สองวันสุดท้าย อวิ๋นหว่านชิ่นฉวยจังหวะว่าง ไปที่เซียงหยิงซิ่ว นำดอกทิ้งถ่อนจำนวนหนึ่งกลับมา บดให้ละเอียดเป็นผงราวสิบห้ากรัม ผสมกับดอกบัลลูน และชะเอมเทศอย่างละสิบกรัม ทำเป็นชาบอลลูนทิ้งถ่อนได้หนึ่งกระปุกเต็ม แล้วส่งไปที่เรือนตะวันตก กำชับให้ถงฮูหยินนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนชาธรรมดาทุกวัน
แม้อาการป่วยของถงฮูหยินจะหายดีไปกว่าครึ่งแล้ว แต่อาการคล้ายมีลูกบ๊วยติดคอก็ยังคงมีอยู่บ้าง โดยเฉพาะในช่วงเช้า ทุกครั้งที่ถงฮูหยินใช้เกลือบริสุทธิ์แปรงฟันบ้วนปาก แล้วปลายแปรงสีฟันไปโดนบริเวณโคนลิ้นเข้า ก็ยังรู้สึกอยากอาเจียนออกมาอย่างอดไม่ได้
หลายวันก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นจึงส่งจดหมายไปถามเหยากวงเหย้าดู
ซึ่งเหยากวงเหย้าก็ตอบกลับมาว่า อาการเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ในลำคอนั้น ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากมลพิษแวดล้อม หรือเกิดจากความไม่สบายใจ โรคเรื้อรังชนิดนี้ ยากที่จะรักษาให้หายขาดในระยะเวลาอันสั้น ทำได้เพียงพูดจาปลอบโยน ผู้ป่วยเองก็ต้องพยายามอย่าโมโห อาการจะลดลงเองและผู้ป่วยก็จะรู้สึกสบายตัวขึ้น
การกินยาเป็นประจำก็ไม่ดีเหมือนกัน ยามีคุณแต่ก็มีโทษ ยาบำรุงมิสู้อาหารบำรุง อวิ๋นหว่านชิ่นใช้เวลาว่างศึกษาศาสตร์ด้านการแพทย์ และใช้เวลาหนึ่งวันในการคิดสูตรชาบัลลูนทิ้งถ่อน
โดยตำราสมุนไพรจีน ‘เปิ่นเฉ่ากังมู่’ บอกว่า อาการคล้ายมีเม็ดบ๊วยจุกที่ลำคอ มีสาเหตุมาจาก เส้นลมปราณที่ตับติดขัด และกรดไหลย้อน พอดีดอกทิ้งถ่อนมีสรรพคุณในการช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและช่วยเจริญอาหาร อวิ๋นหว่านชิ่นจึงกำชับหวงน้าสี่ด้วยว่า ให้แอบทำอะไรนิดหน่อยกับสำรับอาหารที่ถงฮูหยินกินในทุกๆ วัน
เนื่องจากถงฮูหยินต้องใช้แรงในการทำสวนทำไร่ จึงชอบกินเนื้อสัตว์มาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะตับหมูกับหมูสับนึ่งจะชอบเป็นพิเศษ ต้องกินวันเว้นวัน และเพราะเคยชินกับรสมือและวิธีการทำอาหารของสะใภ้ใหญ่ พอมาถึงบ้านลูกชายคนรอง หวงน้าสี่จึงต้องเข้าครัวด้วยตัวเอง ทำอาหารให้ท่านย่าทานโดยเฉพาะทุกครั้งไป
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงบอกป้าสะใภ้ว่า เวลาทำกับข้าวที่มีเนื้อหมู ให้นำเนื้อหมูไปนึ่งในซึ้งที่มีดอกทิ้งถ่อน ซึ่งนอกจากช่วยดับกลิ่นคาวแล้ว ไอน้ำจากดอกทิ้งถ่อนที่ซึมเข้าไปในเนื้อหมู ยังมีประโยชน์ทั้งสองทาง คือทั้งกินได้และรักษาสุขภาพได้ไปในตัว
วันออกเดินทางตามเสด็จไปล่าสัตว์ พอฟ้าสว่าง ก็เห็นฟ้าใสไร้เมฆ อากาศสดชื่น
คนจากกองกิจการภายในมาที่บ้าน รับพี่น้องสกุลอวิ๋นไปยังที่ทำการอำเภอก่อน แล้วค่อยขึ้นรถม้า ไปหน้าประตูวัง สมทบกับขบวนตามเสด็จและกองทหารรักษาพระองค์
คืนก่อนวันเดินทาง อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ลืมที่จะนำผ้าเช็ดหน้าแบบบุรุษสีทองอ่อนปักลายดอกเหมยผืนที่พบในช่องลับไปด้วย ซึ่งเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนที่ท่านแม่จะเป็นคนวางเอาไว้ ถ้ามีโอกาสพบเจอเจี่ยงยิ่น โดยมีผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ในมือ ก็อาจถามไถ่อะไรได้ง่ายขึ้น
สองพี่น้องแยกกันก่อนตรงหน้าประตูที่ทำการอำเภอ อวิ๋นจิ่นจ้งถูกรับตัวไปขึ้นรถม้าของพวกซื่อจื่อ
ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์ถูกกงกงคนหนึ่งในกองกิจการภายในพาไปยังรถม้าคันใหญ่หลังคาสีเหลืองลายเมฆตรงหน้าประตูวัง
ตัวรถทั้งลึกและกว้าง บังคับด้วยบังเ**ยนคู่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าจุได้อย่างน้อยแปดเก้าคน
ข้างรถม้า มีหญิงสาวท่าทางเหมือนนางในคนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว
นางสวมเครื่องแบบสีเขียวหม่น แต่งหน้าเรียบๆ อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบสี่ยี่สิบห้า พอเห็นมีคนเดินเข้ามา ก็ย่อตัวถอนสายบัว
กงกงกองกิจการภายในโค้งตัวตอบแล้วว่า
“พี่เจิ้ง ท่านนี้คือบุตรีคนโตของเจ้ากรมกลาโหมอวิ๋นกับสาวใช้ผู้ติดตาม”
นางในแซ่เจิ้งหันไปทำความเคารพสองนายบ่าวอย่างนอบน้อม “บ่าวเจิ้งหวาชิว คารวะคุณหนูอวิ๋น เชิญคุณหนูกับสาวใช้ขึ้นรถม้าก่อน”
“ลำบากพี่เจิ้งแล้ว” พออวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่านางในผู้นี้คือผู้ที่ดูแลตนตลอดการเดินทาง ก็เรียกขานนางตามกงกงอย่างนอบน้อม
แล้วเจิ้งหวาชิวก็หันไปเห็นสัมภาระน้อยใหญ่ที่บ่าวของกองกิจการภายในแบกเดินตามหลังอวิ๋นหว่านชิ่นมา จึงชะงักฝีเท้า พลางขมวดคิ้ว “ของเหล่านี้ ล้วนเป็นของคุณหนูอวิ๋นหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
“เราสองพี่น้องเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ท่านย่าห่วงมาก จึงมือหนักไปหน่อย ขอพี่ท่านเห็นใจคนเฒ่าคนแก่ อย่าตำหนิกันเลย สัมภาระเหล่านี้ ใต้เท้ากองกิจการภายในตรวจดูแล้ว ล้วนเป็นพวกถุงมือกับผ้าพันคอที่ท่านย่าถักเอาไว้ให้เราใส่กันหนาว พี่ท่านจะตรวจดูอีกรอบก็ได้ค่ะ”
พอได้ยินคำพูดของเด็กสาว เจิ้งหวาชิวก็อึ้งเล็กน้อย การตามเสด็จไปล้อมป่าล่าสัตว์ ไม่เพียงสามารถพบกับชนชั้นที่สูงที่สุดในเยี่ยจิง ยังมีเหล่าขุนศึกผู้กล้าอีกมากมาย และไม่แน่ว่ากระทั่งฝ่าบาทก็ยังสามารถเห็นได้ในระยะประชิด หญิงสาวสูงศักดิ์ผู้ใดบ้างไม่พยายามทำตัวเรียบง่าย นำสัมภาระไปน้อยๆ คล้ายไปบำเพ็ญเพียรอย่างไรอย่างนั้น ด้วยไม่อยากถูกมองว่าติดหรูมิใช่หรือ เมื่อครู่ตอนตนต้อนรับกุลสตรีสองสามคน คนหนึ่งยังทิ้งห่อผ้าไปห่อหนึ่งก่อนออกเดินทางด้วยซ้ำ แต่คุณหนูอวิ๋นนี่อยู่บ้านสบายอย่างไร ก็อยากสบายอย่างนั้นจริงๆ นึกว่าออกนอกบ้านไปนั่งทานข้าวสังสรรค์ล่ะสิ
เจิ้งหวาชิวเดินเข้าไปดูห่อผ้าหลายห่อนั่น กวาดตามองรอบหนึ่ง
ขณะเดียวกัน มือเรียวยาวข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากรถม้า เลิกผ้าม่านขึ้น แล้วว่า “พี่เจิ้ง ยังไม่ออกเดินทางอีกหรือ”
เสียงเล็กๆ ใสๆ ผสมความอดรนทนไม่ไหว ฟังปั๊บก็รู้ว่าต้องเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ในตระกูลใหญ่แน่
น่าจะเป็นลูกสาวขุนนางที่ขึ้นไปนั่งในรถก่อน
เจิ้งหวาชิวได้ยินคนในรถเร่งรัด จึงไม่พูดมากอีก ได้แต่บอกให้คนของกองกิจการภายในนำสัมภาระไป
วางไว้ในช่องเก็บสัมภาระที่อยู่ท้ายรถ จากนั้นก็ยื่นมือจับรถแล้วก้าวขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์จึงก้าวตาม
สองสาวอวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์ในตอนนี้รู้สึกราวกับเป็นสินค้า ถูกส่งมอบเรียบร้อย
และแล้วห้องโดยสารก็กว้างขวางกว่าที่อวิ๋นหว่านชิ่นคิดไว้มาก แตกต่างกับรถม้าที่เคยนั่งก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ผนังห้องบุผ้าถักดิ้นทองลายเมฆามหาสมุทร ที่นั่งข้างหน้าต่างทั้งสองด้านกับที่นั่งด้านหน้าบุผ้านวมนุ่มนิ่ม ตรงกลางมีโต๊ะไม้ชิงชันตัวเล็กอยู่หนึ่งตัว เป็นโต๊ะที่มีเอกลักษณ์ยิ่ง ตรงกลางเว้าลงไป ด้านในมีกาน้ำชาและถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีขาวชุดหนึ่งวางอยู่ พร้อมเมล็ดแตงโมและของว่าง เช่นนี้สามารถป้องกันไม่ให้กาน้ำชาเอียงตกแตก และน้ำชากระฉอกออกขณะรถม้าวิ่งกระเทือนไปมา
ในห้องโดยสารทั้งซ้ายและขวามีคุณหนูวัยรุ่นนั่งอยู่สามคน แต่ละคนแต่งตัวกันอย่างโดดเด่น มีทั้งแบบสวยเข้ม และแบบเรียบเก๋ ลงเครื่องประทินผิวกันทั้งตัว งามสะดุดตายิ่ง เมื่อปีหนึ่งๆ มีโอกาสตามเสด็จออกนอกเมืองเพียงครั้งเดียว ก็ต้องจัดเต็มกันหน่อย นอกนั้นก็เป็นสาวรุ่นที่แต่งตัวแบบสาวใช้นั่งกันอยู่สี่คน ซึ่งน่าจะเป็นสาวใช้ข้างกายของคนทั้งสาม