“ท่านปู่! พ่อ!”

 

ฟีเรนเทียวิ่งเข้าไปทักทายท่านพ่อกับท่านปู่ด้วยความยินดี

 

เธอรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ทั้งสองท่านมีตารางแวะมาที่ร้านเพราะอย่างนั้นถึงได้ตั้งใจพาตัวมาเรีย แพทโทรนมาที่นี่

 

“ถ้าบอกก่อนล่วงหน้า พ่อกับท่านปู่ก็คงจะรีบมากันแล้ว…”

 

ท่านพ่อลูบหัวเธอพลางพูดขึ้น

 

“ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาหรอกค่ะ แต่พอดีมีเรื่องที่ทำให้จู่ๆ ต้องแวะมาน่ะค่ะ”

 

เธอพูดเช่นนั้นขณะเดียวกันก็เหลือบมองไปทางด้านหลัง เห็นมาเรีย แพทโทรนกับคุณหนูทั้งหลายต่างก็ตื่นตระหนกกันใหญ่

 

นี่คือแคลอฮัน ลอมบาร์เดียเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันที่มีสาขาอยู่ทั่วอาณาจักร กับรูลลัก ลอมบาร์เดียเชียวนะ

 

พวกนั้นกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกัน

 

ท่านพ่อเหลือบมองพวกนางในขณะที่ถามเธอ

 

“พวกนั้น…มาด้วยกันกับเทียเหรอ”

 

ช่วงอายุของพวกนางไม่ได้เหมาะจะเป็นเพื่อนเล่นกับเธอ ดังนั้นบนใบหน้าของท่านปู่กับท่านพ่อจึงมีแต่ความสงสัยปรากฏขึ้นตามธรรมชาติ

 

ในตอนนั้นเองมาเรีย แพทโทรนและคุณหนูทั้งหลายก็เดินเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง

 

เธอชี้ไปที่มาเรีย แพทโทรนในขณะที่พูดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

 

“พอดีข้าทำน้ำผลไม้หกใส่ชุดของคุณหนูแพทโทรนน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยเชิญนางกับเพื่อนๆ มาเพื่อซื้อชุดตัวใหม่ให้ ได้ใช่มั้ยคะ พ่อ”

 

ท่านพ่อตกใจเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองสำรวจชุดของมาเรีย แพทโทรน แล้วพูดขึ้น

 

“แน่นอนสิ ได้แน่นอน ชุดเลอะหมด…”

 

คำพูดของท่านพ่อหยุดชะงักในทันที

 

สายตาของท่านพ่อจับจ้องไปที่สร้อยคอของมาเรีย แพทโทรน

 

นัยน์ตาสั่นไหวคู่นั้นเอาแต่เหม่อมองไปยังสร้อยคอเส้นนั้น สายตาคล้ายกับไม่แน่ใจว่าตัวเองเผลอมองผิดไปหรือเปล่า

 

“มันเป็นชุดตัวโปรดเลยรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นไรค่ะ…”

 

ถึงแม้มาเรีย แพทโทรนจะพูดเช่นนั้น แต่ท่านพ่อก็ยังไม่อาจเปิดปากพูดอะไรออกมาได้

 

บางทีคงจะไม่มั่นใจนักเพราะสร้อยคอเส้นนั้นมันเป็นของของชานาเนส

 

แต่แล้วเมื่อมาเรีย แพทโทรนเอ่ยเช่นนั้นแล้วตั้งใจจะหมุนตัวเดินกลับไปยังมุมเดรสพรีเมียม

 

“เจ้าตรงนั้น”

 

ท่านปู่ก็เอ่ยรั้งมาเรีย แพทโทรนเอาไว้ด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

“ไหนมาทางนี้หน่อยซิ”

 

สายตาของท่านปู่จับจ้องอยู่ที่ที่หนึ่งอย่างแม่นยำ

 

“ขอดูสร้อยคอที่เจ้าสวมอยู่หน่อย”

 

รูลลัก ลอมบาร์เดีย กวาดสายตามองคุณหนูวัยสาวตรงหน้า

 

เดรสที่นางสวมใส่อยู่เลอะเป็นรอยด่างจากน้ำผลไม้ แต่ท่าทางยามที่ยืนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยนั่น ช่างหยาบคายไร้มารยาทเหลือเกินแต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังหลบสายตาของเขา ไม่กล้ามองสบตาตรงๆ

 

นางกำลังหวาดกลัวรูลลัก

 

ถึงแม้จะแสร้งทำเป็นมั่นใจ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้มีนิสัยใจกล้าถึงขนาดนั้น

 

เป็นคนทั่วไปที่พบเห็นได้ดาษดื่น

 

รูลลักพูดเสียงเย็นชา

 

“ได้ยินว่าหลานสาวข้าทำน้ำผลไม้หกใส่ชุดเจ้า”

 

“ค่ะ เกิดเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นขึ้นค่ะ”

 

“เรื่องนั้นข้าต้องขอโทษแทนด้วยก็แล้วกัน”

 

“มะ…ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ชดเชยด้วยเสื้อผ้าเช่นนี้ก็…”

 

รูลลักพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของมาเรีย แพทโทรน

 

“อืม โล่งอกไปทีนะ ถ้าอย่างนั้นจะช่วยตอบคำถามต่อไปของข้าตรงๆ ได้หรือไม่”

 

“คำถามอะไร…”

 

“เจ้าเป็นอะไรกับบุตรเขยของข้า”

 

“…คะ”

 

น้ำเสียงของมาเรีย แพทโทรนสั่นเครือ

 

ราวกับความลับที่เก็บซ่อนเอาไว้ถูกจับได้เสียแล้ว

 

“ข้าจะให้โอกาสเจ้า ถือว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดชั่วครั้งชั่วคราวก็ได้”

 

“พะ…พูดเรื่องอะไร ข้าไม่ทราบ…”

 

“ลองคิดดูอีกครั้งดีมั้ย”

 

รูลลักจ้องหน้ามาเรีย แพทโทรนในขณะที่พูด

 

“ข้าถามว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับเวสติน ชูลส์บุตรเขยของข้า และเจ้าจะต้องให้คำตอบที่ดีกว่าข้ออ้างแก้ตัวโง่ๆ พวกนั้น”

 

“อึก…”

 

คราวนี้มาเรีย แพทโทรนถูกพลังของรูลลักกดทับจนขยับกายแทบไม่ได้

 

ร่างกายของนางสั่นเทา ปลายเท้าขยับไปมาอยากจะหนีออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้

 

แต่รูลลักไม่มีสีหน้าสงสารนางที่เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

 

ตั้งแต่วินาทีที่มาเรีย แพทโทรนเดินเข้ามาใกล้ รูลลักก็รู้ได้ในทันที

 

ความจริงที่ว่าสร้อยคอที่ผู้หญิงนางนี้สวมใส่ มันเป็นของชานาเนสบุตรสาวของตน

 

และสิ่งที่นึกถึงในลำดับถัดมาก็คือ เวสติน

 

พูดให้แน่ชัดคือ เขานึกถึงเรื่องที่ทั้งสองคนทักทายกันในงานเลี้ยงของร้านค้าเพลเลส อ้างว่าเป็นคนที่มาจากถิ่นฐานเดียวกัน

 

“สร้อยคอเส้นนั้นเป็นมรดกของดูต่างหน้าภริยาของข้า และตอนนี้มันก็เป็นของชานาเนสบุตรสาวคนโตของข้า”

 

“มะ…ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นหรอกค่ะ! คงจะมองผิดแล้วละค่ะ!”

 

รูลลักส่ายศีรษะไปมาเมื่อได้ยินคำตอบของมาเรีย แพทโทรน

 

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าคนที่ให้สร้อยคอเส้นนั้นกับเจ้าได้อธิบายเอาไว้ว่าอะไร แต่นั่นเป็นมรดกของภริยาข้าอย่างแน่นอน ด้านหลังของมันถูกสลักเอาไว้ด้วยชื่อย่อของนาตาเลีย ลอมบาร์เดีย”

 

มาเรีย แพทโทรนใช้มือสั่นเทาพลิกสร้อยคอดู

 

เป็นอย่างที่รูลลักกล่าวจริงๆ

 

มันมีชื่อย่อถูกสลักเอาไว้ มันเล็กมากเสียจนหากไม่ได้ตั้งใจมองให้ดีคงไม่ทันสังเกตเห็น

 

“หากยากนักข้าจะเลือกให้เอง เช่นนั้นก็เนรเทศเจ้าออกจากเมืองหลวง ด้วยข้อหาบุกรุกลอมบาร์เดีย ขโมยสร้อยคอเส้นนั้นก็แล้วกัน”

 

คำว่าเนรเทศทำให้หัวใจของมาเรีย แพทโทรนหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

 

“หรือจะสารภาพความจริงว่ามีความสัมพันธ์อันใดกับเวสติน ชูลส์”

 

“ระ…เรื่องนั้น…”

 

มาเรีย แพทโทรนกัดริมฝีปากล่างแน่น

 

นางเคยได้ยินเวสตินพูดจาดูถูกรูลลัก ลอมบาร์เดียคนนี้ เรียกเขาว่า ‘ไอ้เฒ่า’ บ้าง ‘ไอ้แก่’ บ้างมาโดยตลอด

 

เพราะฉะนั้นมาเรีย แพทโทรนถึงได้ดูถูกเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียมาโดยตลอดเช่นกันว่าอีกฝ่ายคงเป็นแค่คนแก่โง่เขลาที่ไม่ได้รู้เรื่องอันใดเลย แม้กระทั่งนางกับเวสตินขโมยเงินไปที่ปลายจมูกเขาแบบนั้น

 

แต่มาเรีย แพทโทรนก็ตระหนักได้ถึงความโง่เขลาของตัวเองในทันที

 

รูลลัก ลอมบาร์เดียเป็นคนที่น่ากลัวมาก

 

แรงกดดันที่ทำให้นางหายใจแทบไม่ออกในตอนนี้ กำลังบอกนางเช่นนั้น

 

นี่นางทำเรื่องบ้าอะไรลงไปกัน

 

อีกฝ่ายเป็นถึงลอมบาร์เดียผู้มากอำนาจ

 

ต่อให้เสียใจขึ้นมาเอาป่านนี้ ก็สายเกินไปเสียแล้ว

 

มาเรีย แพทโทรนหลับตาแน่น สั่นเทาไปทั้งร่าง

 

“ถ้าพูดที่นี่ลำบาก เช่นนั้นก็ตอบมาแค่อย่างเดียวก่อนก็ได้ คนที่มอบสร้อยคอเส้นนั้นให้เจ้า คือเวสติน ชูลส์ใช่หรือไม่”

 

มาเรีย แพทโทรนพยักหน้าลงอย่างช้าๆ ให้กับคำถามของรูลลัก

 

“แคลอฮัน”

 

รูลลัก ลอมบาร์เดียเอ่ยเรียกบุตรชายที่ยังคงทำหน้าบึ้งตึงด้วยความโมโห

 

“ดูแลเทียด้วย กลับไปที่คฤหาสน์กันเถอะ แน่นอนว่าเจ้าก็ตามมาด้วย”

 

ประโยคสุดท้ายทำให้มาเรีย แพทโทรนผวาเฮือก

 

“ขะ…ขออภัยค่ะ! ได้โปรดยกโทษ…”

 

รูลลักมองหญิงสาวตรงหน้าที่เอาแต่ก้มศีรษะด้วยความกลัว เขาพูดขึ้น

 

“หากเรื่องไม่แดงก็คงไม่คิดขอโทษหรอกใช่มั้ยล่ะ ตามมาในตอนที่ข้ายังพูดดีด้วยจะดีกว่า”

 

มาเรีย แพทโทรนใจแกว่ง นางหันกลับไปมองเหล่าคุณหนูที่มาด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย

 

แต่พวกนางพอจะประเมินสถานการณ์คร่าวๆ ได้จากบทสนทนาที่พูดคุยกัน จึงมองมาเรีย แพทโทรนด้วยความเหยียดหยาม

 

“ไปกันได้แล้ว”

 

รูลลักกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะเดินนำออกไปจากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน

 

สุดท้ายมาเรีย แพทโทรนก็เดินตามออกไป นางได้แต่ขึ้นรถม้ามุ่งไปยังคฤหาสน์ลอมบาร์เดียโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้