ตอนที่ 185 วิธียั่วโมโหคู่ต่อสู้

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ภายในห้องกักบริเวณของสำนัก

อันหลินได้ทราบข่าวที่น่าเศร้าอย่างยิ่งนั่นก็คือ สืบเนื่องมากจากเขากับหงโต้วต่างก็เป็นตัวแทนของกลุ่มอิทธิพล จึงกักบริเวณเพียงสองวัน หลังจากนั้น เขาก็ต้องออกไปเข้าร่วมการชุมนุมแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาอยู่ดี!

เมื่อรู้ข่าวนี้ เขาก็นั่งลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก รู้สึกว่าไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด

ตรงข้ามห้องเขา หงโต้วอ้าปากหินแกร่งของมัน ส่งเสียงหัวเราะปานรถแทรกเตอร์ “ฮ่าๆ ๆ…รอให้ข้าออกไป ได้เห็นดีกันในงานมรรคเทศนาแน่!”

พลังต่อสู้ของทั้งสองยิ่งใหญ่ทั้งคู่ จึงไม่สามารถกักขังไว้ในห้องเดียวกัน มิเช่นนั้นคงเกิดศึกใหญ่อีกแน่

อันหลินคร้านจะสนใจคำถากถางของหงโต้ว สงครามน้ำลายไม่มีความหมายอะไร

ผ่านไประยะหนึ่ง เหล่าแฟนคลับของอันหลินก็ส่งของกินหลากหลายชนิดมาให้เขา

 เขากินอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าหงโต้ว หงโต้วทำได้เพียงมองดูตาละห้อย

กักบริเวณสองวันไม่มีอาหารให้กิน อย่างไรเสียก็ไม่มีทางอดตาย

“อืม…ปีกไก่น้ำแดงช่างอร่อยเหลือเกิน ทั้งหอมทั้งกรอบ เนื้อสดใหม่…”

“เนื้อที่ราบสูงของเขาลวี่ชางก็ไม่เลวเหมือนกัน เนื้อหนุบหนับ แถมยังสุกแบบมีเดียมเวลอีกด้วย!”

อันหลินกินไปพูดไป กลิ่นหอมของอร่อยอบอวลไปทั่วห้องกักขัง ยั่วน้ำลายยิ่งนัก

หงโต้วนัยน์ตาวาวโรจน์ จ้องอาหารนานาชนิดข้างอันหลินไม่วางตา กลืนน้ำลายเอื๊อก พูดด้วยเสียงดังสนั่นว่า “หึ เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะยั่วข้าได้หรือ ใจข้าแกร่งดุจหินผา”

อันหลินเหลือบมองหงโต้วแวบหนึ่งแล้วยิ้มเยาะ “แกร่งดุจหินผาหรือ เจ้าคนโมโหง่าย ยังมีหน้ามาบอกว่าตนใจแกร่งดุจหินผาอีก”

ไฟโทสะโชติช่วงพลันสุมในอกเมื่อหงโต้วได้ฟัง พูดอย่างมีน้ำโหว่า “เจ้าว่าใครโมโหง่าย!”

อันหลินกระตุกยิ้ม “ให้ตายสิ ไม่ต้องให้ความร่วมมือขนาดนี้ก็ได้…เจ้าเป็นหมูหรือ เฮ้อ ไม่คิดเลยว่าข้าต้องมาติดอยู่ในห้องกักบริเวณเพราะคนโง่อย่างเจ้า…”

เขาส่ายหน้า แสดงท่าทีทอดถอนใจ นึกเสียใจในภายหลัง

“เจ้ากล้าด่าข้า ข้าอัดเจ้าให้ตายตอนนี้ได้เลยเจ้าเชื่อไหม!”

หงโต้วถลึงตาจนกลมกว้าง หินแกร่งทั่วร่างดังกรอบแกรบ มาดดูน่าสะพรึง

“มาอัดข้าสิ หากไม่ลงมือละก็ เจ้าก็คือลูกชายข้า หากว่าลงมือ…เจ้าเป็นหลานชายข้า!” อันหลินหาวหวอดๆ จ้องหงโต้วอย่างเย้ยหยัน

จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ นั่นก็คือ หากว่าทะเลาะวิวาทอีกครั้ง ระยะเวลาการกักบริเวณจะเพิ่มขึ้น

“กล้านัก!” หงโต้วสติขาดผึงแล้วเมื่อถูกยั่วโมโหเช่นนี้

ร่างกายของมันระเบิดเปลวไฟอันร้อนระอุ หลอมแท่งเหล็กที่ขวางอยู่ข้างหน้ามันให้ละลาย ตรงดิ่งไปหาอันหลินทีละก้าวราวกับเป็นเทพเจ้าปีศาจบรรพกาล

“ฮ่าๆ ดูแล้วเจ้าคงตั้งใจจะเป็นหลานข้าสินะ” อันหลินกระหยิ่มยิ้มย่อง

หงโต้วระเบิดโทสะทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น หน้าอกปล่อยเปลวไฟที่มีอุณหภูมิสูงออกมาทันใด เสียงดุจอสนีบาต ตะโกนดังลั่นว่า “ไฟนรกบงกชบรรลัย!”

อันหลินเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน มือซ้ายเรียกสายฟ้า มือขวาส่องแสงสีทอง “หมัดสะเทือนขุนเขาอัสนี!”

นี่เป็นฉบับย่อของหมัดปรมาณูอัสนี เป็นพลังเซียนที่ไม่เพิ่มจิตอนธาการดั้งเดิม แต่ถึงกระนั้น อานุภาพก็น่ากลัวอย่างยิ่งเช่นกัน!

ขณะเดียวกัน บริเวณที่ตั้งของหน่วยบังคับใช้กฎหมายซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องกักขังของสำนัก

ชายร่างกำยำคนหนึ่งตบไหล่หยางซิน ปลอบใจว่า “หยางซิน ในฐานะหัวหน้าหน่วยบังคับใช้กฎหมาย เรื่องนี้เจ้าจัดการได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นใคร หากว่าอยู่ในสำนัก ก็จำต้องปฏิบัติตามกฎ ข้อนี้เชื่อว่าฉินเหวินน่าจะเข้าใจเช่นกัน เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย”

“ขอรับ ผู้การหลี่หย่ง!” หยางซินทำได้เพียงพยักหน้า แต่ในใจขมขื่นยิ่งนัก

หากฉินเหวินเข้าใจจริง คงไม่แก้จากกิจกรรมออกไปชมจันทร์ด้วยกัน เป็นกิจกรรมซื้อน่องไก่ส่งมื้อดึกให้อันหลินหรอก…

“ไปกันเถอะ เราไปดูอันหลินกับหงโต้วกันหน่อย”

“หวังว่าตอนนี้พวกเขาจะสำนึกในความผิดของตน เปลี่ยนความขัดแย้งเป็นมิตรภาพ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ” หลี่หย่งยิ้มพลางพูดกับหยางซิน

หยางซินพยักหน้าอย่างหนักแน่น “พวกเขาเป็นตัวแทนของสี่ทิศทั้งคู่ ต้องรู้เป็นแน่ว่าควรทำอย่างไร ไม่แน่ว่าอาจจะทำความรู้จักกัน กลายเป็นเพื่อนกันในห้องกักขังไปแล้วก็ได้”

ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างรู้ใจขณะที่สนทนา เริ่มกอดบ่ากอดคอกัน มุ่งหน้าไปยังอาคารสีขาว

ตรงนั้นเป็นที่ตั้งของห้องกักบริเวณ

ตูม!

เปลวเพลิงสีแดงพุ่งขึ้นฟ้า พัดหลังคาของอาคารสีขาวจนปลิว

สายฟ้าสีทองทะลวงผืนฟ้าประหนึ่งกระบี่คม แผ่นดินสั่นสะเทือน เสียงดังสนั่นของระเบิดบาดหู

ทั้งสองคนอ้าปากค้าง มองเมฆรูปเห็ดตรงเบื้องหน้าอึ้งๆ อยู่นานโขกว่าจะได้สติกลับมา

“ผู้การ…ข้าคิดว่าเหตุระเบิดข้างหน้า มีพลังงานอันแสนคุ้นเคยอยู่” หยางซินพึมพำ

“ไม่ใช่พลังอันแสนคุ้นเคยกลุ่มเดียว แต่เป็นพลังงานอันคุ้นเคยสองกลุ่ม” หลี่หย่งแก้ไข

หยางซินเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “นี่พวกเขาจะพังห้องกักขังหรือ”

*ตูม!*เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงอีกครั้ง รอบๆ อาคารเริ่มเกิดรอยแตกร้าว…

“อืม…ใช่แล้ว พวกเขากำลังพังตึก” หลี่หย่งพยักหน้าและตอบอย่างขึงขัง

อันหลินนั่งหน้าม่อยคอตกอยู่บนเก้าอี้ ผมถูกเปลวไฟเผาจนหยิกฝอย

เขามองคุณลุงคิ้วดกตาโตตรงหน้าอย่างหวั่นวิตก ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

ข้างๆ อันหลิน มนุษย์หินเช็ดลาวาสีแดงที่หลั่งออกจากผิว มองซ้ายแลขวาอย่างอับอายเช่นกัน

ตรงหน้าพวกเขาทั้งคู่คือรองผู้อำนวยการอวี้หัว

แม้ใบหน้าของเขาจะปราศจากความขุ่นเคือง แต่แรงกดดันไร้รูปร่างก็ทำให้อันหลินกับหงโต้วนั่งไม่ติดอยู่ดี

“เอาละ พวกเจ้าใครจะพูดก่อน” รองผู้อำนวยการอวี้หัวเอ่ยเสียงเรียบ

“หงโต้วเป็นคนลงมือก่อน!” อันหลินโพล่งขึ้นมาทันควัน

หงโต้วแน่นหน้าอกโดยพลันเมื่อได้ฟัง พูดเสียงกร้าวว่า “เจ้าด่าข้าก่อน!”

“สัตบุรุษตกลงกันด้วยวาจา ไม่ใช่กำลัง ไม่เคยได้ยินหรือ” อันหลินพูดได้เต็มปากเต็มคำ

“เจ้า…” หน้าอกของหงโต้วปริแตก มีเปลวไฟลุกโชนออกมาอีกครั้ง เกิดความคิดอยากจัดการชายหนุ่มคนข้างๆ สักทีขึ้นมาชั่ววูบ

มันพูดไม่เก่ง มักจะเสียเปรียบทางวาจาแก่อันหลินเสมอ ตอนนี้ไม่อาจใช้กำลังได้ มันช่างอัดอั้นเหลือเกิน

รองผู้อำนวยการอวี้หัวนวดหัวคิ้ว เขาคิดว่าหากขังทั้งสองคนไว้ด้วยกัน ไม่แน่อาจจะทะเลาะกันอีกก็ได้ จึงคิดว่าแยกพวกเขาเสียเลยดีกว่า

“หงโต้ว เจ้ากลับไปที่ค่ายของเจ้าก่อน ส่วนเรื่องชดใช้ ข้าจะหารือกับราชาราชสีห์เอง” อวี้หัวกล่าว

“ขอรับ” หงโต้วพยักหน้าตกลง

“อันหลิน เจ้าเองก็กลับไปเสียดีๆ” อวี้หัวพูดต่อ

อันหลินเบิกตากว้าง พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ปล่อยพวกเรากลับไปอย่างนี้เลยหรือ ไม่เพิ่มเวลากักบริเวณแล้วหรือ”

อวี้หัวได้ฟังโกรธจนเลือดขึ้นหน้า “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรแผลงๆ หากสร้างเรื่องอีก ได้เห็นดีกันแน่!”

ทันใดนั้น อันหลินก็รู้สึกถึงพลังอันชวนให้หยุดหายใจ

เขาพยักหน้ารัวๆ ปานลูกไก่จิกข้าวทันที ไม่กล้าขัดใจเลยแม้แต่นิด

“พวกเจ้าจดจำให้ขึ้นใจ หากทะเลาะวิวาทกันอีก ข้าจะถอนสิทธิ์การเข้าร่วมมรรคเทศนาของพวกเจ้าทันที!” อวี้หัวเตือนทั้งสองอีกครั้ง

หงโต้วพยักหน้าจริงจัง

แต่อันหลินกลับดวงตาเป็นประกาย มองหงโต้วอย่างมีเลศนัย…

“และถูกปรับหนึ่งแสนหินวิญญาณ!” อวี้หัวพูดเสริมอีกครั้ง

ประกายในดวงตาอันหลินหม่นหมองลง