เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เยี่ยหลีได้รับโองการเรียกให้เข้าวังจากฮองฮา อันที่จริงที่ฮ่องเต้ไม่เรียกให้นางเข้าวังตั้งแต่วันแรกที่กลับมาถึงเมืองหลวง ก็ทำให้เยี่ยหลีนึกนับถือในความอดทนของม่อจิ่งฉีมากแล้ว

 

 

ด้วยฐานะในตอนนี้ของเยี่ยหลี ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้นอกจากฮ่องเต้ ฮองเฮาและไทเฮาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถอยากพบนางพร่ำเพรื่อได้อีก เพียงแต่ตอนนี้ไทเฮาเรียกได้ว่าถูกม่อจิ่งฉีสั่งกักบริเวณกรายๆ และคราก่อนที่เยี่ยหลีเข้าวังเกิดเรื่องขึ้นมากมายเสียขนาดนั้น ติ้งอ๋องสามารถปฏิเสธราชโองการเรียกพระชายาเข้าเฝ้าของฮ่องเต้ได้ ดังนั้นพระองค์จึงได้ใช้ชื่อฮองเฮาในการเรียกเข้าเฝ้าแทน

 

 

           ฮองเฮาเรียกเยี่ยหลีให้เข้าเฝ้าด้วยเรื่องชมดอกไม้ ได้ยินว่าในอุทยานยามนี้ ดอกไห่ถางกำลังบานสะพรั่ง ฮองเฮาถึงได้มีคำสั่งเรียกราชนุกิล คุณหญิงชนชั้นสูงทุกคนในเมืองหลวงเข้าวังเพื่อร่วมงานต้อนรับชายาติ้งอ๋องพร้อมทั้งชมดอกไม้ไปด้วยในตัว

 

 

           ครั้นเห็นว่าภายในอุทยานมีกระถางต้นไม้วางอยู่อย่างแน่นขนัด เยี่ยหลีจึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่างานบุปผานานาพรรณในปีนี้ได้ผ่านไปแล้ว นางจึงยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นางมัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องภายนอก ไฉนเลยจะจำงานแข่งขันที่คุณหนูทั้งหลายในเมืองหลวงต่างเฝ้ารอได้

 

 

           เมื่อเห็นให้เยี่ยหลีต้องเข้าวัง ม่อซิวเหยาไม่สนใจว่าตนจะได้รับจดหมายเชิญจากฮองเฮาหรือไม่ ถือวิสาสะตามนางเข้าวังมาด้วย แสดงให้เห็นถึงความไม่วางใจในราชวงศ์ ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแต่ก็มิอาจพูดอันใดได้ เพราะถึงอย่างไร เรื่องที่ชายาติ้งอ๋องหายตัวไปนั้น ก็ยังสืบไม่ได้ความที่แน่ชัด

 

 

           “ติ้งอ๋อง พระชายาอยู่กับข้าที่นี่ ย่อมไม่หายไปที่ใดอีกเป็นแน่ หรือว่าเจ้าไม่เชื่อใจข้าเข้าเสียแล้ว” ฮองเฮาฮว่าเห็นทั้งสองเดินจับจูงกันเข้ามา จึงอดยิ้มขึ้นไม่ได้ สายพระเนตรที่มองเยี่ยหลีเจือแววเสียพระทัยและอิจฉาขึ้นหลายส่วน ก่อนกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มและเอ่ยหยอกล้อทั้งสอง

 

 

ตระกูลม่อและตระกูลฮว่าสนิทสนมกันมานาน ม่อซิวเหยาเองก็ดูมิได้มีความรู้สึกไม่ดีต่อฮองเฮา เขาเพียงยิ้มน้อยๆ “แต่ไหนแต่ไรมาอาหลีไม่เคยชอบงานรื่นเริง ในตำหนักของพวกเราก็ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยชี้แนะ ยังมีอีกหลายอย่างที่นางไม่เข้าใจ วันนี้ข้ามีเวลาว่างอยู่พอดีจึงมาเป็นเพื่อนนาง ขอฮองเฮาได้โปรดอย่ากล่าวโทษข้าเลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เขาแสดงความสนิทสนมต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ทำให้เยี่ยหลีเหลือบมองม่อซิวเหยาด้วยความอึดอัดใจ สีหน้าม่อซิวเหยายังคงสุภาพและอบอุ่นดังเช่นปกติ คุณหญิงชนชั้นสูงที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างนึกชื่นชมเขาในใจ สายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษายาอีกไม่รู้เท่าไรที่ถูกส่งมายังเยี่ยหลี เยี่ยหลีเห็นสายตาขบขันของฮว่าเทียนเซียงที่ยืนอยู่ข้างกายฮองเฮาได้อย่างชัดเจน จนอดลอบถลึงตาใส่นางไม่ได้

 

 

           “ติ้งอ๋องมาที่นี่ด้วยเช่นนี้ ถือเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก เพียงแต่…วันนี้คนที่มามีแต่สตรี หากติ้งอ๋องอยู่ที่นี่ด้วย เกรงว่าจะทำให้พวกนางเขินอายกันเสีย” ฮองเฮามองทั้งสองพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “เช่นนั้น ติ้งอ๋องไปที่อื่นก่อนดีหรือไม่ จะได้ไม่รบกวนงานชมดอกไม้ของข้า”

 

 

           องค์หญิงเจาหยางที่นั่งอยู่อีกด้านเอ่ยกลั้วหัวเราะตามว่า “ฮองเฮาทรงตรัสถูกแล้วเพคะ สมัยนั้นคุณชายรอง ตำหนักติ้งอ๋องปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด สตรีสาวๆ กว่าครึ่งเมืองหลวงวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ซิวเหยาอย่าได้รั้งอยู่ที่นี่ให้เป็นที่สะดุดตาเลย มีฮองเฮาและข้าอยู่ที่นี่ ยังจะกลัวว่าชายาของเจ้าจะมีอันตรายอีกหรือ”

 

 

องค์หญิงเจาหยางที่เป็นคนนิ่งเงียบมาตลอด ดูอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ถึงขั้นเอ่ยปากหยอกล้อขึ้น รับสั่งขององค์หญิงทำให้บรรดาคุณหนูชนชั้นสูงต่างหน้าซับสีเลือดขึ้นทันที ก้มหน้าหนีมิกล้ามองชายรูปร่างสง่าผ่าเผยที่อยู่ตรงหน้าอีก

 

 

           ครั้นเห็นสีหน้าประหลาดของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น ในใจเยี่ยหลีก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ หันมองม่อซิวเหยาก่อนเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “หากท่านอ๋องมีธุระอันใดก็ไปจัดการเถิดเพคะ ข้ามิเป็นอันใดหรอก”

 

 

           ม่อซิวเหยาพยักหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน แล้วจะรอกลับตำหนักพร้อมเจ้า”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า ม่อซิวเหยาจึงได้เอ่ยขอตัวกับฮองเฮาและองค์หญิงก่อนหมุนตัวเดินออกไป

 

 

ฮว่าเทียนเซียงที่นั่งอยู่ข้างฮองเฮาจึงได้ลอบขมวดคิ้วหรี่ตามองเยี่ยหลี การแสดงความรักต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ช่างน่าหมั่นไส้นัก…

 

 

           เมื่อส่งม่อซิวเหยาที่เป็นที่สะดุดตาคนไปแล้ว เยี่ยหลีจึงเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวถัดจากฮองเฮา ฝั่งตรงข้ามนางคือองค์หญิงเจาหยางที่กำลังส่งยิ้มให้นางอย่างใจดี แต่สีหน้าขององค์หญิงเจาเหรินและท่านหญิงหรงหวาที่อยู่ด้านข้างกลับไม่ใจดีเช่นนั้น เยี่ยหลีมิได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก ตัวนางมิได้มีความรู้สึกไม่ดีต่อท่านหญิงหรงหวา แต่ดูเหมือนท่านหญิงท่านนี้จะไม่ชอบหน้าชายาติ้งอ๋องอย่างนางเอาเสียเลย

 

 

           ก่อนหน้านี้ที่มีเยี่ยอิ๋งอยู่ โดยมากสายตาร้อนแรงของท่านหญิงหรงหวามักส่งไปหาเยี่ยอิ๋งอยู่เสมอ แต่ยามนี้เมื่อเยี่ยอิ๋งไม่อยู่ ความสนใจของท่านหญิงหรงหวาจึงกลับมาตกที่นางอีกครั้ง เมื่อเห็นสายตาดูแคลนนั่นแล้ว เยี่ยหลีจึงได้แต่ลอบยิ้มในใจ ท่านหญิงหรงหวาจะรู้หรือไม่ว่าอนาคตของนางกว่าครึ่งหนึ่งอาจตกอยู่ในกำมือตน

 

 

           “พระสนมอวิ๋นเฟยเสด็จ! สนมหวังเจาหรงเสด็จ!” ในขณะที่ฮองเฮากำลังมีรับสั่ง ก็มีเสียงแหลมเล็กเอ่ยรายงานขึ้น ฮองเฮาขมวดคิ้วมุ่น ดูจะมิได้อยากพบผู้มาใหม่สักเท่าไร

 

 

           ไม่นาน หญิงสาวในชุดหรูหรากรุยกรายทั้งสองก็เดินนวยนาดเข้ามา หญิงสาวที่เดินนำมาใบหน้าอ่อนหวาน รูปร่างสะโอดสะอง สีหน้าดูมีความเย้ายวนอยู่หลายส่วน หญิงสาวอีกคนที่เดินตามเข้ามาถึงแม้จะเป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาสะอาดสะอ้าน แต่ดวงตาหงส์รูปยาวที่ยกสูงขึ้นนั้นชวนให้ดูน่าหลงใหล

 

 

           ทั้งสองเดินเข้ามาทำความเคารพด้วยความพร้อมเพรียง “หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮา”

 

 

ทั้งสองคนนี้ต่างเป็นสนมรักของฝ่าบาท อวิ๋นเฟยมีตำแหน่งเป็นเฟยลำดับที่สี่ ทุกคนในที่นั้นนอกจากเยี่ยหลีและองค์หญิงอีกสองพระองค์แล้ว คนอื่นๆ ต่างต้องลุกขึ้นทำความเคารพ

 

 

           ฮองเฮากวาตามองทั้งสองคน ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้นเถิด อวิ๋นเฟยกับสนมหวังเจาเหรินมาได้อย่างไร”

 

 

           อวิ๋นเฟยยิ้ม “หม่อมฉันมาขัดเวลาสำราญของฮองเฮา ได้โปรดอภัยด้วย เพียงแต่…หม่อมฉันกับน้องหวังได้ยินว่าวันนี้ชายาติ้งอ๋องมาที่นี่ด้วย พวกหม่อมฉันได้ยินชื่อเสียงของชายาติ้งอ๋องมานานแล้ว นานๆ จะมีโอกาสดีๆ เช่นนี้ จึงได้ขอฝ่าบาทมาคารวะชายาติ้งอ๋องเพคะ”

 

 

อวิ๋นเฟยเอ่ยด้วยความใสซื่อ แต่ทำให้ทุกคนจับความได้ว่าที่นางมานี้ด้วยเพราะได้รับพระบัญชาจากองค์ฮ่องเต้ และตั้งใจมาเจอชายาติ้งอ๋องอีกด้วย เดิมทียามที่ฮองเฮามีรับสั่งเรียกให้สตรีนางใดเข้าเฝ้า หากมิได้รับเชิญ ต่อให้เป็นพระสนมในวังก็มิอาจเข้าร่วมโดยพลการได้ แต่คำพูดของนางประโยคนี้ทำให้ฮองเฮามิอาจสั่งลงโทษได้ ซ้ำยังบอกเป็นนัยๆ ว่าตนเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทอีกด้วย

 

 

           “คารวะเยี่ยหลีคงมิกล้ารับไว้ ยินดีที่ได้พบอวิ๋นเฟย” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ โดยมิได้ยืนขึ้นทำความเคารพ

 

 

ตระกูลอวิ๋นและตระกูลหวังจงรักภักดีต่อม่อจิ่งฉีเป็นที่สุด ส่วนฮองเฮาไม่ได้รับความไว้วางใจจากม่อจิ่งฉี หลิ่วกุ้ยเฟยมีนิสัยเย็นชา หากม่อจิ่งฉีต้องการหยั่งความคิดเห็นของเยี่ยหลีย่อมต้องส่งอวิ๋นเฟยมาจัดการ

 

 

           อวิ๋นเฟยอึ้งไปเล็กน้อย ผินหน้ามองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ สตรีโดยมากมักรู้สึกเป็นอริกับสตรีที่มีความงามโดดเด่นกว่าตน ก่อนหน้านี้อวิ๋นเฟยมิได้เป็นที่โปรดปรานมากนัก ย่อมไม่เคยพบหน้าชายาติ้งอ๋องมาก่อน แต่หลายวันมานี้กลับได้ยินเรื่องราวของชายาติ้งอ๋องมาไม่น้อย ตระกูลอวิ๋นจงรักภักดีต่อฮ่องเต้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยามนี้ฝ่าบาทละทิ้งตระกูลเยี่ย หันมาสนับสนุนตระกูลอวิ๋น ขณะเดียวกันอวิ๋นเฟยก็ได้รับความโปรดปรานอย่างมาก ถึงแม้อวิ๋นเฟยจะยังไม่ถือดีขนาดไปอวดเบ่งใส่ฮองเฮาและหลิ่วกุ้ยเฟย แต่กับคนทั่วไป นางก็เริ่มไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาแล้ว ดังนั้นกับเยี่ยหลีที่ฮ่องเต้ดูจะเกรงกลัวเป็นอย่างมากนั้น นางจึงยิ่งต้องระวังตัวเป็นพิเศษ

 

 

           เดิมทีนางคิดไว้ว่าจะได้พบสตรีที่สง่างามน่าเคารพเช่นฮองเฮาหรือสตรีที่มีความงามเป็นเสิศเช่นหลิ่วกุ้ยเฟย แต่เมื่ออวิ๋นเฟยผินหน้าไปมองกลับเห็นว่าสตรีที่นั่งอยู่ทางขวามือของฮองเฮานั้น อยู่ในชุดสีเขียวอ่อน ปักลายดอกเสาเย่าสีเงิน ผมดำขลับรวบขึ้นอย่างง่ายๆ บนศีรษะมีปิ่นมุกระย้าสองอันเสียบแซมอยู่ เมื่อเทียบกับคุณหญิงทั้งหลายที่แต่งกายอย่างหรูหราและประทินโฉมมาอย่างดีแล้ว นางดูอ่อนช้อยและสบายๆ กว่ามาก ดูไม่มีความเกี่ยวข้องกับหญิงสาวในข่าวลือที่บัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองพันนายเพื่อรักษาเมืองหน้าด่านเลยแม้แต่น้อย และยิ่งยากที่จะจินตนาการได้ว่าติ้งอ๋องรักใคร่พระชายาผู้นี้เหลือเกิน อวิ๋นเฟยเคยพบเห็นซูจุ้ยเตี๋ยมาก่อน ชายาติ้งอ๋องคนนี้จะว่าสวยก็สวยหรอก แต่หากเทียบกับความงดงามของซูจุ้ยเตี๋ยแล้ว ดูจะยังห่างชั้นกันเล็กน้อย

 

 

           “ท่านนี้คือชายาติ้งอ๋องหรือ ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันนั่งข้างชายาติ้งอ๋องได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันชื่นชมชายาติ้งอ๋องมานาน จึงอยากพูดคุยกับพระชายาสักหน่อยเพคะ” อวิ๋นเฟยกดความไม่เข้าใจในใจลง ก่อนระบายยิ้มสดใสขึ้น จนทำให้มิอาจปฏิเสธ

 

 

ฮองเฮาเหลือบมองนางทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้ากับหวังเจาหรงนั่งถัดจากชายาติ้งอ๋องแล้วกัน”

 

 

           ดวงตาอวิ๋นเฟยมีประกายเล็กน้อย สีหน้ารับคำด้วยความยินดี จับจูงหวังเจาหรงให้เดินไปนั่งลงยังที่นั่งข้างๆ เยี่ยหลี ถึงแม้การนั่งถัดลงมาจากเยี่ยหลีจะทำให้นางไม่ยินดีนัก แต่นางก็รู้ดีว่าชายาติ้งอ๋องไม่มีทางสละเก้าอี้ตนให้นางแน่ หรือจะว่า ต่อให้ชายาติ้งอ๋องลุกขึ้นสละเก้าอี้ให้นางนั่งจริง ก็ใช่ว่านางจะกล้านั่งลงไปได้

 

 

           งานรวมตัวกันของบรรดาฮูหยินอันที่จริงก็มิได้มีเรื่องอันใดมากนัก เพียงแต่วันนี้ใครหลายคนต่างมีเรื่องในใจของตัวเองกันเท่านั้น รอจนมากันเกือบครบทุกคนแล้ว ฮองเฮาจึงได้ทรงลุกขึ้นยืนดำเนินนำทุกคนไปยังอุทยานเพื่อชมดอกไม้ด้วยพระองค์เอง

 

 

ภายในอุทยาน ดอกไม้จำนวนมากแข่งกันบานสะพรั่งสีสันสดใส ถึงแม้นี่จะเข้าสู่ช่วงต้นฤดูร้อนแล้วแต่ภาพที่เห็นดูจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าช่วงฤดูใบไม้ผลิเลย

 

 

           ฮูหยินทั้งหลายนั่งล้อมวงสนทนาพร้อมชมดอกไม้กันอยู่เป็นหมู่คณะ หลายคนที่มีฐานะสูงเช่นเยี่ยหลีนั้นย่อมติดตามอยู่ข้างกายฮองเฮา