เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในแต่ละวัน นอกจากทุกคนจะต้องฝึกฝนตามรายการฝึกที่ข้าจัดไว้ให้แล้ว ท่านทั้งหลายตรงหน้านี้ยังจะช่วยฝึกพวกเจ้าเป็นพิเศษอีกด้วย แน่นอนว่า หากพวกเจ้าคนใดสามารถล้มท่านใดท่านหนึ่งในนี้ได้ พวกเจ้าสามารถผ่านด่านนี้ไปได้เลย อย่างไรบ้าง อยากลองดูไหม”

 

 

ประโยคนี้มีความยั่วยุเจืออยู่ และคนในกองทัพไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ต่างก็เป็นคนเลือดร้อนด้วยกันทั้งสิ้น มีคนคนหนึ่งพุ่งตัวออกมาแทบจะในทันที เป้าหมายอยู่ที่คนที่ดูแข็งแรงที่สุดในนั้น ส่วนคนอื่นๆ ต่างเลือกเป้าหมายของตน เพียงครู่เดียวก็เกิดเสียงดังอุตลุดขึ้น คนที่พุ่งตัวออกมานั้นต่างล้มลงกับพื้นจนลุกไม่ขึ้น ชายหนุ่มคนที่รูปร่างเล็กที่สุดยังได้ปัดมือเบาๆ เอ่ยกับเยี่ยหลีด้วยความดูแคลนว่า “คุณชาย คนที่ท่านเลือกมานี้ไม่อ่อนหัดเกินไปหน่อยหรือ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ “เดิมทีพวกเขามิได้เป็นยอดฝีมือด้านวิทยายุทธอยู่แล้ว อีกทั้งข้าก็มิได้อยากได้ยอดฝีมือจำนวนมากเช่นนี้”

 

 

ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “ไม่ต้องการยอดฝีมือด้านวิทยายุทธแล้วให้พวกเรามาทำอันใดหรือ”

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมถามกลับว่า “ท่านสามารถฝึกคนให้เป็นยอดฝีมือได้ภายในสามเดือนหรือ”

 

 

ชายหนุ่มผู้นั้นถึงกับพูดไม่ออก ต่อให้เขามั่นใจในตนเองเพียงใด แต่เขาก็รู้ดีว่า การเรียนวิทยายุทธนั้นมิได้จะสำเร็จภายในช่วงเวลาสั้นๆ ตัวเขาเองได้รับการยกย่องว่ามีพื้นฐานเป็นเลิศและมีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ แต่กว่าที่เขาจะเป็นได้เช่นทุกวันนี้ ก็ต้องผ่านการฝึกอย่างหนักมาเป็นสิบปี

 

 

“ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องจะให้พวกเรามาทำอันใด แต่ในเมื่อเป็นบัญชาของท่านอ๋อง พวกเราก็จะเชื่อฟังคุณชาย เช่นนั้นคุณชายสั่งการมาได้เลย” คนที่อายุค่อนข้างมากคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

 

เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้า “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่า ที่แท้คนของท่านอ๋องจะซ่อนเขี้ยวเล็บได้เก่งกาจเช่นนี้ ไม่นึกเลยว่าจะยังมียอดฝีมืออย่างพวกท่านอยู่ด้วย แต่พวกท่านวางใจได้ ข้าจะไม่รบกวนเวลาพวกท่านนานนัก เพียงต้องการให้พวกท่านคอยชี้แนะเคล็ดวิชาให้พวกเขาในช่วงสองเดือนนี้เท่านั้น เป็นอย่างไรบ้าง ยังมีผู้ใดอยากลองอีกหรือไม่” คนก่อนหน้าพวกเขาพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเช่นนั้น พวกเขาย่อมต้องรู้หลบเป็นปีก

 

 

เยี่ยหลีพอใจเป็นอย่างยิ่ง นางยิ้มก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้น…เริ่มที่การวิ่งก่อนก็แล้วกัน สนามด้านนอกนั่นเห็นแล้วใช่หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยของพวกเจ้า ข้าได้ให้คนปลูกหญ้ากันงูไว้ให้ด้วย ตอนกลางวันพวกเจ้าอยู่กันมากเช่นนี้ คงไม่มีสัตว์ป่าหลงเข้ามา พวกเจ้าไปออกกำลังกันรอบๆ บริเวณนี้ก็แล้วกัน” เช่นนั้นความหมายของท่านคือตกกลางคืนจะมีสัตว์ป่าเข้ามาหรือ ทุกคนต่างหันหน้ามองกัน

 

 

ฉินเฟิงมองคนที่อยู่ด้านล่างแล้วได้แต่เอ่ยปากถามด้วยตนเองว่า “พระ…คุณชาย วิ่งเท่าไรขอรับ” เยี่ยหลียิ้มอย่างอ่อนหวาน “วิ่งไปจนกว่าจะล้ม”

 

 

ดังนั้นบรรดานายทหารยอดฝีมือที่ยังคงมึนงงจึงถูกลากออกไปวิ่งกันหมด ถึงแม้พวกเขาต่างไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออันใด แต่พวกเขาต่างก็เป็นคนของกองทัพ การทำตามคำสั่งจึงเป็นเรื่องที่พวกเขาเข้าใจดี

 

 

ดังนั้นยอดฝีมือทั้งแปดคนจึงสั่งให้จัดเรียงแถว คนหลายสิบคนยืนเรียงลำดับเป็นแถวก่อนออกวิ่งไปเป็นวงกลม เหลือเพียงฉินเฟิงที่หันมองเยี่ยหลีที่กำลังอารมณ์ดีอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก

 

 

เยี่ยหลียิ้มตาหยีพร้อมกวักมือเรียกเขา “ลองเอาไปอ่านดู ช่วงเจ็ดวันนี้ลองทำความคุ้นเคยเช่นนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ต่อจากนี้ไว้ข้าจะลองปรับเปลี่ยนดู”

 

 

ฉินเฟิงก้มหน้าลงมองม้วนกระดาษในมือ ตัวอักษรแต่ละตัวนั้นเขาต่างรู้จักเป็นอย่างดี เพียงแต่เมื่อมารวมอยู่ด้วยกันแล้วเขากลับไม่เข้าใจความหมายของมันเลย ทุกวันช่วงเช้าและช่วงเย็นยิงธนู ประลองการต่อสู้ วิ่งอันใดนี่ ต่อให้เขาไม่รู้แต่ก็ยังพอเข้าใจความหมายอยู่บ้าง แต่กระบอกคู่ วิดพื้นนี่คืออันใดกัน มีประโยชน์อันใด สำหรับฉินเฟิงแล้ว ในกระดาษแผ่นนี้นอกจากยิงธนูและประลองการต่อสู้แล้ว ข้ออื่นๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ทำไม่เป็นก็ไม่เป็นไร รอให้องครักษ์ลับสองและสามพอมีเวลาว่างก่อน ข้าจะให้พวกเขามาสอนพวกเจ้า เดิมทีข้าคิดจะให้องครักษ์ลับสองมาดูแลคนกลุ่มนี้ แต่คิดไปคิดมา ตัวเจ้าเองก็เป็นหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉี คงมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชามากกว่าองครักษ์ลับสอง ดังนั้น…หากพอมีเวลาอย่าลืมเพิ่มส่วนของเจ้าเข้าไปด้วยล่ะ”

 

 

ครั้นเห็นสีหน้ายิ้มแย้มอย่างใสซื่อของหนุ่มน้อยหน้าตาดีตรงหน้าแล้ว ไม่รู้เหตุใดฉินเฟิงถึงรู้สึกขนลุกขึ้นมา สัญชาตญาณบอกเขาว่าสองสามเดือนนี้จะต้องผ่านไปอย่างยากลำบากเป็นแน่

 

 

ทั้งสองกระโดดขึ้นไปบนหลังคา จึงได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นอยู่ที่ลานด้านนอกอย่างชัดเจน เยี่ยหลีปัดมือก่อนนั่งลงบนหลังคา มองกลุ่มคนที่วิ่งอยู่และมีคนล้มลงไปเรื่อยๆ แล้วได้แต่ส่ายหน้า “นี่คือยอดฝีมือจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีของพวกเจ้าหรือ คงไม่ได้ขี่แต่ม้า จนวิ่งสู้องครักษ์ลับไม่ได้กระมัง”

 

 

ฉินเฟิงกัดฟัน ในบรรดาองครักษ์ลับยี่สิบนายนั้น มีอย่างน้อยสิบห้านายที่มีวิทยายุทธเชียวนะ

 

 

“ผู้ใดกล้าใช้วิชาตัวเบา จะต้องกระโดดขึ้นไปบนหน้าผาและกระโดดกลับลงมา ไปกลับยี่สิบรอบ!” เยี่ยหลีมองจ้ององครักษ์ลับเจ้าเล่ห์สามสี่คนที่วิ่งอยู่ด้านล่าง แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม องครักษ์ลับที่กำลังมองสภาพร่อแร่ของสหายด้วยความได้ใจถึงกับขาอ่อนจนเกือบทรุดลงกับพื้นทันที

 

 

ไม่ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ เย็นวันนั้นเมื่อเขาติดตามเยี่ยหลีเดินทางออกจากที่นี่ ก็อดหันไปมองบรรดายอดฝีมือของตำหนักติ้งอ๋องที่กำลังปีนกำแพงอยู่อย่างหมดเรี่ยวหมดแรงด้วยความเห็นใจไม่ได้ ครั้นได้ยินเสียงเห่าหอนของสัตว์ป่าตัวใดก็ไม่รู้ดังแว่วมาจากในป่า ก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า ที่พระชายาพบสถานที่เช่นนี้ซ้ำยังอยู่ห่างจากเมืองหลวงมาเพียงไม่ไกลนั้น เพราะเทพบนสวรรค์รู้สึกไม่พอใจอันใดพวกเขาหรือไร

 

 

“พระชายา ข้าน้อย…ต้องอยู่คอยดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ยอดฝีมือกลุ่มนั้นเป็นยอดฝีมือจริงๆ ไม่ผิด แต่แต่ละคนดูจะไม่ใช่คนที่ออกคำสั่งนายทหารชั้นเลิศที่มีความทระนงตนได้เลย หากเกิดพิพาทกันเข้าคงกลายเป็นเรื่องใหญ่

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเขาหนีไปไหนไม่ได้หรอก หากหนีไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จัดการตามโทษหนีทหาร!”

 

 

ข้าเป็นกังวลว่าพวกเขาจะหนีหรือ

 

 

“ตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่มีเวลามาคอยดูพวกเขาทุกวัน ช่วงแรกให้พวกเขาตีกันไปก่อนก็ไม่เป็นอันใดหรอก ขอเพียงอย่าให้ถึงแก่ชีวิตเป็นใช้ได้ เจ็ดวันหลังจากนี้ ข้าจะให้องครักษ์ลับสองและสามผลัดกันมาคอยสอนพวกเขา”

 

 

ฉินเฟิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “ข้าน้อยไม่เข้าใจ พระชายาจะใช้ให้พวกเขาทำอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“พวกเขาทำอันใดได้ตั้งมากมาย ลอบฆ่า สืบข่าว อารักขา สืบค้น แทรกซึม หลบซ่อน ช่วยเหลือ สอบสวน ไม่ว่าจะเป็นการศึกทางบก ทางน้ำ ในป่า หรือในที่แคบ มีแต่สิ่งที่เจ้าคิดไม่ถึง แต่ไม่มีอันใดที่พวกเขาเรียนรู้ไม่ได้”

 

 

ฉินเฟิงรู้สึกว่าตนหัวทึบไปทันที ต่อให้เป็นนายทหารในหน่วยเฮยอวิ๋นฉีของพวกเขา ก็ไม่มีใครสามารถทำได้มากมายเช่นนี้ “ลอบฆ่า…แล้วยังสืบข่าว อารักขาอันใดนั่นมิใช่หน้าที่ขององครักษ์ลับหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจึงต้องฝึกเพิ่มเป็นพิเศษด้วย พระชายาไม่พอใจองครักษ์ลับหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีหันกลับมายิ้มให้เขาที่มีสีหน้ามึนงงสับสน “ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนนั้นเป็นเรื่องดี เพียงแต่ข้าอยากมีกองกำลังที่ทำได้ทุกอย่างเสียมากกว่า”

 

 

ฉินเฟิงคิดเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นว่า “หากสามารถทำได้ถึงขั้นที่พระชายาว่าจริง ความสามารถในการรบของพวกเราคงสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้เลยทีเดียว”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ที่ว่ายอดฝีมือนั้นเดิมทีก็มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว เช่นเดียวกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉี สิ่งที่พวกเขาต้องเรียนรู้ไม่ใช่เคล็ดวิชาที่นายทหารทั่วไปสามารถทำได้ อีกทั้งไม่ได้จำเป็นต้องมีจำนวนมากถึงเพียงนั้น มีมากไปก็มีแต่จะสิ้นเปลืองกำลังคน เจ้าน่าจะจำได้ว่า คนที่ข้าให้เจ้าเลือกล้วนเป็นคนที่อ่านออกเขียนได้และเคยเรียนหนังสือมา เพียงแค่ข้อนี้ก็มิใช่ว่าทหารทุกคนจะมีได้แล้ว”

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า ในกองทัพ ถึงแม้จะเป็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ยอดฝีมือที่รู้หนังสือกลับมีไม่มากนัก อย่างมากก็เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ฉินเฟิงเริ่มเข้าใจความหมายของเยี่ยหลีแล้ว นี่พระชายาต้องการสร้างคนที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊หรือ เพียงแต่การสร้างคนมีความสามารถจำนวนมากเช่นนี้ จะมีประโยชน์อันใด ข้อนี้เป็นสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจ

 

 

“ใช่สิ ฉินเฟิง” เมื่อใกล้ถึงประตูเมือง เยี่ยหลีดึงม้าให้หยุดลงก่อนหันมามองประเมินฉินเฟิง “เดิมทีเจ้าเป็นหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉี มีกฎอยู่ข้อหนึ่งเจ้าน่าจะรู้ใช่หรือไม่”

 

 

“อันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“รักษาความลับ สิ่งที่เจ้าเห็นในวันนี้ รวมถึงสิ่งที่เจ้าต้องเจอในอีกสามเดือนข้างหน้า หากมิได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามเปิดเผยให้ผู้ใดรู้”

 

 

ฉินเฟิงอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ “รวมถึงท่านอ๋องด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“รวมถึงท่านอ๋องด้วย”

 

 

“ข้าน้อยรับบัญชา”