บทที่ 335 แม้ว่าท่านคือฮ่องเต้ ก็เปล่าประโยชน์
หนิงเมิ่งเหยามองหนานกงเช่อ จนเขาสามารถรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของนาง
หญิงสาวเดินไปนั่งยอง ก่อนมองชายผู้นั้นที่ตอนนี้ทรุดลงกับพื้นไปแล้ว “ท่านรู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ทำร้ายข้าจนแท้งลูก รวมถึงพวกที่ลักลอบเข้ามาในบ้านของเรา”
ดวงตาของหนานกงเช่อแดงก่ำ ‘เขารู้ แน่นอนว่าเขารู้’
หลังจากที่ตระกูลเฉียวระรานพวกเขาในตอนนั้น ผู้คนที่เข้าไปในจวนแม่ทัพก็เหลือแต่กระดูก ส่วนเฉียวเจิ้งหงนั้นก็ถูกตัดแขนจนกลายเป็นมนุษย์สุกร เขายังคงอยู่ในจวนตระกูลเฉียว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขายังมีลมหายใจอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว
ในช่วงเวลานั้น คนสองคนจากตระกูลเฉียวต่างหวาดกลัวและแทบจะเป็นบ้า ในเกือบทุกค่ำคืน พวกเขาต้องทุกข์ทนกับฝันร้ายนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งนั่นก็เป็นการยืนยันว่าวิธีการของหญิงสาวเหี้ยมโหดเพียงใด
หนิงเมิ่งเหยามองท่าทีที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงของหนานกงเช่อ แล้วยิ้มขึ้น “พวกท่านช่วยทำให้ข้ารู้สึกสงบใจสักสองสามวันมิได้หรืออย่างไรกัน” ‘พวกเขาเอาแต่จะสร้างปัญหาให้แก่หญิงสาว ทำไมถึงไม่ยอมให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกันนะ’
“เจ้าคิดจะทำอะไร” หลังจากหนานกงเช่อตื่นตระหนกกับน้ำเสียงอันเยือกเย็นของนาง เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่หนักแน่นนัก
หญิงสาวยกยิ้มที่แฝงไปด้วยความน่ากลัว “ข้าอยากทำอะไรน่ะหรือ ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดจะจับข้าส่งกลับไปยังเมืองหลิง นั่นเป็นความคิดของท่านหรือหลิงฮ่องเต้กันเล่า”
หนานกงเยว่ที่อยู่ใกล้ๆ มีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก
“ไม่ตอบหรือ ไม่เป็นไร ข้าจะทำให้เจ้าพูดเอง” นางพูดขึ้นพลางหยิบโอสถที่มีกลิ่นอ่อนๆ ออกมา ก่อนจะยัดมันใส่ปากของหนานกงเช่อ
“แค่ก แค่ก เจ้าให้ข้ากินอะไรเข้าไป” เขารีบล้วงคออย่างรวดเร็ว และพยายามจะขย้อนเอาโอสถเม็ดนั้นออกมา
หนิงเมิ่งเหยายืนขึ้นมองอีกฝ่าย “ไม่จำเป็นต้องเสียแรงล้วงคอหรอก ชิงซวงมักจะคิดค้นโอสถที่ละลายในปากเสมอ ส่วนผลข้างเคียงของมันนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ เพราะท่านคือผู้ที่ทดลองกินมันคนแรก ท่านควรจะรู้สึกเป็นเกียรตินะ”
เซียวฉีเทียนมองใบหน้าอันเย็นชาของหนิงเมิ่งเหยาขณะที่นางกำลังพูด ก่อนจะถูแขนของตนเองอย่างไม่รู้ตัว ‘ทั้งๆ ที่ตอนนี้มิใช่ฤดูหนาว แต่ทำไมเขาจึงรู้สึกเย็นยะเยือกเพียงนี้’
หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป หนานกงเช่อจึงเริ่มร่ำไห้ออกมาอย่างน่าสมเพช
ทุกคนในห้องทรงพระอักษรมองเขาอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้น พวกเขาจึงสูดลมหายใจอันเยือกเย็นเข้าปอด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้ว ทั้งฝ่ามือ ใบหน้า ผิวพรรณที่มองเห็นได้ของหนานกงเช่อนั้นก็กำลังลอกคราบและฉีกขาด โดยที่ไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยด ชั้นผิวหนังของเขาค่อยๆ ลอกออกจนสามารถมองเห็นทะลุ และแล้วทุกอย่างก็หยุดลง หลังจากร่างกายของเขากลายเป็นเกือบจะโปร่งใส ราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ทุกเมื่อแม้โดนสัมผัสอย่างแผ่วเบา
อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ หนานกงเช่อก็ไม่อาจควบคุมสติได้อีกต่อไป “ข้าคือองค์รัชทายาทแห่งเมืองหลิง หนิงเมิ่งเหยา ท่านพ่อของข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
“ฮ่าๆๆ องค์รัชทายาทแห่งเมืองหลิงเช่นนั้นหรือ แม้ว่าวันนี้ ท่านคือฮ่องเต้ ท่านก็จะต้องตายที่นี่อยู่ดี” หนิงเมิ่งเหยามองเขาอย่างโหดเหี้ยม
บางที อาจเป็นเพราะว่าหญิงสาวทำตัวราวกับเป็นคนที่ถูกรังแกได้ง่ายๆ จึงทำให้ผู้คนเข้ามาทำร้ายนางคนแล้วคนเล่า
เฉียวเทียนช่างเดินมายืนด้านหลังของหนิงเมิ่งเหยา ก่อนจะสวมกอดนางไว้แนบอกตน “เหยาเหยา เจ้ายังคงมีข้าอยู่นะ”
หนิงเมิ่งเหยาเงยหน้าและยิ้มให้ชายหนุ่ม ไม่ว่านางจะเป็นเช่นไร แต่ตราบใดที่นางหันมาแล้วยังเห็นชายผู้นี้อยู่ นางก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว
เซียวฉีเทียนที่ก่อนหน้านี้อึดอัดใจอยู่นั้น ก็ค่อยๆ รู้สึกคุ้นชินขึ้น ก่อนจะปรากฏตัวต่อหน้าหนิงเมิ่งเหยาและมองดูหนานกงเช่อ “เขาจะมีอาการอะไรต่อจากนี้อีกหรือไม่”
หญิงสาวมองเซียวฉีเทียน “เจ้าอยากรู้จริงหรือ”
“ใช่”
“เจ้าลองกินดูสักเม็ดไหมล่ะ” นางหยิบโอสถขึ้นมาขณะเอ่ย
เซียวฉีเทียนรีบส่ายหน้า ‘เขาไม่จับต้องสิ่งนี้จะดีกว่า ของพวกนี้ถูกสร้างมาเพื่อฆ่าคนชัดๆ’
หลังจากเห็นท่าทีของเซียวฉีเทียน หนิงเมิ่งเหยาก็อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะหยิบมันใส่ปากตนเอง “นี่คือลูกอมวุ้นน่ะ” มันคือลูกอมที่นางทำไว้ตอนที่มีเวลาว่าง ทำไมเขาต้องรู้สึกหวาดกลัวขนาดนั้นด้วยเล่า
เมื่อเซียวฉีเทียนถูกหลอก ใบหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีเข้ม
“เจ้ากำลังล้อข้าเล่น” เซียวฉีเทียนพูดพลางขบฟันแน่น
หนิงเมิ่งเหยากะพริบตาก่อนเอ่ยอย่างไร้เดียงสา “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”
“เจ้า…”
“อ๊าก…” ในขณะที่เซียวฉีเทียนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างนั้น จู่ๆ หนานกงเช่อที่ก่อนหน้านี้สงบลงแล้ว ก็กรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน
บทที่ 336 ดอกไม้ที่เบ่งบานบนใบหน้า
เสียงร้องโหยหวนนั้นทำให้เซียวฉีเทียนถึงกับคอหด เสียงนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็รับรู้ถึงสาเหตุของเสียงร้องนั้น เมื่อพบว่ามีสิ่งเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนผิวหนังอันเปราะบางของหนานกงเช่อ
สิ่งเล็กๆ เหล่านั้นเป็นสิ่งมีชีวิต เมื่อมองผ่านผิวหนังที่บางจนเกือบโปร่งใสของเขาแล้ว ทำให้เห็นว่ามันมีรูปร่างคล้ายกู่หนอนจำนวนมากกำลังดีดดิ้นอยู่ใต้ผิวหนังของเขา
หลังจากที่เซียวฉีเทียนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เขาก็ชะงักและถอยหลังสองสามก้าวอย่างระมัดระวัง เขาประเมินระดับความโหดเหี้ยมของหนิงเมิ่งเหยาต่ำไปจริงๆ
หญิงสาวมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสุขุม ก่อนจะคลี่รอยยิ้มออกมา “มันเจ็บปวดมากเลยหรือ”
“ปีศาจ….นังผู้หญิงปีศาจ” ในขณะที่หนานกงเช่อสับสนอยู่นั้น ก็ได้ยินคำพูดจากอีกฝ่าย เขาจึงขบฟันกรอดพลางสาปแช่ง
หนิงเมิ่งเหยามองดูชายตรงหน้าพร้อมกับยิ้มให้อย่างสวยงาม ก่อนจะพูดเย้ยหยัน “ใช่ ข้าคือปีศาจ แต่นั่นก็เพราะพวกท่านทั้งหลายบังคับให้ข้าเป็นมิใช่หรือ” มันไม่ใช่สิ่งที่นางอยากจะเป็นเลย
หญิงสาวไม่เคยคิดจะเป็นศัตรูกับใคร นางพัฒนาทงเป่าไจถึงระดับนี้ เพียงเพื่อให้ตนเองได้ใช้ชีวิตชีวิตอย่างมีความสุข
แต่หนิงเมิ่งเหยากลับตระหนักได้ว่าชีวิตเช่นนี้นั้น ค่อยๆ ลำบากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ตัวตนของนางในทงเป่าไจถูกเปิดเผย หลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป สายตาของผู้คนที่จับจ้องนางนั้น ราวกับกำลังมองสมบัติล้ำค่าที่พวกเขาต่างอยากเอามาครอบครองไว้เอง
หญิงสาวเต็มใจจะเป็นปีศาจร้าย ถ้าหากมันจะช่วยขจัดปัญหาและเรื่องวุ่นวายต่างๆ ออกไปได้
หนานกงเยี่ยนรู้สึกเศร้าใจเมื่อเห็นลูกสาวผู้เป็นที่รักเป็นเช่นนี้ หากเขาพบหญิงสาวเร็วกว่านี้ นางก็คงไม่ต้องเจ็บปวด
“เหยาเอ๋อร์ พ่อช่างไร้ประโยชน์นักที่ใช้เวลายาวนานเหลือเกินกว่าจะพบเจ้า” หนานกงเยี่ยนเดินไปยืนข้างๆ ลูกสาว ก่อนกล่าวโทษตนเอง
หัวใจอันเย็นชาของหนิงเมิ่งเหยาพลันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น “ท่านพ่อ ข้าไม่โทษท่านหรอก”
จริงๆ แล้วนางมีผู้คนมากมายที่รักและคอยห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นเฉียวเทียนช่าง หนานกงเยี่ยน เหมยรั่วหลินและคนอื่นๆ รวมถึงหยางเล่อเล่อและตระกูลของนาง นอกจากนี้ยังมีสหายเซียวฉีเทียนอีกด้วย ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่สำคัญกับนางเลย
“เทียนช่าง จริงๆ แล้วข้ามีทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าควรจะพอใจ”
“หนิงเมิ่งเหยา โลกใบนี้มีแต่จะเยาะเย้ยที่เจ้าทำตัวเช่นนี้” เมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยามีท่าทีที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หนานกงเยว่จึงพูดขึ้นในทันใด เขารู้สึกตงิดใจ ราวกับว่าหญิงสาวในตอนนี้จะทำให้คนอื่นๆ เป็นทุกข์
“ฮ่าๆ ข้าจะถูกโลกใบนี้เย้ยหยันเช่นนั้นหรือ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดนินทาลับหลังข้าเช่นไรก็ไม่สำคัญหรอก พวกเขากล้าพูดต่อหน้าข้าหรือไม่เล่า” ในความจริงแล้ว หนิงเมิ่งเหยามิใช่คนหยิ่งยโส แต่ด้วยตัวตนและพลังอำนาจในมือของหญิงสาวนั้น ก็เป็นตัวชี้ชัดแล้วว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรต่อหน้านาง
หนานกงเยว่เงียบและไม่เอ่ยคำใดต่อ เนื่องจากหนิงเมิ่งเหยานั้นพูดถูก ไม่มีผู้ใดกล้าพูดจาสามหาวต่อหน้านาง หนำซ้ำ พวกเขายังจะแย่งชิงกันพูดจาประจบประแจงนางด้วยซ้ำไป
“อ๊า หนานกงเยว่ ฆ่าข้าเถอะ” ทันใดนั้น หนานกงเช่อก็ส่งเสียงกรีดร้องพลางลูบใบหน้าของตนเอง
เขาเกาผิวหน้าของตนเอง จนเลือดเริ่มไหลออกจากใบหน้า แต่ทว่าการกระทำของเขานั้น กลับทำให้หนิงเมิ่งเหยายิ้มมุมปาก
อย่างไรก็ตาม บริเวณที่เลือดไหลออกมานั้นแปลกมาก เพราะราวกับว่าเลือดที่ไหลลงมานั้นจะแข็งตัวและไม่ไหลต่ออีก
ผู้คนรอบข้างเริ่มสังเกตได้ว่าคราบเลือดบนใบหน้าของหนานกงเช่อนั้น ก่อตัวเป็นดอกไม้สีแดงเข้มและดูงดงาม ทำให้พวกเขาอยากครอบครองดอกไม้เหล่านั้น แต่ขณะเดียวกัน มันก็ดูน่ากลัว จนพวกเขาอยากจะอยู่ให้ห่างไกลจากมันเสียมากกว่า
“ท่านรู้หรือไม่ว่านี่คือดอกไม้อะไร” หนิงเมิ่งเหยามองเหล่าดอกไม้สีแดงเข้มที่ดูน่าหลงใหลบนใบหน้าของหนานกงเช่อ
“มันคือดอกอะไร”
“มันคือดอกไม้อเวจี หรือดอกปี่อั้น นั่นเอง อีกชื่อหนึ่งคือดอกปี่อั้นแมงมุมแดง” หนิงเมิ่งเหยาพูดอย่างเยือกเย็น
จริงๆ แล้ว ดอกปี่อั้นนั้นเป็นดอกไม้ที่สวยงามและโดดเดี่ยวอย่างมากชนิดหนึ่ง
“ดอกปี่อั้นหรือ”
“ใช่ มีทั้งดอกไม้ที่ไม่มีใบ และใบที่ไม่มีดอก ตำนานกล่าวว่า พวกมันจะเบ่งบานริมแม่น้ำอเวจีที่ถูกหลงลืม มันมีสีแดงเข้ม และได้รับการขนานนามว่าเป็นดอกไม้แห่งการต้อนรับ” หนิงเมิ่งเหยาเคยชื่นชอบดอกปี่อั้นอย่างมาก จนไม่สนใจคำคัดค้านจากตระกูลของตนเองและหลิงหลัว ก่อนจะปลูกดอกไม้เป็นสวนหย่อม มีทั้งสีแดงเข้ม สีเหลือง สีขาว และสีสันอื่นๆ อีกมากมาย แต่ทว่าตัวนางนั้นชอบสีแดงเข้มโดยเฉพาะ
สวนหย่อมสีแดงเข้มสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ราวกับว่าพื้นดินผืนนั้นแปดเปื้อนด้วยหยาดโลหิต มันช่างงดงาม แต่ก็ดูน่ากลัวยิ่งนัก
เซียวฉีเทียนหันมองหนานกงเช่อโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะพบว่าบนใบหน้าของเขานั้นมีดอกปี่อั้นผุดขึ้นมา หลังจากพวกมันปกคลุมใบหน้าทั้งหมดของเขา พลังชีวิตของชายผู้นี้ก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง จนกระทั่งดอกไม้ทั้งหลายเบ่งบาน ลมหายใจของหนานกงเช่อก็หยุดลงในทันที ทิ้งไว้เพียงบรรดาดอกไม้อันงดงามบนใบหน้าและฝ่ามือของเขาเท่านั้น