ภาคที่ 3 บทที่ 99 ล่า (4)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 99 ล่า (4)

อันซื่อหยวนโกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก

เขาเป็นเจ้าเมือง มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเป็นของตน หากลูกน้องรับมือไม่ได้ เขาก็จะลงมือเอง

สถานการณ์ตอนนี้ลูกน้องเขาไม่อาจรับมือได้อย่างเห็นได้ชัด เพียงพริบตาก็เสียคนไปถึงสี่ แต่กลับไม่อาจแม้แต่แตะต้องม่อได้

พวกเขาตั้งกองพลนำคนมาตั้งมาก แต่กลับเป็นการเอาหัวใส่พานถวายให้ม่อ

ทุกชีวิตที่เสียไปเป็นการทำให้เกียรติของอันซื่อหยวนมัวหมอง

แม้หลู่ชิงกวงไม่ตะโกนเรียก เขาก็จะลงมืออยู่แล้ว

เขากำมือขวาแน่น ก่อนจะปล่อยหมัดเข้าใส่ผลึกแก้ววงกตด้านหน้า

หมัดตรงธรรมดา ๆ นี้มีพลังมหาศาลที่ถูกอัดไว้ภายใน

เมื่อมีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังมากเช่นเขา หมัดเพียงหนึ่งหมัดก็มีพลังมหาศาลได้ บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องออกท่าอะไรมากมาย

หมัดเดียวนี้พร้อมกับพลังที่อัดแน่นพุ่งออกไปพร้อมกับสะเก็ดพลัง กระทั่งมวลอากาศที่กลั่นแน่นยังถูกพลังหมัดสะบั้นขาด กลับไปเป็นอากาศธรรมดาดังเดิม

ใช้กำลังทะลวงผ่านไปเลย !

หมัดอหังการ !

เป็นตอนนั้นเองที่ทุกคนสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลเบื้องหลังหมัด บางคนกระทั่งร้องชมขึ้นมา

“ทรงพลังนัก !” ม่อถอนหายใจชื่นชม

จากนั้นเสียงผลึกแก้วปริแตกก็ดังขึ้นให้ได้ยิน

ผลึกแก้ววงกตไม่อาจต้านหมัดอันซื่อหยวน เพียงหมัดเดียวก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

เศษผลึกแก้วส่องล้อแสง กระจายไปรอบทิศ เกิดเป็นแสงสีรุ้งน่าสะดุดตา

หากแต่อึดใจต่อมา เศษผลึกแก้วที่กระเด็นไปคนละทิศคนละทางกลับก่อรูปขึ้นใหม่ราวกับมันกระเด็นย้อนกลับ เรื่องก่อนหน้าราวกับเป็นเพียงภาพมายา ผลึกแก้ววงกตที่ถูกทำลายไปแล้วกลับมาผสานกันดังเดิม

“วิชาย้อนเวลาหรือ ? เป็นไปไม่ได้ !” ซูเฉินอดตะโกนขึ้นไม่ได้

ม่อสามารถใช้วิชาโบราณอาร์คาน่าระดับสูงได้เช่นนี้นับว่าเข้าใจได้ แต่วิชาย้อนเวลาเป็นวิชาอาร์คาน่าระดับต้องห้าม กระทั่งปรมาจารย์อาร์คาน่าเอง หากคิดจะใช้วิชาระดับนี้ยังต้องสูญเสียไปมากมาย

ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่ม่อจะสามารถใช้วิชาเช่นนี้ได้

“ข้าไม่เคยบอกว่ามันเป็นวิชาย้อนเวลา” ม่อหัวเราะ “เจ้าหนุ่ม เจ้ายังขาดประสบการณ์อยู่ วิชาย้อนเวลาไม่ใช่วิชาเดียวที่สามารถคืนรูปเดิมให้สิ่งของได้”

“แล้วมันคือวิชาอะไรเล่า ?” ซูเฉินถาม

“หากเจ้าไม่ให้พวกเขาหยุด ข้าก็ไม่มีเวลามาตอบคำถามเจ้า” ม่อเอ่ย

เขาต้องการให้ศัตรูหยุดมือ แต่เขาเองกลับไม่หยุด นับตั้งแต่ที่อันซื่อหยวนทำลายผลึกแก้ววงกตจนมันกลับมาสภาพดังเดิม ม่อก็กะซวกหัวใจไปอีก 2 ดวง ลงมือเหี้ยมโหดรวดเร็วนัก

อันซื่อหยวนโกรธเป็นหนักหนา

เขาร้องลั่น จากนั้นส่งหมัดอหังการกว่าสิบหมัดออกไปติดต่อกัน

หมัดทุกหมัดอัดแน่นด้วยพลังมหาศาล สะท้านฟ้าสะเทือนขุนเขา

เศษผลึกแก้วแตกกระจายไปในอากาศอีกครั้ง เกิดเป็นภาพแสงสีรุ้งงดงามตา

ถึงกระนั้น ท่ามกลางแสงหลากสีเหล่านี้ เวลากลับหมุนย้อนกลับอีกครั้ง การโจมตีเงียบเชียบยังคงดำเนินต่อไป อันซื่อหยวนยังทรงพลังไม่ลดน้อยลง แต่ลูกน้องกลับตายไปทีละคน ๆ

จนถึงตอนนี้มีกองลาดตระเวนและทหารประจำเมืองตายภายใต้กรงเล็บของม่อไปหลายคนแล้ว

เขาคล้ายกับหมาป่าเร้นกายในความมืด หยิบยืมการเร้นกายมาใช้โจมตีไม่หยุดยั้ง เป็นกลยุทธ์ที่หาทางรับมือได้ยาก เหยื่อที่เขาเลือกก็ไม่อาจต้านทานเขาได้

เผ่าวิญญาณระดับต่ำเช่นเขาสามารถสังหารคนได้ง่ายดายทั้งที่เผชิญหน้ากับคนมากมายเช่นนี้ ทั้งยังมีคนด่านสู่พิสดารหนึ่งคน ด่านทะลวงลมปราณอีกสองคน อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีกเป็นโขยง นับว่าไม่ปกติแต่อย่างใด

เคราะห์ร้ายที่อีกฝ่ายยิ่งใช้วิชา อันซื่อหยวนก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว

อีกฝั่งขึ้นผงาด ย่อมต้องมีอีกฝั่งที่ล่มจมเสมอ

การกระทำโอหังของม่อมีแต่จะแสดงให้เห็นว่าอันซื่อหยวนไร้ความสามารถ ใช้คนด่านสู่พิสดารเป็นบันไดก้าวขึ้นสู่จุดสูง

แต่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ตอนนี้ม่อก็ได้ฝากร่องรอยลึกล้ำไว้ในใจทุกคนแล้ว

ซูเฉินเห็นดังนั้นก็ได้แต่คิดว่าใต้หล้าช่างกว้างใหญ่ ไม่ขาดคนมีฝีมือจริง ๆ

แต่อันซื่อหยวนไม่มีทางปล่อยให้เผ่าวิญญาณระดับต่ำเช่นอีกฝ่ายอยู่เหนือเขาไปได้

ศักดิ์ศรีคนด่านสู่พิสดารไม่อาจทำให้เขายอมรับเรื่องเช่นนั้นได้

หากนับกันเรื่องพละกำลัง เขามั่นใจว่าตนเอาชนะอีกฝ่ายได้

แต่เพราะวิชาเร้นกายของอีกฝ่ายประหลาดเกินไป อีกทั้งยังมีผลึกแก้ววงกตเองที่ไม่อาจทำลายลงได้อีก

“หากเก่งนักก็มาสู้กับข้า !” อันซื่อหยวนคำรามโกรธ

หากแต่ม่อเพียงหัวเราะเสียงเย็น

อันซื่อหยวนเห็นว่าศัตรูไม่คิดตอบก็พลันกระชากกำไลลูกประคำออกจากข้อมือตน

ประคำเส้นนี้เขาสวมติดมือไว้ตลอด ปกติยามเบื่อ ๆ เขาก็จะเอามาถือเล่น คนอื่นอาจเห็นเป็นเพียงของธรรมดา แต่คนใกล้ชิดอย่างหลู่ชิงกวงรู้ดีว่ามันคือ ‘ประคำจับมาร’ ที่อันซื่อหยวนใช้อยู่บ่อยครั้ง

ประคำจับมารทั้ง 12 เม็ดนี้ทำมาจากไม้พายุเมฆและส่วนผสมลับอีก 9 ชนิด เมื่อโยนออกไปแล้วจะปล่อยพลังมหาศาลออกมา สามารถทำลายพลังงานปีศาจได้

ผลึกแก้ววงกตไม่มีพลังงานปีศาจสิงสถิตอยู่ ดังนั้นจึงไม่อาจใช้ลูกประคำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่อย่างน้อยประคำจับมารก็ยังมีประโยชน์ในแบบฉบับของมันเอง

พริบตานั้น ประคำจับมารทั้ง 12 เม็ดก็พุ่งออกไปหมุนคว้างในอากาศ ปล่องสายฟ้าฟาดออกยังพื้นที่โดยรอบขณะที่ตัวมันหมุนคว้างไปด้วย ดูราวกับเมฆฝนกำลังหมุนวนอย่างไรก็อย่างนั้น

อันซื่อหยวนปล่อยอีกหนึ่งหมัดออกมา

เขาไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ผลึกแก้ววงกตที่กระทั่งคนสิบคนยังไม่อาจทำลายได้ ถูกเขาใช้หมัดเดียวทะลวงผ่านทำลายสิ้น เศษผลึกแก้วกระเด็นไปทั่วทิศอีกครั้ง

และเมื่อเศษผลึกแก้วกำลังจะกลับคืนรูปเดิมอีกครั้งหนึ่ง เมฆฝนก็เริ่มสาดสายเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเข้าใส่มัน

พลังสายฟ้าฟาดซัดเข้าใส่เศษผลึกแก้ว ทำลายมันจนกลายเป็นชิ้นละเอียดกว่าเดิม

อันซื่อหยวนปรับสายฟ้าที่ซัดออกจากประคำจับมาร ตัวสายฟ้าที่ซัดออกมาไม่ได้ทรงพลังมากมาย แต่ก็ยังทรงพลังจนสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้อย่างต่อเนื่อง

ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องสายฟ้าผ่าคำรามลั่นไม่หยุดนั้น ม่อจึงไม่อาจทำให้ผลึกแก้ววงกตคืนรูปได้อีก

แต่ถึงกระนั้น เพียงพริบตาต่อมาก็เกิดภาพไม่น่าเชื่อสายตาขึ้น

แม้จะถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ไม่หยุด ผลึกแก้ววงกตก็ยังค่อย ๆ กลับมาคืนรูปร่างเดิมอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้

ท่ามกลางแสงสีที่ส่องสะท้อน ม่อนับไม่ถ้วนกำลังหัวเราะเยาะเย้ยใส่อันซื่อหยวน ในเวลาเดียวกันนั้นทหารประจำเมืองและกองลาดตระเวนกลับพากันล้มลงทีละคน ๆ

“เป็นไปไม่ได้ !” อันซื่อหยวนตกตะลึงไป

“ยอมรับผลเสียเถอะ มนุษย์ผู้โง่เขลา !” ม่อหัวเราะเสียงทะมึน

ที่ด้านหลังอันซื่อหยวนบังเกิดสัตว์อสูรตัวสีขาวขนาดมหึมาขึ้นตัวหนึ่ง

สายเลือดระดับเจ้าอสูร สิงห์ขาว

คนด่านสู่พิสดารกลับถูกเผ่าวิญญาณระดับต่ำบีบให้จนต้องใช้พลังจากสายเลือด

แม้พลังจากสายเลือดที่เขาแผ่ออกมาจะส่งแรงกดดัน ทำให้คนอื่น ๆ พากันตัวสั่น แต่ภายในใจอันซื่อหยวนกลับรู้สึกอับอายเป็นยิ่งนัก

เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก

ไอ้บัดซบนี่ ! เขาจะหั่นศพมันเป็นพัน ๆ ชิ้นไปเลย !

หากแต่พริบตาต่อมา อสูรกายสีโลหิตขนาดใหญ่พอกันก็ปรากฏขึ้นจากที่ใดไม่อาจทราบได้เช่นกัน

“เสวี่ยหยา สำแดงพลังให้มันดูเสีย” ม่อเอ่ยเสียงเย็น

“กรรรรร !” ภายในถ้ำถูกเสียงคำรามเกรี้ยวกราดสั่นสะเทือนในพลัน