บทที่ 100 ล่า (5)
อสูรกายขนาดใหญ่ตัวสีเลือดปรากฏกายขึ้นตรงหน้า สกัดการโจมตีของอันซื่อหยวนไว้ แม้อันซื่อหยวนจะทรงพลัง แต่ก็ยังไม่ได้เปรียบ
แม้พวกเขาจะรู้ว่าเผ่าวิญญาณเชี่ยวชาญเรื่องการคุมจิตสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ แต่การได้เห็นเผ่าวิญญาณระดับต่ำควบคุมสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังขนาดนั้นก็น่าตกใจไม่ใช่น้อย
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม !
อันซื่อหยวนปล่อยหมัดออกไปอย่างบ้าคลั่ง หมัดอหังการของเขาระเบิดพลังออกมา “โจมตีเต็มกำลัง ! ผลึกแก้ววงกตของมันคืนรูปได้ไม่ตลอดหรอก !”
ทุกคนจึงตะโกนขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปพร้อมกัน
แม้พวกเขาจะคิดเช่นเดียวกับอันซื่อหยวน ไม่มีสิ่งใดอยู่คงคงกระพัน การคืนรูปให้ผลึกแก้ววงกตครั้งแล้วครั้งเล่าย่อมต้องใช้พลังต้นกำเนิดจำนวนมาก หากพวกเขาสู้ต่อไปย่อมต้องลดกำลังของม่อลงได้ สุดท้ายก็จะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
มีเพียงซูเฉินที่ไม่ได้โจมตี
ไม่รู้เพราะอะไร แต่เขายังรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ม่อเองก็ยังสังหารคนไปเรื่อย ๆ ราวกับล่าเหยื่อ คนแล้วคนเล่าล้มคะมำลงนอนจมกองเลือดกับพื้น
ความตายของคนเหล่านี้กระตุ้นให้คนที่ยังอยู่แทบคลั่ง ซัดพลังโจมตีผลึกแก้ววงกตเต็มกำลังด้วยกลัวว่าตนจะเป็นรายต่อไป ต้องฝ่าออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนจะถูกสังหาร
ลำแสงหนาแน่นหลากสีพุ่งออกไป ส่องแสงสว่างเรืองรองไปทั่ว
แสงจ้าแสบตาเสียเหลือเกิน !
ซูเฉินหรี่ตาลง
ในหัวเขาพลันมีความคิดขัดแย้งกันบังเกิด
แล้วเหตุใดม่อไม่คิดสังหารผู้เชี่ยวชาญเก่งกาจทรงพลังบ้างเล่า ? ทำไมต้องเริ่มสังหารพวกคนอ่อนแอก่อนด้วย ?
หากซูเฉินเป็นม่อ เขาจะเลือกสังหารอันซื่อหยวนที่แกร่งที่สุดก่อน ถึงความแกร่งของอันซื่อหยวนจะทำให้สังหารได้ยาก แต่อย่างน้อยเขาก็จะลองลงมือ และหากอยากเก็บพลังไว้ก็โจมตีหลู่ชิงกวงหรือเฉินเหวินฮุย หรือจะเป็นจีหานเยี่ยนหรือเขาที่มีด่านพลังน้อยกว่าก็ยังได้
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ลงมือกับคนเหล่านี้เลย เลือกล่าแต่พวกทหารที่เป็นกลุ่มคนที่อ่อนแอที่สุดแทน
หรือจะกำลังเล่นกับพวกเขาราวกับแมวจับหนูกันแน่ ?
แต่นั่นเป็นเรื่องที่ต้องมั่นใจว่าตนจะกำชัยไว้ได้แน่นอนถึงจะทำ
ซูเฉินไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งปานนี้ได้ เพราะที่อีกฝ่ายสำแดงพลังมาจนถึงตอนนี้ ก็นับว่าเขาไม่ใช่เผ่าวิญญาณระดับต่ำอีกต่อไป
แต่หากเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าต้องมีเหตุผลบีบให้ทำเช่นนั้น
แล้วมันคืออะไรกัน ?
ในหัวชายหนุ่มมีความคิดหลายสายแล่นเข้ามา เขาครุ่นคิดในทุกความเป็นไปได้ แม้ในตอนนั้นจะได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากทุกทิศทางก็ตาม
“ซูเฉิน เจ้าทำอะไรของเจ้า ? ทำไมไม่โจมตีเล่า !?” จีหานเยี่ยนตะโกน
ซูเฉินเงยหน้ามองจีหานเยี่ยนที่กำลังปล่อยพลังเยือกแข็งเข้าล้อมผลึกแก้ววงกต
เกล็ดน้ำแข็งส่องประกายล้อกับแสงที่หักเหมาจากกระจกผลึกแก้ว มันสว่างจ้ามากเสียจนซูเฉินลืมตาไม่ได้
เขาเงยหน้าขึ้นมองกำแพงหินหนา จากนั้นมองไปยังโคมผลึกแก้วลายตาที่ห้อยลงมาจากเพดาน
ทันใดนั้นเอง เขาก็ยกแขนขึ้นส่งหมัดหนึ่งซัดไปยังโคมผลึกแก้วบนผนัง
ตู้ม !
โคมแตกกระจายออกทันที
แสงไฟเริ่มส่องกะพริบริบหรี่
ซูเฉินกำลังจะทำลายอีกโคมหนึ่ง พลันได้ยินเสียงบางอย่างแล่นหวีดหวิวมาทางเขา มันคือลูกไฟลูกหนึ่ง
ซูเฉินหลบมันได้อย่างง่ายดายแล้วเอ่ยพลางยิ้มบาง “ดูท่าเจ้าจะไม่ชอบให้ข้าทำเช่นนั้นสินะ แล้วทำไมไม่ลองใช้วิชาลึกลับนั่นสังหารข้าดูเล่า ?”
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ซัดลูกไฟมาเพิ่มอีกท่ามกลางเสียงดังเปรี๊ยะประและเสียงตะโกนโห่ร้องรอบกาย
แต่ชายหนุ่มกลับยิ่งดูสงบใจและนิ่งมากขึ้น
เขาพลันยกมือซ้าย เพลิงเงายักษ์ปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วเปล่งเสียงกู่ร้องดังออกมา
หากแต่พริบตาต่อมาเขากลับสะบัดมือ เพลิงเงายักษ์จึงหายไปจนสิ้น
“ซูเฉิน เจ้าทำอะไร ?” จีหานเยี่ยนชะงักไป
“เปล่า เพียงแต่เพิ่งนึกได้ว่าข้าไม่อยากใช้วิชานี้แล้ว” ซูเฉินเอ่ย
การสร้างและดับเพลิงเงายักษ์ลงในพริบตาเช่นนี้เปลืองพลังมาก แต่ซูเฉินไม่ใส่ใจ “หานเยี่ยน เจียงซีสุ่ยวานให้ข้าสร้างทักษะต้นกำเนิดให้เจ้า 2 วิชา เจ้าดูให้ดี ข้าจะใช้วิชาหนึ่งให้เจ้าดู ข้าเรียกมันว่าบุปผาเหมันต์หอม !”
ว่าแล้วเขาก็ยกฝ่ามือขึ้นปะทะอากาศเบื้องหน้า บนฝ่ามือเริ่มมีพลังเยือกแข็งมารวมตัวกันทันที ก่อเกิดเป็นบุปผาเหมันต์จำนวนมาก
บุปผาเหล่านี้เกิดจากหิมะและพลังเยือกแข็ง คมเฉียบและส่องประกายเย็นยะเยือก หมุนคว้างอยู่กลางอากาศด้วยความเร็วสูงราวกับเครื่องบดเนื้อ มันดูดเอาทุกอย่างที่อยู่ใกล้เข้าไปบดเสียเหลือแต่ชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ซูเฉินพลันเอ่ย “จีหานเยี่ยน วิถีการต่อสู้ของเจ้านั้นดุดันรุนแรง แต่เจ้าขาดกำลังกาย ส่วนวิถีการต่อสู้ของข้า การลดทอนจุดบกพร่องนั้นสำคัญกว่าความรุนแรงในการโจมตี ดังนั้นข้าจึงคิดค้นบุปผาเหมันต์หอมมาให้เจ้า เจ้าสามารถใช้มันได้ติดต่อกัน ทั้งยังเลือกศัตรูได้ และเพราะมันมีพลังเยือกแข็งอยู่ด้วย ใครที่ถูกมันจะเคลื่อนไหวช้าลง แม้จะไม่ตายก็ตามที ใช่แล้ว อีกทั้งมันยังเป็นวิชาที่มีพื้นฐานมาจากตาข่ายลมพิสุทธิ์ ฉะนั้นเจ้าใช้มันได้รวดเร็วกว่าปกติแน่”
จีหานเยี่ยนพลัยเผยแววตื่นเต้นในนัยน์ตา “เป็นทักษะต้นกำเนิดที่ดีไม่น้อย ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะคิดค้นมันได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”
“ยังไม่สมบูรณ์หรอก” ซูเฉินกลับตอบออกมาเช่นนี้
“อะไรนะ ?” จีหานเยี่ยนจ้องซูเฉินด้วยความสับสน
ซูเฉินเอ่ย “เป็นเพียงเค้าโครงวิชาเท่านั้น ห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์นัก”
“ทว่า……”
“แต่ข้าทำได้อย่างไรใช่หรือไม่ ?” ซูเฉินชี้พลังเยือกแข็งวนเบื้องหน้า “เป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุดเลยทีเดียว เหตุใดข้าจึงสามารถใช้วิชาที่ข้ายังวางโครงสร้างไม่ทันจบออกมาได้ ? ม่อ เจ้าจะช่วยอธิบายให้ได้หรือไม่ ?”
ม่อที่มีสีหน้าสงบเยือกเย็นมาโดยตลอดพลันเปลี่ยนสีหน้าในตอนนี้
ภาพม่อในผลึกแก้ววงกตทุกคนปรากฏแววตกตะลึง กระทั่งเจือด้วยความหวาดกลัว
“ฮึ่ม !” จากนั้นก็คำรามใส่ซูเฉิน
อสูรสีเลือดขนาดใหญ่ที่กำลังประมือกับอันซื่อหยวนพลันหยุดมือ หันมาพุ่งใส่ชายหนุ่มทันที
มันคิดอยากไป แต่มีหรืออันซื่อหยวนจะปล่อยมันไปง่าย ๆ?
หมัดอหังการยังซัดเข้าใส่สัตว์อสูรร่างยักษ์ไม่หยุด อันซื่อหยวนร้องขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ ?” ซูเฉินเอ่ยเสียงเย็น ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าแล้วเหินร่างขึ้น ส่งหมัดเข้าใส่เพดานหินหนาเหนือศีรษะทุกคน
บรรยากาศเบื้องหน้าเพดานหินพลันเปลี่ยนแปลงไป ฝ่ามือขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากเพดานหิน ซัดเข้าใส่ซูเฉิน หมายจะกดร่างเขาให้บี้แบนไป
“ช่วยข้าสกัดมันที !” ซูเฉินตะโกนบอก
จีหานเยี่ยน หลู่ชิงกวง และคนอื่น ๆ โจมตีออกไปตาม ๆ กัน สกัดมือขนาดใหญ่นั่นไว้ได้
เป็นตอนนั้นเองที่หมัดของซูเฉินกระแทกเข้าใส่เพดานหินอีกครา
“สว่านทะลวงเกราะ !”
“ไม่ !” ม่อร้องเสียงแหลม
เมื่อซูเฉินปล่อยหมัดเต็มกำลังออกไปแล้ว ทุกคนพลันเห็นว่าพื้นที่โดยรอบตนกำลังละลายหายไป
อสูรสีเลือด ? ผลึกแก้ววงกตอะไรกัน ? พวกมันพากันหายไปหมดไม่เหลือซาก มีเพียงหุบเขาที่เงียบสงบเท่านั้น
พวกเขาทั้งหมดกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง ล้อมรอบไปด้วยเถาวัลย์ที่เลื้อยมาพันรอบกาย บางคนถูกมันพันทะลวงอกทะลุหัวใจไปแล้วก็ยังมี
และบนแท่นสูงที่ห่างไปไม่ไกลนั้น ก็มีเผ่าวิญญาณคนหนึ่งกำลังยืนกรีดร้องเสียงโหยหวนราวกับจะสิ้นสติให้ได้
“ไอ้เด็กเวร ไอ้เด็กบัดซบ ! ทำลายค่ายกลมายาของข้าลงได้ ! เจ้าไม่รอดแน่ ! ข้าจะสังหารเจ้า สังหารเจ้าแน่ !!!”