ตอนที่ 216 เวลาเหลือไม่มากแล้ว

แม่สาวเข็มเงิน

เดิมทีเจียงป่าวชิงก็ไม่ชอบให้คนอื่นมาแตะต้องตัวอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนนิสัยเสียที่ชวนให้คนเกลียดอย่างเจียงเอ้อยาเลย

เจียงป่าวชิงหลบหลีกแขนของเจียงเอ้อยาแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าจะพูดอะไรก็พูดไป แต่ถ้าเจ้าลงไม้ลงมือ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้าแล้วกัน”

เดิมทีเจียงเอ้อยาอยากหัวเราะเยาะเจียงป่าวชิง คนอย่างอดีตไอ้ปัญญาอ่อนเจียงป่าวชิงจะไม่เกรงใจนางได้ยังไง ? ทว่าเมื่อนางเหลือบไปเห็นแววตาเย็นยะเยือกของเจียงป่าวชิง นางก็คายคำพูดเหน็บแนมที่ติดอยู่ในลำคอไม่ออกเสียอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงกำลังพูดจริง ไม่มีแววล้อเล่นให้เห็นเลย

เจียงเอ้อยากลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว

อันที่จริง นางเป็นคนหนึ่งที่พิจารณาสถานการณ์ได้ดีมาก ซึ่งนี่คือลางสังหรณ์ที่นางปลูกฝังในการเอาชีวิตรอดในรอยแตกที่บ้านมาตั้งแต่ยังเล็ก เจียงเอ้อยาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และพยายามเก็บมือกลับมาอย่างเป็นธรรมชาติ “เอ๊… จะว่าไปแล้ว เจียงหยุนชานยังต้องเรียกข้าว่าพี่อยู่นะ ข้าเป็นห่วงเขาอยู่เหมือนกัน นี่เจ้าคงจะนั่งรถม้ากลับมาใช่ไหม ? พาข้าไปด้วยสิ ข้าจะได้ไปดูเจียงหยุนชานสักหน่อยไง บ้านเจ้าประสบเหตุไฟไหม้แบบนี้ ข้าย่อมห่วงเขามากเป็นธรรมดา”

เฉียนเซียงเซียงตระหนักได้ทีหลัง นางได้ยินเจียงเอ้อยาพูดออกมาเช่นนี้ ลึก ๆ ในดวงตาของนางก็เป็นประกาย นางเข้าใจวัตถุประสงค์ของเจียงเอ้อยาได้ในทันทีและรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “พาข้าไปด้วยสิ ข้าเองก็จะไปดูเจียงหยุนชานด้วยเหมือนกันแหละ! ข้า… ข้าก็เป็นห่วงเขามาก”

เจียงป่าวชิงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย พนันได้เลยว่าในชีวิตนี้ เจียงหยุนชานคงไม่เคยถูกเจียงเอ้อยากับเฉียนเซียงเซียง ‘เป็นห่วง’ ขนาดนี้มาก่อน

เจียงป่าวชิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสองคนนี้มีเจตนาบางอย่างแอบแฝงอยู่ นางแค่นหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับพวกนางไปตรง ๆ

“ฝันไปเถอะ”

เจียงป่าวชิงไม่สนใจสีหน้าโมโหของเจียงเอ้อยากับเฉียนเซียงเซียง นางดึงจุกปิดเหล้าออก พลางเดินถือเหล้าไปตรงทางเข้าบ้านของกงจี้ที่ถูกไฟไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน

นางเทเหล้าทั้งหมดลงบนพื้นดินตรงทางเข้าบ้าน

นี่ไม่ใช่เหล้าชั้นดีอะไร ถือว่าเซ่นไหว้ให้กับพวกองครักษ์ที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องกงจี้ก็แล้วกัน

……

เจียงป่าวชิงกำลังจะกลับก็เห็นเจียงเอ้อยากับเฉียนเซียงเซียงพยายามเทหมดหน้าตัก พวกนางเกาะขอบรถม้าไม่ปล่อย ยืนกรานว่าจะกลับไปด้วยให้ได้

คนบังคับรถม้าคนนี้กงจี้เพิ่งส่งมาใหม่ และเขาเป็นองครักษ์ผู้ซึ่งเคยเผชิญหน้ากับการรบราฆ่าฟันมาไม่น้อย ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับเด็กผู้หญิงมือเหนียวมาเกาะรถไม่ยอมปล่อยแบบนี้ เขาคิดไม่ออกอยู่พักใหญ่ สุดท้ายอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเจียงป่าวชิง

“ถ้าเก่งจริงเจ้าก็บดร่างพวกข้าไปสิ เอาให้ตายกันไปข้างเลย!” เจียงเอ้อยาพูดอย่างลำพองใจ

ทว่าเจียงป่าวชิงกลับพูดกับคนบังคับรถม้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เห็นทีว่าเจ้าคงไม่เคยบดคนล่ะสิท่า งั้นครั้งนี้ก็ลองดูหน่อย แต่ข้าเคยเห็นคนถูกรถม้าบดนะ สภาพน่าเวทนามากเลยแหละ ไส้งี๊ไหลออกมาบนพื้น แดง ๆ ขาว ๆ น่าขนลุก ลิ้นก็ยืดออกมายาวมากแต่ก็ยังไม่ตายในทันที ได้แต่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเลือดที่นองอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด เป็นอะไรที่น่ากลัวมากเลย… ครั้งนี้สามารถทำให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาเห็นภาพที่น่าเวทนานี้พอดี เอาสิ ลองดู”

ทันทีที่เจียงเอ้อยากับเฉียนเซียงเซียงได้ยินที่เจียงป่าวชิงบรรยายสภาพคนถูกรถบด พวกนางก็เหมือนเห็นสภาพที่น่าเวทนาของตัวเองอยู่เนือง ๆ จึงรู้สึกชาหนังศีรษะเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะปล่อยมือก้าวถอยหลังไป ทว่าก็ยังมิวายก่นด่าเจียงป่าวชิงว่ามีความคิดชั่วร้ายน่ารังเกียจ

เจียงป่าวชิงไม่ใช่คนประเภทที่ที่สนใจพวกด่าตัวเอง เมื่อนางเห็นพวกนั้นปล่อยมือ ก็สั่งคนบังคับรถม้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “พอแล้ว เรารีบกลับกันเถอะ”

คนบังคับรถม้าเข้าใจจุดประสงค์ของเจียงป่าวชิง จึงโบกแส้ม้ายิ้ม ๆ รีบไล่ม้าให้ไปจากที่แห่งนี้ทันที

เจียงเอ้อยากับเฉียนเซียงเซียงทำได้เพียงกระทืบเท้าอย่างเคืองแค้นและมองรถม้าจากไปทั้งอย่างนั้น แต่พวกนางไม่กล้าตามไปขวางรถแต่อย่างใด

พวกนางต่างคิดว่าด้วยจิตใจที่ ‘โหดเหี้ยม’ ของเจียงป่าวชิง เจียงป่าวชิงต้องกล้าทำเรื่องอย่างเช่นสั่งให้รถม้าบดตัวพวกนางได้แน่ ๆ

……

เจียงป่าวชิงกลับถึงที่พักของกงจี้ที่อำเภอฉือเจีย นางตั้งใจจะไปบอกกงจี้ก่อน แล้วค่อยไปดูเจียงหยุนชานทีหลัง ทว่านางกลับต้องประหลาดใจที่เห็นเจียงหยุนชานอยู่บ้านกงจี้

ทั้งสองคนเหมือนกำลังปรึกษาเรื่องอะไรบางอย่างกันอยู่ เมื่อเห็นนางเข้ามา ทั้งสองคนก็สบตากันและไม่ได้พูดอะไรกันอีก

เจียงป่าวชิงกะพริบตาปริบ ๆ “พี่ พี่มาทำอะไรที่บ้านคุณชายกงรึ ?”

เจียงหยุนชานพูดขึ้น “คุณชายกงให้ที่พักพิงแก่เรา ข้าก็ต้องมาขอบคุณเขาเป็นธรรมดา”

กงจี้กลับมองเจียงป่าวชิงอย่างไม่พอใจ ที่น่าแปลกคือเหมือนมีความหึงหวงแฝงปนอยู่ในแววตาเขาเล็กน้อย “ทำไม ? กลัวว่าข้าจะกินพี่ชายเจ้ารึไง ?”

เจียงป่าวชิงพูดคล้อยตามคำพูดของกงจี้อย่างมีเหตุมีผล “ก็ใช่ ปกติเจ้ามักมีท่าทีโหดร้ายบ่อย ๆ พี่ชายข้าเป็นคนไร้เดียงสาอย่างที่สุด เจ้าอย่าทำให้เขาตกใจล่ะ”

กงจี้โกรธจนพูดไม่ออกเพราะความใจดำของเจียงป่าวชิง

เจียงหยุนชานทนดูต่อไปไม่ไหว เขาดึงชายเสื้อของน้องสาวและถือโอกาสพูดใส่นาง “ป่าวชิง เจ้าเข้าใจคุณชายกงผิดแล้ว เมื่อสักครู่คุณชายกงกำลังถามข้าเกี่ยวกับเค้าโครงบ้านของเรา เพื่อที่เขาจะช่วยสร้างบ้านใหม่ให้เรา”

“ไล่ตามคนตายไม่ได้หรอก ในเมื่อถูกไฟไหม้แล้วก็ปล่อยให้มันไปตามลมเถอะ”

เจียงป่าวชิงกะพริบตาปริบ ๆ “แต่ในเมื่อคุณชายกงคิดจะช่วยสร้างบ้านใหม่ให้เรา ข้าก็มีความคิดเห็นเล็ก ๆ เกี่ยวกับบ้านใหม่ เพราะถึงยังไง บ้านสำหรับอยู่ทั้งชีวิตก็ควรสะดวกสบายถึงจะดี”

กงจี้หลับตาลงพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ

เจียงป่าวชิงมีท่าทีเหมือนตั้งใจว่าจะอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาเป็นเวลานาน

มือของเขาที่วางอยู่ข้างตัวค่อย ๆ กำเข้าหากันแน่นจนเส้นเอ็นบนหลังมือนูนออกมาเล็กน้อย

เวลาที่เขาจะอยู่ที่นี่เหลือไม่มากแล้ว…

……

หลังจากที่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานออกมาจากบ้านของกงจี้ เจียงหยุนชานเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ป่าวชิง! เมื่อสักครู่เจ้าไม่เกรงใจคุณชายกงเลยจริง ๆ ข้าเห็นสีหน้าคุณชายกงเหมือนจะไม่สู้ดีนักเลย”

เจียงป่าวชิงกลับยิ้มเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไร นางอยู่กับกงจี้มานานขนาดนั้น มีหรือที่นางจะมองสีหน้าของกงจี้ไม่ออก

ผ่านไปสักครู่ เจียงป่าวชิงถึงจะพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ขาของเขาใกล้หายดีแล้ว”

เมื่อเจียงหยุนชานได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกดีใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเห็นน้องสาวก้มหน้าโดยที่ใบหน้าของนางไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงง “คุณชายกงใกล้หายดีเป็นปกติ แล้วทำไมเจ้าถึงดูไม่ดีใจเลยล่ะ หรือว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร ?”

“เป็นเรื่องดีสิ” เจียงป่าวชิงกัดริมฝีปากล่าง นางมีความคิดมากมายแต่ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับเจียงหยุนชานอย่างไร

เมื่อสักครู่ นางตั้งใจพูดแบบนั้นเมื่อตอนอยู่ต่อหน้ากงจี้ เขาคือนกอินทรีที่โผบินอยู่บนท้องฟ้า เมื่อปีกของเขาหายดีแล้ว หมู่บ้านบนภูเขาเล็ก ๆ อย่างชีหลี่โวคงไม่สามารถกักขังเขาไว้ได้

ยิ่งมีบัญชีเลือดดังกล่าวถูกเพิ่มเข้ามาด้วยแล้ว…

เจียงป่าวชิงเข้าใจดี เวลาที่กงจี้จะอยู่ที่นี่เหลืออีกไม่มาก

……

ตอนหลังเจียงป่าวชิงก็ได้ไปดูไป๋จี สมแล้วที่ไป๋จีเป็นคนมีศิลปะการต่อสู่ที่แข็งแกร่ง ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาขนาดนี้ หมอชีก็บอกแล้วว่าคนธรรมดาคงต้องนอนหลับใหลไปเป็นเวลาหลายวัน แต่วันที่สองไป๋จีก็ฟื้นคืนสติแล้ว

ทันทีที่ฟื้นคืนสติ ไป๋จีอยากวิ่งออกไปข้างนอกโดยไม่คำนึงถึงบาดแผลที่ท้องของเขา แต่โชคดีที่คนดูแลเขามือไวตาไวจึงกดเขาไว้เสียก่อน แม้เป็นเช่นนี้ บริเวณผ้าพันแผลหนา ๆ ที่ท้องของเขาก็ยังมีเลือดซึมออกมาอยู่ดี

ในตอนหลัง หลังจากที่บอกไป๋จีว่ากงจี้ปลอดภัยดี ไป๋จีถึงจะเลิกวู่วาม และฝืนนอนอยู่บนเตียงในที่สุด

ตอนที่เจียงป่าวชิงไปดูไป๋จี เขากำลังดื่มยาอยู่

คนที่เป็นศิลปะการต่อสู้ย่อมไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ยาต้มสีดำถ้วยโตขนาดนั้น ไป๋จีเงยหน้าดื่มจนหมดโดยที่ไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ

เจียงป่าวชิงรู้สึกชื่นชมเขา ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเขาเล็กน้อย