ยามท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว

 

ชานาเนสกำลังยืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่งในเมืองหลวง

 

มันเป็นบ้านขนาดกะทัดรัดอย่างที่สามัญชนที่พอจะมีฐานะเงินทองอยู่บ้างอาศัยกัน ไม่ใช่คฤหาสน์ของพวกชนชั้นสูง

 

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง ที่จู่ๆ บิดากับน้องชายก็ลากผู้หญิงคนหนึ่งมาคุกเข่าลงต่อหน้านาง

 

ผู้หญิงคนนั้นที่บอกว่ามาจากเขตแดนชูลส์และที่คอของผู้หญิงคนนั้นก็มีสร้อยคอเส้นนั้น ที่เป็นของดูต่างหน้ามารดาที่นางพยายามหาแทบตายสวมอยู่

 

“เวสติน ชูลส์มอบให้ข้าค่ะ บอกว่าเป็นของที่ตกทอดกันมาในตระกูลชูลส์…”

 

ผู้หญิงคนนั้นพูดเสียงสะอื้นไห้

 

“ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีภริยากับบุตรแล้ว ก็ยังคบหากันมาโดยตลอดค่ะ ขออภัยจริงๆ ค่ะ”

 

ชานาเนสได้แต่อดกลั้นไม่ให้ตัวเองกรีดเสียงร้องออกมา

 

“แค่ไหน นานแค่ไหนแล้วคะ”

 

“ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา…”

 

เจ็ดปี

 

ตัวเลขอันแสนเลวร้ายนั่น ทำให้ชานาเนสต้องหลับตาแน่นและสุดท้ายถึงมาเคาะประตูบ้านที่เวสติน ชูลส์จัดเตรียมเอาไว้ให้หญิงนางนั้นด้วยใบหน้านิ่งเฉย

 

เพียงครู่ เสียงแกรกแผ่วเบาก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก

 

“มาเรีย ไปไหนมาเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้…”

 

เวสตินเปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ สำหรับสวมใส่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว เขาเปิดประตูโดยไม่คิดอะไร แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก

 

ใบหน้ายามพบว่าชานาเนสยืนอยู่หน้าประตูบ้านค่อยๆ ซีดเผือดลง

 

“จะ…เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง…”

 

ชานาเนสยืนจ้องหน้าเวสตินเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

 

“คะ คือว่านี่น่ะ…บ้านเพื่อน…ถ้าจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นน่ะครับ ชานาเนส”

 

เวสตินกำลังโกหกนางอีกครั้ง

 

ทั้งยังยิ้มเศร้าดูน่าสงสารให้เห็นเป็นการปิดท้าย ก่อนจะพูดต่อ

 

“ข้ารู้ว่าสถานการณ์มันชวนให้เข้าใจผิด แต่ชานาเนสเชื่อใจข้าใช่มั้ยครับ”

 

ด้วยใบหน้าที่นางเคยตกหลุมรักมาโดยตลอด

 

แต่วินาทีนั้นมันกลับทำให้ชานาเนสแน่ใจ

 

ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่เคยสัญญากับนางว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดชีวิตอีกต่อไปแล้ว

 

ชานาเนสยกมือขึ้นตบลงบนแก้มของเวสตินด้วยแรงทั้งหมดที่มี

 

เพียะ-!

 

เสียงฝ่ามือกระทบผิวเนื้อดังก้องไปทั่วบ้านอันเงียบสงบ

 

“เวสติน ชูลส์”

 

ชานาเนสพูดด้วยเสียงเย็นชาที่เวสตินไม่เคยได้ยินมาก่อน

 

“เจ้าไม่มีบ้านให้กลับอีกต่อไปแล้ว”

 

นางหมุนตัวหันหลังกลับ เดินตรงไปยังรถม้าที่จอดอยู่ในบริเวณนั้นอย่างไม่ลังเล ไม่มีการหันหลังเหลียวกลับไปมองแม้แต่ครั้งเดียว

 

เวสตินยืนกุมแก้มข้างที่ถูกตบ ก่อนจะตั้งสติขึ้นมาได้ในฉับพลัน จึงรีบวิ่งตามหลังไปด้วยความร้อนรน

 

“ให้ตายเถอะ! ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยวะ!”

 

เวสตินเพิ่งจะกู้เงินจำนวนแปดพันเหรียญทองมาจากธนาคารลอมบาร์เดีย ในหัวสมองของเขาจึงขาวโพลนไปหมด

 

เขาขมวดคิ้วแน่นด้วยความเครียดวิ่งตามหลังชานาเนส แต่แล้วในจังหวะที่กำลังจะวิ่งออกมาพ้นซอย

 

ตึก

 

เด็กหนุ่มสองคนก็โผล่ออกมาขวางหน้าเวสตินเอาไว้

 

“คิลลีวู? เมโลน? พะ…พวกเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง…”

 

สองแฝดเติบโตขึ้นมาก ตอนนี้พวกเขาสูงระดับเดียวกับบิดาแล้ว

 

“หลบไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องพูดกับมารดาของพวกเจ้า…”

 

“อย่าตามมานะครับ”

 

คิลลีวูยกมือขึ้นยันหน้าอกของเวสตินในขณะที่พูดขึ้น

 

“ถ้ายังมายุ่มย่ามกับท่านแม่อีก พวกข้าไม่อยู่เฉยแน่ครับ”

 

เมโลนกัดฟันกรอด

 

สองแฝดจ้องเวสตินด้วยนัยน์ตาเย็นชาเป็นการเตือน ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปเมื่อได้ยินเสียงรถม้าออกเดินทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

เหมือนอย่างที่ชานาเนสเคยทำ ทั้งคู่ไม่เหลียวหลังกลับไปมอง เพียงแค่กระโดดขึ้นหลังม้า แล้วค่อยๆ ควบม้าจากไป

 

กุบกับ กุบกับ

 

สองแฝดค่อยๆ ห่างออกไปไกล พวกเขาควบม้าตามหลังรถม้าติดสัญลักษณ์ตระกูลลอมบาร์เดียที่ทำจากทองคำ ราวกับต้องการจะตามไปอารักขา

 

เวสตินและชานาเนสหย่ากันในที่สุด

 

เพียงแต่แตกต่างจากเมื่อชีวิตก่อน คราวนี้คนเลวได้รับบทลงโทษอย่างสาสม

 

เวสตินกับมาเรีย แพทโทรนถูกขังคุกด้วยข้อหายักยอกเงินทองของตระกูลลอมบาร์เดีย

 

ต่อให้พ้นโทษออกจากคุกแล้ว ถึงตอนนั้นก็ยังมีหนี้สินจำนวนแปดพันเหรียญทองที่ยืมมาจากลอมบาร์เดียรอเวสตินอยู่

 

แน่นอนว่าตระกูลชูลส์เองก็พังเละไม่เป็นท่าไปตามๆ กัน

 

เพราะท่านปู่เป็นคนออกหน้าลงมือจัดการด้วยตัวเอง

 

พอเรียกคืนเงินลงทุนกับเงินสนับสนุนที่เคยมอบให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตระกูลชูลส์ก็ไม่เหลืออะไรอีกแม้แต่อย่างเดียว อีกทั้งท่านปู่ยังกดดันสภาขุนนาง จัดการลบชื่อตระกูลชูลส์ออกจากทะเบียนรายชื่ออีกด้วย

 

ตอนนี้พวกนั้นสูญเสียเขตแดนไปแล้ว ส่วนพวกเครือญาติของเจ้านั่นจะหนีหัวซุกหัวซุนอพยพไปอยู่ที่ไหนกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฟีเรนเทียต้องมานั่งสนใจ

 

เธอเป็นห่วงชานาเนสมากกว่า

 

หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้หนึ่งเดือนแล้ว นางเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในบ้าน ไม่ยอมออกไปไหน

 

ทุกวันเธอใช้สองแฝดเป็นข้ออ้างโผล่ไปหา แต่ก็ไม่ได้พบหน้าชานาเนสอยู่ดี

 

“เฮ้อ…”

 

แต่แล้วในตอนที่เธอด่าสาปส่งไอ้แมลงอย่างเวสตินไปพลาง ตั้งใจจะเปิดประตูบ้านของสองแฝดออก

 

“ตายแล้ว เทียนี่เอง”

 

ชานาเนสก็เปิดประตูเดินออกมาจากข้างในพอดี นางยิ้มอย่างสดใสต้อนรับเธอ

 

“อื้อ…”

 

ชั่วขณะเธอเผลอตกใจมากจนพูดอะไรไม่ออก

 

“จะไปไหนเหรอคะ”

 

“ไปทำงานน่ะ”

 

“ทำงานเหรอคะ”

 

“ตั้งแต่วันนี้ข้าจะเป็นคนบริหารกิจการขุดเจาะเหมืองแร่ของลอมบาร์เดีย งานของตระกูลที่ผ่านมาวางมือไป ตอนนี้ถึงเวลาออกไปรับผิดชอบทำงานทำการได้แล้วละ”

 

รู้สึกเหมือนกับมีประกายส่องสว่างออกมาจากใบหน้าของชานาเนสที่พูดเช่นนั้นเลย

 

มันไม่ใช่รอยยิ้มน่ากระอักกระอ่วนที่เสริมเติมแต่งขึ้นมา

 

ชานาเนสดูผ่อนคลายมากจริงๆ

 

“สองแฝดอยู่ข้างใน เข้าไปเล่นกันเถอะ”

 

“ค่า…”

 

นางยิ้มหวานเป็นครั้งสุดท้าย ลูบผมเธอ ก่อนจะเดินไปตามโถงทางเดิน

 

ถึงแม้จะเป็นภาพด้านหลังยามนางเดินจากไปเพียงลำพัง แต่มันกลับดูยิ่งใหญ่มากกว่าตอนไหนๆ

 

ยืดหลังตรง เชิดหน้าขึ้น ไม่สนใจสายตาใครทั้งสิ้น

 

เป็นภาพลักษณ์ที่สมกับเป็นชานาเนสมากที่สุด