองเตรียมตัวกลับ

“เดินช้าๆ ข้าคงไม่ส่งแล้ว”

ฮองเฮายังคงรักษาท่วงท่าสง่างาม สีหน้าสงบนิ่ง

มองตามสองพ่อลูกเดินจากไป ในที่สุดรอยยิ้มที่มุมปากก็จางหายไป

ไท่จื่อลอบมองมารดาอย่างกระสับกระส่ายเพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไรคราวนี้เขาก็เป็นคนทำพลาด

หมู่โฮ่วเกลียดคนไร้ประโยชน์ที่สุด

เขาพลาดไปแล้วถึงสามครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้เขายังได้รับอนุญาตจากหมู่โฮ่วด้วย

พ่ายแพ้ยังไม่พอ แต่กลับทำให้แผนการของหมู่โฮ่วต้องยุ่งเหยิง

เหตุเพราะจดหมายลับฉบับนั้นฮองเฮาเก็บเอาไว้ให้เขาใช้ประโยชน์

“เอ๋อร์เฉินไร้ความสามารถ หมู่โฮ่วได้โปรดลงโทษด้วย”

ไท่จื่อรีบทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ฮองเฮานั่งอยู่บนที่ประทับของตนเอง ทว่าสายตากลับมองทอดยาว มิหันมาเหลือบแลไท่จื่อเลยแม้แต่น้อย

“เฮ้อ ลุกขึ้นเถิด เรื่องนี้จะโทษเจ้าก็ไม่ได้”

ไท่จื่อคิดไม่ถึงเลยว่าหมู่โฮ่วจะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา

ชำเลืองมองมารดาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ยังดีที่แม้ใบหน้าจะปรากฏความมิพึงพอใจแต่ก็มิได้เย็นชา

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดคราวนี้เจ้าจึงพ่ายแพ้?”

ไท่จื่อครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า

“เหตุเพราะหัวใจของเจ้าไม่อำมหิตเท่านาง หากข้าสั่งให้เจ้าจัดการหมิงเยว่ เจ้าจะทำเช่นนั้นหรือไม่?”

เพียงพูดถึงหมิงเยว่ ไท่จื่อรู้สึกอยากอาเจียน

ตอนที่องครักษ์นำศพออกไป เขาได้เห็นเพียงแขนข้างหนึ่งที่โผล่ออกมา

กระดูกสีขาวโผล่ออกมาจากเนื้อหนังที่ชโลมไปด้วยเลือด รูปลักษณ์แปลกประหลาดผิดมนุษย์

ไม่เพียงแค่เขา แม้แต่องครักษ์ที่ได้เห็นยังอดที่จะอาเจียนออกมาไม่ได้

ศพของนางน่าเวทนาเหลือเกิน

“เอ๋อร์เฉิน…เอ๋อร์เฉิน…”

ฮองเฮาพิศดูลูกชายของตนเองก่อนจะทอดถอนหายใจ

“หนทางแห่งการเป็นฮ่องเต้จะต้องผ่านร้อนผ่านหนาวหรือแม้กระทั่งต้องหลั่งเลือดและฆ่าฟัน หากเจ้าอยากจะชนะ เจ้าจะออมมือไม่ได้ เรื่องนี้ลูกสาวของสกุลหลินเก่งกว่าเจ้ามาก”

คำพูดของฮองเฮาทำให้ร่างกายของไท่จื่อสั่นเทิ้ม

ก่อนที่คลื่นลูกใหญ่จะปรากฏขึ้นในใจ

“หมู่โฮ่วกำลังหมายความว่า…”

“หากคิดอยากเอาชนะศัตรูของเจ้า วิธีการหาใช่สิ่งสำคัญไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหนึ่งอย่าปล่อยให้ไฟคลอกตัวเอง สองคือต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ”

ฮองเฮาเข้าไปพยุงลูกชายของตนเอง

ภายใต้การปกป้องของนาง ไม่ว่าไท่จื่อจะทำอะไรก็ล้วนราบรื่น

ฉะนั้นหลังจากที่หลินเมิ้งหยาปรากฏตัว ไท่จื่อก็เริ่มวิตกกังวล

แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ

ที่หลินเมิ้งหยาลงมืออย่างโหดเหี้ยมอำมหิตในคราวนี้ก็เพื่อประกาศเตือนไท่จื่อ

แต่ที่น่าสนใจก็คือตอนนี้มีคนพลิกสถานการณ์ทุกอย่างต่อหน้านางได้สำเร็จ

ดูเหมือนนางจะต้องวางแผนรับมือกับคุณหนูใหญ่สกุลหลินผู้นี้ให้ดีเสียแล้ว

“เอ๋อร์เฉินเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ในที่สุดดวงตาของไท่จื่อก็ปรากฏร่องรอยบางอย่าง

ฮองเฮาพยักหน้า ไม่ว่าฮ่องเต้หมิงหรือหลงเทียนอวี้ ทุกคนล้วนมีค่าพอให้นางยื่นมือเข้าไปกำจัดแล้ว

เมื่อกลับมาถึงจวนหลินเมิ้งหยาก็หลับสนิทบนรถม้าเสียแล้ว

หลงเทียนอวี้ค่อยๆ ช้อนตัวนางอย่างระมัดระวังแล้วอุ้มนางกลับไปยังตำหนักหลิวซิน

“ท่านอ๋อง นายหญิงเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?”

ป๋ายจียืนถือโคมไฟรออยู่หน้าตำหนัก

ป๋ายซูล่วงหน้ามาก่อนเพื่อแจ้งข่าวแก่ทุกคนในตำหนักหลิวซิน

สาวใช้อีกสามคนรอท่าอยู่แล้ว

“เมิ้งหยาได้รับบาดเจ็บ เจ้าไปเตรียมยาใส่แผลและน้ำสะอาดมา”

กระซิบเสียงเบาเพราะกลัวหญิงสาวในอ้อมแขนจะตกใจตื่น

สาวใช้ทั้งสี่มองหลินเมิ้งหยาในอ้อมกอดของท่านอ๋องตาปริบๆ

เขาอุ้มหลินเมิ้งหยาเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะวางร่างบางลงช้าๆ

แม้จะหลับสนิทแต่คิ้วกลับขมวดเข้าหากันแน่น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางกำลังเจ็บปวด

“ทุกครั้งที่นางได้เจอกับเจ้า นางมักจะเกิดเรื่องเสมอ”

เสียงตำหนิระคนขุ่นเคืองดังขึ้นจากด้านหลัง

หลงเทียนอวี้ยันกายลุกขึ้น เห็นเป็นใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของชิงหู

เขาเดินอาดๆ เข้ามายืนตรงหน้าหลงเทียนอวี้ ในมือมีขวดยามากมาย

“ถอยไป ข้าจะทำแผลให้เจ้าเด็กน้อย เจ้ายังกล้าพูดได้อีกหรือว่าตัวเองเป็นชายชาตรี ขนาดหญิงสาวตัวเล็กๆ เจ้ายังปกป้องนางเอาไว้ไม่ได้”

คำพูดส่อเสียดทิ่มแทงหัวใจกระทบโสตประสาทอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของหลงเทียนอวี้เคร่งขรึมลงในทันที

ทว่าเมื่อเห็นชิงหูทำแผลให้หลินเมิ้งหยาอย่างเบามือ เขาทำได้เพียงอดทน

“ทำแผลเสร็จแล้วก็ไสหัวไป”

ทุกคืน เย่มักจะกลับไปที่ตำหนักฉินหวู่เพื่อรายงานเรื่องหลินเมิ้งหยาให้เขาฟัง

คนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดนอกจากหลินเมิ้งหยาแล้วก็คือเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์คนนี้

ไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยากำลังคิดอะไร ยิ่งเวลาผ่านไปนางยิ่งสนิทสนมกับเจ้าจิ้งจอกคนนี้

แม้จะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองดีแต่หัวใจของเขากลับยากที่จะยอมรับ

ราวกับว่าของล้ำค่าของเขาถูกคนอื่นแทะโลมอย่างไรอย่างนั้น

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าบ้านี่ถึงได้รับความไว้ใจจากหลินเมิ้งหยา

หากมิเป็นเช่นนั้น ป่านนี้เขาคงสั่งให้คนมาฆ่าชิงหูให้ตายไปนานแล้ว

อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องเข้ามาขวางหูขวางตาเช่นนี้

“พี่สาว…พี่สาวไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

ยังไม่ทันที่ชิงหูจะทำแผลเสร็จ เสียงตื่นตระหนกของหลินจงอวี้พลันดังขึ้น

ชายหนุ่มที่อยู่ข้างเตียงทั้งสองยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปากเพื่อส่งสัญญาณมิให้หลินจงอวี้โวยวายจนหลินเมิ้งหยาตื่น

หลินจงอวี้รีบหุบปากสนิท ทว่าเขาเองก็หยิบยาออกจากวงแขนเช่นเดียวกับชิงหู

“นี่คือยาเหลียวซางเซิ่ง รีบใส่ให้พี่สาวเถิด มันจะทำให้นางรู้สึกดีขึ้น”

ชิงหูเลิกคิ้วสูง คิดไม่ถึงว่าหลินจงอวี้จะใจกว้างขนาดนี้

นี่คือยาหายากอันดับต้นๆ ซึ่งยากที่จะพบ

หยิบมันมาอย่างรวดเร็วก่อนจะใส่ลงบนบาดแผลของหลินเมิ้งหยา

“ชิ…ใครมันกล้าทำให้พี่สาวข้าบาดเจ็บเช่นนี้?”

หลินจงอวี้ทั้งเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยว สีหน้าของเขาดำถมึงทึง

เขาเรียนรู้วิทยายุทธ์มาจากคนเหล่านั้นราวครึ่งปีแล้ว ดังนั้นคนที่เรียนรู้เร็วแบบก้าวกระโดดเช่นเขาจึงสงบนิ่งกว่าก่อน

แต่หลังจากได้เห็นบาดแผลของหลินเมิ้งหยา เขากลับควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้

———–