บทที่ 337 ตราบใดที่นางมีความสุข
เมื่อเห็นหนานกงเช่อสิ้นลมหายใจไปต่อหน้าทุกคน หนานกงเยว่และคนอื่นๆ ต่างรู้สึกสั่นสะท้านไปถึงหัวใจ ก่อนจะรู้สึกหวาดผวาเมื่อมองดูหนิงเมิ่งเหยา
“โอสถนี้ถูกผลิตขึ้นมาได้อย่างไรกัน ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว” หลังจากเซียวฉีเทียนรู้ว่าหนานกงเช่อเสียชีวิตแล้ว ก็ใช้เวลาเรียกสติกลับคืนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้เลย ชิงซวงเป็นผู้คิดค้นขึ้น และดูเหมือนว่าจะมีกู่พิษเป็นส่วนผสมในนั้นด้วย”
ช่วงนี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชิงซวง แต่ดูเหมือนว่านางจะหมกมุ่นกับกู่พิษอย่างยิ่ง เมื่อมีเวลาว่างในทุกวัน นางจะลากหนานอวี่ออกไปพูดคุยกันสองคน หากหนิงเมิ่งเหยาไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของนาง ก็คงคิดว่าชิงซวงนั้นตกหลุมรักหนานอวี่เป็นแน่
เซียวฉีเทียนกลืนน้ำลาย ก่อนตัดสินใจว่าจะอยู่ให้ห่างจากหญิงสาวผู้นี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นางช่างน่ากลัวเหลือเกิน
บรรดาทูตจากเมืองหลิงต่างตกตะลึงเมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ แต่แล้วจู่ๆ หนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็ร้องตะโกนขึ้น “เซียวฮ่องเต้ นางปลงพระชนม์องค์รัชทายาทของพวกเราไปต่อหน้าต่อตา ฝ่าบาทจะต้องให้คำอธิบายแก่พวกเราพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วมองคนผู้นั้น ก่อนจะเอ่ยอย่างสุขุม “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไปบ้าง ทั้งวางแผนเล่นงานข้า และเกือบจะทำให้ข้ากลายเป็นอาวุธสังหารอีกด้วย”
หลังจากได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของนาง ชายผู้นั้นก็แข็งเกร็งไปทั้งตัว ก่อนจะเหลือบมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่รู้ตัว แล้วพบว่าดวงตาของนางนั้นเย็นชาไร้ความรู้สึก ทำให้เขาหวาดกลัวจนล้มลงไปกองกับพื้น
หญิงสาวเยาะเย้ย “ต้องการคำอธิบายเช่นนั้นหรือ ได้ เราไม่จำเป็นต้องเจรจาต่อรองอะไรกันอีกต่อไปแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาเดินไปนั่งตรงที่นั่งของตนและมองหนานกงเยว่อย่างเยือกเย็น “แต่ข้าก็ไม่รู้นะว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น”
หนานกงเยว่แน่นิ่งไปขณะมองดูอีกฝ่าย “นายหญิงเฉียวคิดมากเกินไปแล้ว มันเป็นความผิดของพวกเราจริงๆ ต้องขออภัยด้วย”
ณ ขณะนี้ การก้มศีรษะยอมรับความผิดนั้นมิใช่ปัญหาใหญ่ หรือเป็นเรื่องที่น่าอับอายอีกต่อไป เพราะหากต้องเลือกระหว่างความตายกับการมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าใครก็ย่อมเลือกอย่างหลังเป็นแน่
หนิงเมิ่งเหยามองหนานกงเยว่ “แต่ดูเหมือนว่าเหล่าทูตจากเมืองของท่านจะไม่คิดเช่นนั้นนะ”
หนานกงเยว่มองไปยังคนที่ไม่พอใจรอบข้าง สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก
“หนานกงเยว่ ท่านลองเจรจากับพวกเขาดูสิว่า พวกข้าควรเป็นฝ่ายที่จะต้องให้คำอธิบายกับพวกท่าน หรือมันควรจะสลับกัน” หญิงสาวมองหนานกงเยว่อย่างเย็นชา และไม่ถือสาที่อีกฝ่ายดูจะเกลียดชังตนเข้ากระดูกดำ
ทูตจากเมืองหลิงมองหนานกงเยี่ยน “ผู้สำเร็จราชการขอรับ ท่านคิดจะมองดูนางทำกับเราเช่นนี้หรือขอรับ”
นางคือองค์หญิงและเป็นพลเมืองของเมืองหลิงเช่นกัน สิ่งที่นางทำลงไปนั้น มันเกินกว่าจะยอมรับได้
หนานกงเยี่ยนมองทูตผู้นั้น “ข้าเคยพูดไปตั้งแต่แรกแล้วว่า ผู้ใดก็ตามที่ทำร้ายนางจะต้องชดใช้ นางสามารถทำอะไรก็ได้ ตราบเท่าที่นางพอใจ”
ในเวลานั้นเอง หนานกงเยว่ก็อยากจะเปิดกะโหลกของทูตผู้นั้นดูว่ามีอะไรอยู่ภายใน ‘พวกเขายังหวังจะให้ผู้สำเร็จราชการต่อต้านอีกฝ่ายอยู่อีกหรือ ช่างประเมินความสามารถของตนสูงเกินไปนัก’
“เรายินดีที่จะยกห้าแคว้นให้ เพื่อเป็นการชดเชยให้แก่เมืองเซียวพ่ะย่ะค่ะ” ท้ายที่สุด หนานกงเยว่จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก
พวกเขาจะชดเชยให้อีกฝ่ายในวันนี้ ก่อนจะเอาคืนในอนาคต
หนิงเมิ่งเหยามองเซียวชวี่เฟิง “ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินใจเพคะ”
เซียวชวี่เฟิงผงกศีรษะ “ต้องเป็นห้าแคว้นที่อยู่ใกล้กับเมืองเซียวมากที่สุด”
ท่าทีของหนานกงเยว่เปลี่ยนไป เขารู้ดีว่าห้าแคว้นที่เซียวฮ่องเต้พูดถึงนั้น มีแคว้นใดบ้าง ทั้งห้าแคว้นนั้นเป็นแคว้นที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมืองหลิง
หนานกงเยว่มองไม่เห็นโอกาสที่จะเจรจาต่อรองได้ เขาจึงขบฟันกรอดและพยักหน้า
“ตกลง”
หนานกงเยว่เขียนเอกสารรับรองแคว้นต่างๆ ก่อนจะประทับตราของตน จากนั้นจึงยื่นเอกสารรับรองฉบับนั้นแก่เซียวชวี่เฟิง
เหตุการณ์ครั้งนี้จึงจบลง แต่ทันใดนั้นเอง หนิงเมิ่งเหยาก็พูดขึ้น “พวกท่านมีความสัมพันธ์เช่นไรกับเหมียวเจียงหรือ”
“ไม่มี” หนานกงเยว่ลดศีรษะลงต่ำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับสีหน้าอันสุขุม
หนิงเมิ่งเหยาหรี่ตามองท่าทีของอีกฝ่าย โดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ “เช่นนั้นรึ”
หลังจากที่หนานกงเยว่และเหล่าทูตทั้งหลายจากไป เซียวชวี่เฟิงก็มองหญิงสาว “เราจะปล่อยพวกเขาไปเช่นนั้นหรือ”
“สุนัขที่ถูกต้อนให้จนตรอกนั้น มักจะกระโดดหนีข้ามกำแพงไป นอกจากนี้ท่านไม่อยากรู้เรื่องข้อตกลงระหว่างเขากับหลิงอ๋องหรือ” เมื่อนึกถึงหลิงอ๋อง สายตาของหนิงเมิ่งเหยาก็เผยความเย็นชาออกมา
เซียวชวี่เฟิงกลั้นหายใจ “เจ้าคงไม่คิดจะทำลายหลิงอ๋องด้วยใช่หรือไม่”
บทที่ 338 ไม่มีใครขัดขวางได้
“ใครจะรู้เล่าเพคะ เมื่อถึงเวลานั้น ฝ่าบาทจะทรงทราบเองเพคะ” หนิงเมิ่งเหยามองไปที่เซียวชวี่เฟิง
นางรู้ข่าวบางอย่างที่เซียวชวี่เฟิงและคนอื่นๆ ไม่รู้ นั่นคือ เมื่อเร็วๆ นี้ หลิงอ๋องมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย และมันเกี่ยวข้องกับหนานกงเยว่และคนอื่นๆ ด้วย
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นด้วยเรื่องแคว้นทั้งห้า แต่หลังจากนี้ พวกเขาก็ไม่อาจครอบครองแคว้นเหล่านั้นได้อีกต่อไป
หลิงอ๋องเกลียดชังพวกเขามานาน หากเขาใช้ประโยชน์จากหนานกงเยว่มากกว่านี้ ก็จะยิ่งทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงได้
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”
“จับตาดูหลิงอ๋องไว้เพคะ การแสดงอันเยี่ยมยอดกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเร็วๆ นี้เพคะ” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย โดยมิได้บอกเหตุผลชัดเจน
“ตกลง”
“เหยาเหยา กลับกันเถอะ” เฉียวเทียนช่างที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้น
“ได้สิ”
“ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมก็ขอตัวจากไปพร้อมกับเหยาเอ๋อร์และคนอื่นๆ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเยี่ยนเดินตามคู่สามีภรรยาออกไป
ในเวลานี้ เขาไม่อยากกลับจวนนอกเมืองของตน เพราะอยากจะใช้เวลากับลูกสาวให้มากขึ้น
หนานกงเยว่แสดงท่าทีเคร่งขรึมขณะกลับไปยังพระราชนิเวศน์นอกเมือง ก่อนจะไล่ทุกคนที่อยู่ภายในออกไป และมองดูกระจกอย่างเคร่งขรึม “บ้าเอ๊ย” เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจและอับอายขนาดนี้มาก่อน
“ฝ่าบาท เราจะปล่อยมันไว้เช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ชายที่อยู่ข้างกายมองดูหนานกงเยว่อย่างขุ่นเคือง เขาไม่ต้องการจะเสียแคว้นทั้งห้าแห่งเช่นนี้
หนานกงเยว่มองชายคนที่พูด “แล้วข้าจะทำอย่างไรได้ หรือเจ้าอยากให้เมืองหลิงเกิดเรื่องขึ้น”
ในอดีต หนานกงเยว่รู้สึกว่าการมีทงเป่าไจอยู่ในเมืองหลิงนั้นเป็นประโยชน์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่าทงเป่าไจนั้น ราวกับเป็นดาบแหลมที่จ่อตรงคอ และสามารถขู่เอาชีวิตของพวกเขาได้ทุกเมื่อ
หากกลับไป เขาจะต้องคิดหาวิธีที่จะทำให้อิทธิพลและอำนาจของทงเป่าไจนั้นอ่อนแอลงให้ได้
“แต่ฝ่าบาท…”
“เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะทำให้พวกเขาต้องคืนแคว้นทั้งหมดกลับมา เช่นเดียวกับที่พวกนั้นยึดครองไปให้ได้” พวกมันคิดว่าจะครอบครองสมบัติของเขาง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ
เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาได้ยินดังนั้น ก็เข้าใจในทันที เขาจึงหยุดเซ้าซี้
“ถ้าเช่นนั้น ฝ่าบาทจะดำเนินการต่อไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ” ชายผู้นั้นคือที่ปรึกษาของหนานกงเยว่ นามว่าไป๋ชวี่
หนานกงเยว่มองเขา “เรื่องทางฝั่งหลิงอ๋องน่าจะเรียบร้อยดีแล้วใช่หรือไม่”
ไป๋ชวี่ตกตะลึง และเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คนรอบข้างเขาต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย ‘สองคนนี้พูดถึงเรื่องอะไรกัน เหตุใดพวกเขาจึงไม่เข้าใจสักนิด’
ณ จวนตระกูลหลิง หลิงหลัวได้รับข่าวเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของหนิงเมิ่งเหยา
“ท่านพ่อพูดว่าอะไรนะ เหยาเอ๋อร์คือลูกสาวของผู้สำเร็จราชการเมืองหลิงจริงๆ หรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน” หลิงหลัวเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
ในโลกที่เขาจากมานั้น หนิงเมิ่งเหยาเป็นคนมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย ราวกับเป็นองค์หญิงก็ไม่ปาน ทำให้ผู้อื่นต่างรู้สึกว่าเขาคบนาง เพียงเพื่อจะได้ไต่เต้าเข้าสังคมชั้นสูงเท่านั้น
หลังจากเกิดใหม่ในโลกนี้ เขาได้เป็นถึงนายน้อยแห่งจวนตระกูลหลิง ส่วนหญิงสาวนั้นกลายเป็นเด็กกำพร้า แม้ว่าเขาจะทุกข์ใจ แต่ก็รู้สึกว่าตนมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่าย
หลิงหลัวไม่เคยคาดคิดว่ามันจะกลับตาลปัตรเช่นนี้ ขณะนี้นางไม่ใช่เพียงแค่เป็นนายหญิงแห่งทงเป่าไจเท่านั้น แต่ยังเป็นถึงลูกสาวของผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองหลิงอีกด้วย
หลิงอ๋องมองผู้เป็นลูกชายพลางผงกศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ “มันเป็นความจริง ผู้สำเร็จราชการนามว่าหนานกงเยี่ยนเป็นคนเปิดเผยเรื่องนี้เอง หากยังไม่ได้รับการยืนยัน เขาคงจะไม่ป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนมากมายเป็นแน่”
หลิงอ๋องรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงคำพูดของหนานกงเยี่ยน ‘เหตุใดเขาถึงหลงใหลในตัวเซียวจื่อเซวียน จนทำให้หลิงหลัวเลิกรากับหนิงเมิ่งเหยากัน’
หากหนิงเมิ่งเหยาแต่งงานกับหลิงหลัว อำนาจและอิทธิพลของพวกเขาในตอนนี้ก็คงจะสูงส่งยิ่งนัก แตตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้แล้ว
ไม่มีผู้ใดรู้ถึงความคิดในจิตใจของหลิงหลัวได้ ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความเสียใจอันใหญ่หลวง
“ท่านพ่อ ข้าจะไม่ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ นางเป็นของข้า เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว” ดวงตาของหลิงหลัวเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
หนิงเมิ่งเหยาเป็นของเขา และเขาจะไม่ยอมให้นางอยู่กับชายอื่น
หลิงอ๋องเห็นท่าทีของผู้เป็นลูกชาย ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา “อย่าทำเรื่องโง่ๆ เลย”
หลิงหลัวไม่รับฟัง เขาต้องการตัวหนิงเมิ่งเหยาคืนมา “ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องเอานางกลับคืนมาให้ได้” ในอดีต นางไม่มีตำแหน่งฐานะใดๆ และทั้งสองคนก็เลิกรากันไป แต่ตอนนี้ นางมีฐานะอันสูงส่งแล้ว พวกเ