เมื่อกลับถึงตำหนัก ฟ้าก็เกือบมืดแล้ว วันนี้ฉินเฟิงเองก็ได้รับการกระตุ้นด้วย เมื่อกลับถึงตำหนักจึงรีบไปหาองครักษ์ลับสองและสามเพื่อขอคำปรึกษาด้วยตนเองทันที

 

 

เยี่ยหลีกลับถึงห้องก็พบม่อซิวเหยากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้โคมไฟ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเงยหน้าขึ้นมองนาง “ออกนอกเมืองมาหรือ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า แล้วหมุนตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเดินออกมาอีกครั้ง บนโต๊ะที่ก่อนหน้านี้ว่างเปล่า มีอาหารร้อนๆ วางอยู่เต็มโต๊ะ

 

 

นางรวบผมสลวยขึ้นไว้อย่างง่ายๆ ก่อนโบกมือให้ชิงสยาและชิงซวงถอยออกไป แล้วจึงหันมามองม่อซิวเหยาที่กำลังจ้องมองนางอยู่ ถามเขากลั้วหัวเราะว่า “วันนี้ว่างหรือเพคะ ถึงมิได้อยู่ทำงานในห้องหนังสือ ฝ่าบาทมิได้เรียกท่านเข้าวังไปเมื่อตอนเช้าหรือ”

 

 

หลังจากกลับมาจากชายแดนใต้ ทั้งสองต่างยุ่งกันหัวหมุน ฮ่องเต้ประหนึ่งเกิดชักกระตุกขึ้นมากระนั้น ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะยังมิได้กลับเข้าราชสำนักอย่างเป็นทางการ แต่ฝ่าบาทกลับมีรับสั่งเรียกม่อซิวเหยาให้เข้าวังไปปรึกษาราชกิจไม่เว้นแต่ละวัน

 

 

“เดิมทีก็ไม่มีอันใดหรอก เพียงแค่ช่วงนี้ฝ่าบาทของพวกเราโปรดเรียกขุนนางไปปรึกษาราชกิจเท่านั้นเอง” ม่อซิวเหยาเอ่ยพร้อมยิ้มน้อยๆ ยื่นมือมาดึงเยี่ยหลีมาข้างโต๊ะ บอกเป็นนัยๆ ว่าให้นางรับประทานอาหารเสียก่อน

 

 

ครั้นเห็นว่าอาหารบนโต๊ะล้วนเป็นกับข้าวที่นางชอบ เยี่ยหลีจึงหันไปยิ้มให้เขาด้วยความซาบซึ้งใจ ถึงแม้นางจะยังไม่หิวสักเท่าไร แต่เมื่อกลับถึงบ้านแล้วมีคนเตรียมอาหารไว้ให้เช่นนี้ ความรู้สึกของการมีคนคิดถึงช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเอาเสียเลย

 

 

“ฮ่องเต้จะให้ข้าเป็นธุระจัดการเรื่องสานสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับเป่ยหรงทั้งหมด” เมื่อเห็นเยี่ยหลีรับประทานไปได้พอสมควรแล้ว ม่อซิวเหยาจึงพูดเรื่องนี้ขึ้น

 

 

“ให้ท่านเป็นธุระหรือ” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ดื่มน้ำแกงคำสุดท้ายหมดก็เรียกให้คนมาเก็บไป ก่อนหันมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ “ให้ท่านเป็นธุระหมายความว่าอย่างไร”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มบาง “หมายความว่าให้ข้ามีอำนาจรับผิดชอบทั้งหมด รวมถึงการต้อนรับคณะทูตจากเป่ยหรงที่มารับตัวเจ้าสาว เลือกคนที่ส่งตัวไปแต่งงาน จัดการเรื่องสินเดิมรวมถึงไปส่งตัวเจ้าสาวด้วย”

 

 

เมื่อม่อซิวเหยาพูดจบ เยี่ยหลีก็อดหน้าบึ้งตึงขึ้นมาไม่ได้ “ให้ท่านรับคณะทูตจากเป่ยหรง แล้วยังให้ท่านเป็นคนเลือกคนที่จะส่งไปแต่งงานด้วยหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มมองนาง “อันที่จริงเรื่องเลือกคนที่จะส่งไปแต่งงานนั้นอยากให้เจ้าเป็นคนจัดการ ดังนั้นหลายวันนี้เจ้าคงจะยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกนอกเมือง”

 

 

เยี่ยหลีโบกมืออย่างหมดแรง ไม่ต้องจินตนาการก็รู้ได้ทันทีว่า เมื่อใดที่ข่าวนี้แพร่ออกไปจะเกิดอันใดขึ้นบ้าง ผู้ดีชนชั้นสูงในเมืองหลวงผู้ใดบ้างที่ยินดีส่งบุตรสาวของตนให้แต่งงานไปอยู่ยังดินแดนป่าเถื่อนอย่างเป่ยหรง เกรงว่าพรุ่งนี้แขกที่มาร้องขอความเห็นใจคงมากจนเหยียบธรณีประตูของตำหนักติ้งอ๋องพังเป็นแน่ ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ นางจะไม่เลือกก็ไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเลือกผู้ใดก็ล้วนต้องผิดใจกับผู้อื่นทั้งสิ้น เช่นนั้น ฮ่องเต้ต้องการสร้างศัตรูให้ตำหนักติ้งอ๋องเพิ่มอย่างนั้นหรือ

 

 

“ทางนั้นมีคนคอยดูแลอยู่ ข้าไม่จำเป็นต้องออกนอกเมืองทุกวัน แต่เรื่องแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์นี้สิ ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร”

 

 

ม่อซิวเหยานิ่งคิดก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงบอกเป็นนัยๆ ว่า คุณหนูใหญ่ตระกูลฮว่าเหมาะสมที่สุด ส่วนไทเฮาปักใจกับท่านหญิงหรงหวาเสียมากกว่า เพียงแต่ยามนี้ไทเฮาพูดอันใดไม่ได้มากนัก นอกจากนี้ยังมีคุณหนูสามตระกูลหลิ่ว ตามด้วยท่านหญิงเฉิงโหวที่เป็นหนึ่งในตัวเลือก เพียงแต่พวกนางไม่โดดเด่นนัก เกรงว่าคนเป่ยหรงไม่น่าจะเห็นดีด้วย”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วกล่าวว่า “ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงว่าตัวเลือกจะมีเพียงเทียนเซียงและท่านหญิงหรงหวาเท่านั้นใช่หรือไม่ ในเมื่อฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้เลือกเทียนเซียง เหตุใดจึงไม่มีราชโองการเลยเล่าเพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้ม “ตอนนี้พระองค์กำลังปวดหัวอยู่น่ะสิ เรื่องที่ต้องผิดใจกับผู้อื่น เขาย่อมหวังให้พวกเราเป็นคนทำแทน ข้ารู้ว่าเจ้ากับคุณหนูฮว่าเป็นสหายรักกัน ตัดนางออกไปก็ไม่เป็นอันใดหรอก แล้วเลือกเอาท่านหญิงสักคนในราชวงศ์มาก็ได้แล้ว”

 

 

ของเพียงเป็นมนุษย์ ทุกคนต่างมีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งสิ้น เยี่ยหลีกับฮว่าเทียนเซียงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นางย่อมไม่หวังให้ฮว่าเทียนเซียงถูกเลือกไปแต่งงาน เมื่อเรื่องการเลือกคนไปแต่งงานมาตกอยู่ในมือนางเช่นนี้ ทำให้เยี่ยหลีทั้งหัวเสียและปวดหัวไม่น้อย การจัดการเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าจะเลือกผู้ใดนางย่อมต้องรู้สึกผิด นางยินดีที่จะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ในสนามเสียยังดีกว่าต้องมาจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ดี

 

 

ครั้นเห็นเยี่ยหลีขมวดคิ้ว ม่อซิวเหยาเพียงส่ายหน้าน้อยๆ แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “เมื่อเกิดเป็นราชนิกุลได้รับความเคารพจากประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์หรือการเสียชีวิตในสนามรบล้วนเป็นชีวิตของพวกเขา อาหลีไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเช่นนั้น”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า เพียงพูดว่า “บรรดาท่านหญิงและคุณหนูชนชั้นสูงเหล่านี้ ทุกคนต่างได้รับการดูแลประคบประหงมมาอย่างดี เมื่อแต่งงานไปอยู่เป่ยหรงแล้ว มิรู้เลยว่าจะต้องตกระกำลำบากเพียงใด หากทั้งสองแคว้นต่างมีใจให้กันก็แล้วไป เรื่องเช่นนี้…” ก็เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ทั้งสองแคว้นต่างรู้แก่ใจดี องค์หญิงที่ไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์นั้นก็เป็นเพียงเครื่องสังเวยที่ไร้ประโยชน์นั่นเอง ไม่สานสัมพันธ์กันจะไม่ทำศึกสงครามระหว่างกันก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ต่อให้สานสัมพันธ์กันก็ใช่ว่าจะไม่ทำศึกสงคราม เพียงแค่ทั้งสองฝ่ายต่างยังเตรียมตัวไม่พร้อมเท่านั้น เยี่ยหลีไม่ใช่คนที่ตัดสินใจไม่เด็ดขาด แต่ใจนางนึกรังเกียจการสังเวยที่ไร้ความหมายเช่นนี้

 

 

เมื่อรู้ว่านางอารมณ์ไม่ดี ม่อซิวเหยาจึงไม่หารือเรื่องนี้อีก เขายิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ออกนอกเมืองไปทำอันใดมาหรือ เจ้าขอยืมคนฝีมือดีของข้าไปตั้งแปดคน ทั้งยังเลือกคนจากกองทัพตระกูลม่อ หน่วยเฮยอวิ๋นฉีและองครักษ์ลับไปอีก คิดจะทำอันใดหรือ อาหลีไม่คิดจะบอกข้าจริงๆ หรือ”

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบางๆ ให้เขา “ข้ากำลังอยู่ในช่วงทดสอบ ลองดูว่าสองสามเดือนนี้ผลจะออกมาเป็นเช่นไร หากผลออกมาแล้วข้าจะบอกท่าน หากไม่สำเร็จก็จะคืนคนให้ท่าน”

 

 

ม่อซิวเหยาคิดไปคิดมาก่อนเอ่ยว่า “อาหลีคิดจะฝึกคนกลุ่มหนึ่งไปทำอันใดหรือ องครักษ์ลับข้างกายเจ้าสามสี่คนนั่นก็ฝึกจนฝีมือไม่เลวแล้ว วานนี้หัวหน้าองครักษ์ลับยังพูดกับข้าว่าอยากให้เจ้าช่วยฝึกคนของเขาอีกได้ไหม ได้ยินว่ายามอยู่ที่เมืองหย่งหลิน ผู้ติดตามเจ้าสองคนนั่นยังล้มองครักษ์ลับข้างกายข้าได้อีกด้วยหรือ”

 

 

“ลอบทำร้ายเท่านั้นเอง” เยี่ยหลียิ้ม

 

 

“ลอบทำร้ายได้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว” คนเป็นองครักษ์ลับเคยชินกับการเตรียมพร้อมตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในที่ลับหรือที่แจ้ง คนประเภทนี้ยังถูกคนสองคนลอบทำร้ายได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาฝีมือดีกว่าจริงๆ

 

 

เยี่ยหลีเอียงหน้ามายิ้มให้เขา “รอคนกลุ่มนี้ฝึกสำเร็จแล้วจะเลือกให้เป็นองครักษ์ท่านก็ได้นะ”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้าจะรอดู หากอาหลีฝึกยอดฝีมือออกมาได้จริงๆ คนกลุ่มนี้ก็ให้อยู่อารักขาเจ้าก็แล้วกัน”

 

 

“นั่นคงสิ้นเปลืองเกินไป” เยี่ยหลีส่ายหน้ายิ้มๆ “ถึงเวลาเดี๋ยวท่านก็รู้เองว่าพวกเขามีประโยชน์อันใด อย่ามาแย่งคนกับข้าเป็นพอ ข้าหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่ในกองทัพได้อย่างสง่าผ่าเผย”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ข้ายังคิดว่าอาหลีจะให้พวกเขาเป็นกำลังลับเสียอีก”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “กำลังลับย่อมต้องเป็นไปอย่างลับๆ แต่สิ่งที่ต้องเป็นความลับคือจำนวนคน สถานที่ที่พวกเขาอยู่ ความสามารถที่แท้จริง รวมถึงตัวตนโดยละเอียด แต่มิใช่ผลงานและการมีตัวตนของพวกเขา หากเป็นไปตามที่ข้าคิดไว้ ไม่ช้าก็เร็วจะมีคนรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเขา ไม่มีทางที่จะปิดเป็นความลับได้ ข้าคาดหวังให้พวกเขาเป็นเหมือนทหารธรรมดาทั่วไป มีผลงานมีการตบรางวัล มีความสามารถมีการเลื่อนขั้น”

 

 

หน่วยเฮยอวิ๋นฉียังดีหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นทหารที่ถูกต้องตามกฎ แต่องครักษ์ลับนั้นดูจะเอาเปรียบคนเกินไปสักหน่อย นอกจากคนจำนวนน้อยที่โดดเด่นขึ้นมาเหนือผู้อื่นแล้ว โดยมากตลอดชีวิตขององครักษ์ลับก็เป็นได้เพียงองครักษ์ลับเท่านั้น ไม่มีตัวตนที่เปิดเผย ไม่มีการเลื่อนขั้น ไม่มีเกียรติ ไม่มีสหายและถึงขั้นไม่ได้แต่งงานและไม่มีบุตร โดยมากเมื่ออายุมากแล้วไม่เหมาะจะเป็นองครักษ์ลับ ถึงแม้จะมีตำหนักติ้งอ๋องคอยเลี้ยงดู แต่ด้วยอายุที่ไม่น้อย ชีวิตกว่าครึ่งหนึ่งจึงไม่เหลืออันใดอีก เมื่อเป็นเช่นนี้องครักษ์ลับในตำหนักติ้งอ๋องถึงแม้จะไม่เคยมีประวัติว่ามีผู้ใดที่เป็นคนทรยศมาก่อน แต่ก็คงบอกได้เพียงว่าคนสมัยก่อนให้ความสำคัญกับคำว่าจงรักภักดียิ่งนัก

 

 

ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง “อาหลีมิได้เห็นผู้ติดตามของเจ้าเป็นองครักษ์ลับมาตั้งแต่ต้น เจ้าส่งองครักษ์ลับหนึ่งเข้าไปอยู่ในกองทัพ ตัวเขาในบรรดาองครักษ์ด้วยกันเอง ก็ถือว่าเป็นยอดฝีมืออยู่แล้ว ด้วยความสามารถของเขาย่อมได้เป็นเจ้าคนนายคนในไม่ช้าก็เร็ว องครักษ์ลับสี่ส่งไปจัดการธุระที่ซีหลิง องครักษ์ลับสองและสามที่อยู่ข้างกายเจ้าตอนนี้ เจ้าจึงให้พวกเขาจัดการเรื่องที่ออกหน้าออกตาได้”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “อันที่จริงไม่ว่าจะเรื่องความสามารถหรือสติปัญญา พวกเขาต่างมีดีกว่าคนอื่นมาก แต่ชีวิตกว่าครึ่งหนึ่งกลับต้องหลบซ่อนอยู่ในที่ลับ ข้ารู้สึกว่าเป็นการสิ้นเปลืองบุคคลที่มีความสามารถจนเกินไป อีกทั้ง…เรื่องของใจคนนั้นก็ยากที่จะคาดเดาได้ บางทีวันดีคืนดีพวกเขาอาจไม่อยากหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ลับขึ้นมาก็เป็นได้ หากมีวันนั้นเข้าจริงๆ เกรงว่าคงจะเลวร้ายกว่าการไม่มีองครักษ์ลับมากนัก ดังนั้น ในเมื่อพวกเขามีความสามารถและยินดีที่จะให้ข้าใช้งาน ข้าย่อมมิอาจปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรมได้ แน่นอนว่า…หากมีคนคิดทรยศขึ้นมาจริงๆ ข้าเองก็จะไม่ปล่อยไว้เช่นกัน!”

 

 

ม่อซิวเหยาคิดใคร่ครวญก่อนเอ่ยว่า “ที่อาหลีพูดมามีเหตุผลจริงอยู่ เพียงแต่…บางทีอาหลีอาจไม่รู้ว่าอันที่จริงตระกูลใหญ่โดยมากมักมีกำลังส่วนตัวที่ซ่อนไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองครักษ์ลับที่ติดตัวเหล่านี้ ด้วยเพราะรู้ความลับของผู้เป็นนายมากเกินไป ดังนั้นจึงมีการควบคุมอย่างเคร่งครัด บางตระกูล องครักษ์ลับที่รู้เรื่องมากเกินไปมักมีจุดจบที่การฆ่าปิดปาก”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้…ให้ตำแหน่งหรือลำดับขั้นกับองครักษ์ลับเช่นเดียวกับหน่วยอื่นๆ มีการตบรางวัลและบทลงโทษเช่นเดียวกัน เมื่อถึงกำหนดเวลาค่อยย้ายไปอยู่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีหรือกองทัพตระกูลม่อได้หรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยาเห็นเป็นความแปลกใหม่ จึงยิ้มก่อนเอ่ยถามนางว่า “อาหลีคิดไว้เช่นไร”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “หากการฝึกครั้งนี้เป็นที่น่าพอใจ อายุในตำแหน่งหน้าที่ของคนเหล่านี้จะอยู่ที่ก่อนสามสิบห้าปี หลังจากสามสิบห้าปีไปแล้วพวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลาออก แต่จะเข้าบรรจุในกองทัพตระกูลม่อด้วยลำดับขั้นเดียวกับที่พวกเขาเป็นอยู่ และแน่นอนว่า หากเขามีความสามารถหรือความสนใจด้านอื่นๆ ก็สามารถพิจารณาให้ทำงานด้านบุ๋นหรืองานอื่นๆ ได้ นี่ก็เป็นเพียงความคิดหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรตอนนี้คนก็ยังฝึกไม่สำเร็จ ยังพอมีเวลาให้ไตร่ตรองเรื่องนี้”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว อาหลีต้องการที่จะปูทางอนาคตให้พวกเขาใช่หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า หันสบตาม่อซิวเหยาตรงๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเคยได้ยินประโยคหนึ่งกล่าวว่า ทหารได้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อประเทศชาติแล้ว จึงไม่ควรให้พวกเขาต้องเสียน้ำตาอีก ส่วนทหารสูงอายุและทหารบาดเจ็ดที่ปลดประจำการแล้ว พวกเขาต่างมีชีวิตที่ไม่ดีเท่าไรนัก เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังจัดการเรื่องมากมายเช่นนั้นไม่ไหว ดังนั้นอย่างน้อยต้องจัดการคนในความดูแลของข้าให้เรียบร้อยเสียก่อน” ด้วยเพราะนางเคยเป็นทหารมาก่อน เพียงแต่สิ่งตอบแทนในชาติที่แล้วนั้นย่อมดีกว่าในตอนนี้มากนัก การเป็นทหารในสมัยโบราณมิใช่อาชีพที่มีเกียรตินัก ชายที่ดีย่อมไม่เป็นทหาร เหล็กที่ดีย่อมไม่ตอกตะปู คนที่บรรจุเข้าเป็นทหารโดยมากต่างเป็นคนที่ไม่มีทางเลือกทั้งสิ้น

 

 

“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดอาหลีจึงมีความคิดเช่นนี้ แต่ข้าจะกลับไปใตร่ตรองดูให้ดี” ม่อซิวเหยามองหญิงสาวที่จมอยู่กับความคิด แล้วจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ