ตอนที่ 103-3 ก่อนและหลังเดินทาง

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

พอคนในรถเห็นเจิ้งหวาชิวพาคนขึ้นมา ก็หันมองและสำรวจดูเงียบๆ ด้วยแววตาพินิจพิเคราะห์      

 

 

“ข้านึกว่าพี่เจิ้งไปรับใครเสียอีก เห็นลงจากรถไปตั้งนาน ที่แท้ก็เป็นคุณหนูบ้านท่านเจ้ากรมนี่เอง”

 

 

หญิงสาวผู้หนึ่งพูดขึ้น ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้ม โทนเสียงแบบเดียวกันกับเมื่อครู่ที่เร่งรัดเจิ้งหวาชิว จึงเห็นสัมภาระที่พี่น้องสกุลอวิ๋นนำติดตัวมาด้วย น้ำเสียงคล้ายล้อเล่น แต่ก็พอที่จะทำให้คนหน้าบางรู้สึกอับอายได้

 

 

“เอาของมาเยอะขนาดนี้ มิน่าเล่าพี่เจิ้งถึงต้องลงจากรถไปตรวจดูทีละห่อ แต่คุณหนูอวิ๋นเข้าร่วมกิจกรรมแบบนี้เป็นครั้งแรก เราไม่ตำหนิหรอก ทว่า อย่าหาว่าข้าบ่นไปหน่อยเลย ของใช้ประจำวันเหล่านั้นน่ะ กองกิจการภายในเตรียมไว้ให้แล้ว คุณหนูอวิ๋นเอาเสื้อผ้าไม่กี่ชุดไปก็พอ ของอื่นๆ ถึงจะดีแค่ไหน ก็เทียบของๆ กองกิจการภายในไม่ได้หรอก พูดก็พูด ห่อผ้าเป็นห่อๆ แบบนี้ เจ้าหน้าที่ข้างทางเห็นแล้ว คิกๆ ยังนึกว่าคนเมืองอย่างเราๆ  ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านกันน่ะ! แล้วอย่ามาหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ คุณหนูอวิ๋นมิสู้ทำแบบข้า ทิ้งห่อผ้าไปบ้างก็ได้ จะได้ไม่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะเอา”

 

 

ว่าแล้วก็หันไปถามหญิงสาวชุดน้ำเงินที่นั่งอยู่ด้านข้าง “จริงไหมจ๊ะ”

 

 

หญิงสาวชุดน้ำเงินท่าทางคล้ายลูกสาวขุนนาง ผอมบางร่างเล็ก อายุไม่มาก พอได้ยินคำถาม ก็อึ้งไปพักหนึ่ง แล้วจึงรักษาหน้าให้คนถาม ด้วยการยิ้มแห้งๆ ก่อนพยักหน้า

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองไป เห็นหญิงสาวผู้พูดอายุราวสิบหกสิบเจ็ด สวมเสื้อผ้าเนื้อหนาสีเหลืองอ่อน มวยผมทรงปลาหลีฮื้อ แม้นั่งอยู่ ก็ดูออกว่าสูงมาก หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก แต่คางแหลมไปนิด โหนกแก้มสูงไปหน่อย บวกกับน้ำเสียงเวลาพูดดูไร้น้ำใจและมีความเป็นเผด็จการแฝงอยู่บ้าง จึงได้แต่ตอบอย่างมีมารยาทไป

 

 

“ถ้าการจัดเก็บห่อผ้าของข้าทำให้เสียเวลาเดินทางล่ะก็ ข้าก็ต้องขอโทษพี่ๆ ทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย แต่สัมภาระเหล่านี้ท่านย่าเป็นผู้เตรียมไว้ให้ ถ้าทิ้งไป ก็เหมือนเหยียบย่ำน้ำใจคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งไม่เหมาะสักเท่าไหร่ จึงคิดว่า ต่อให้ดูเชยอย่างไร ก็ยังต้องนำไปและนำกลับ แต่ก็ต้องขอบคุณพี่สาวมากที่แนะนำ”

 

 

“ชิ” เมื่อถูกโต้กลับ และเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นไม่ยอมทำตามที่แนะ หญิงสาวก็คล้ายไม่สบอารมณ์ จึงบ่นอย่างเกียจคร้าน “หวังดีกลับกลายเป็นหวังร้ายไปเสียนี่! เมื่อคุณหนูอวิ๋นไม่ทำตาม ก็ช่างเหอะ มามะ นั่งสิ”

 

 

กลุ่มหญิงสาวถูกการวางตัวแบบตั่วเจ้ของนางเข้าครอบงำ เหมือนจะตำหนิหรือไม่ นั่งได้หรือไม่ ก็แล้วแต่นาง

 

 

“ท่านนี้คือคุณหนูหลิน น้องสาวหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์”

 

 

เจิ้งหวาชิวเพิ่งถูกหลินลั่วหนานเร่งรัดเมื่อครู่ จึงไม่ค่อยพอใจ ตอนนี้พอเห็นนางล้ำเส้น เตือนผู้โดยสารแทนตน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนถือวิสาสะแนะนำนางให้อวิ๋นหว่านชิ่นรู้จักไปตรงๆ ก่อนผายมือไปยังหญิงสาวชุดน้ำเงินที่นั่งอยู่ด้านข้างนาง

 

 

“ท่านนี้คือคุณหนูหาน ลูกสาวรองหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองไปยังคนทั้งสอง หลินลั่วหนานยืดตัวตรง กำลังนั่งให้ดี รอรับคำทักทาย แต่ผิดคาด

 

 

หญิงสาวกลับมองข้ามตน ไปหยุดสายตาอยู่ที่หานเซียงเซียง ยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “สวัสดีคุณหนูหาน”

 

 

พอเห็นคุณหนูอวิ๋นมีไมตรีจิตกับตน หานเซียงเซียงกลับรู้สึกไม่สู้จะดี ที่เมื่อครู่ยิ้มให้หลินลั่วหนาน จึง

 

 

ก้มศีรษะให้ แม้กล้าๆ กลัวๆ อยู่บ้าง แต่ก็ยังตอบกลับอย่างมีน้ำใจ “สวัสดีคุณหนูอวิ๋น”

 

 

หลินลั่วหนานอ้อมมือไปด้านหลัง แอบดึงเสื้อหานเซียงเซียง ก่อนกัดฟันพูดเสียงต่ำ

 

 

“สวัสดีอะไร เพราะเห็นท่าทางประจบประแจงของเจ้าหรอก คนเขาถึงยิ้มให้และดีด้วยหน่อยเดียว เจ้าก็เขินอายแล้ว อย่าโง่ไปจิ เดี๋ยวก็ถูกขายโดยไม่รู้ตัวพอดี”

 

 

ประจบประแจง คำนี้แรงไม่หยอก อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินก็ขมวดคิ้ว หานเซียงเซียงจึงได้แต่เก็บรอยยิ้ม แล้วก้มหน้าลง

 

 

ส่วนหญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนที่นั่งอยู่ด้านซ้ายอีกคน เจิ้งหวาชิวยังไม่ทันแนะนำ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยิ้มออกมาก่อน “คุณหนูเฉา”

 

 

หญิงสาวสบตาแล้วยิ้มตอบ “บังเอิญจริงๆ ที่ได้นั่งรถคันเดียวกันกับคุณหนูอวิ๋น”

 

 

เป็นเฉาหนิงเอ๋อร์

 

 

พอเห็นว่าทั้งสองรู้จักกัน เจิ้งหวาชิวจึงหัวเราะเบาๆ

 

 

“มีคนรู้จักระหว่างเดินทาง บรรยากาศก็อบอุ่นขึ้น ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”

 

 

ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นกับเฉาหนิงเอ๋อร์ร่วมมือกันสั่งสอนอวิ๋นหว่านถงนั้น นอกจากต่างคนต่างได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว ก็ไม่เคยพบเจอกันอีกเลย ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ แม้ไม่ถือว่าสนิทมาก ก็ถือเป็นคนคุ้นเคย ครั้งนี้ถูกจัดให้อยู่ในรถคันเดียวกัน ย่อมต้องนั่งด้วยกัน

 

 

พอหลินลั่วหนานเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นสนิทอยู่แต่กับเฉาหนิงเอ๋อร์ โดยไม่เห็นตนอยู่ในสายตา ก็หยิบเมล็ดแตงโมขึ้นมาแทะกิน พลางลากหานเซียงเซียงให้มานั่งคุยด้วย ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วหานเซียงเซียงล้วนฟังในสิ่งที่นางพูด แล้วเออออห่อหมกไปกับนาง พอนางแทะกินไปได้ไม่กี่คำ ก็บอกว่าคอแห้ง ก่อนเรียกสาวใช้มารินน้ำให้

 

 

สองสาวใช้จึงแบ่งหน้าที่กันทำ คนหนึ่งถือถ้วยชา อีกคนหนึ่งถือกาน้ำชา ยังไม่ทันออกเดินทางก็ปฏิบัติงานกันแล้ว

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหันมอง ช่วงแรกที่เข้ามาก็แปลกใจอยู่ว่า คุณหนูสามคนทำไมมีสาวใช้สี่คน ที่แท้ก็ตั่วเจ้หลินนี่เองที่พามาสองคน แล้วเสียงของเฉาหนิงเอ๋อร์ก็ลอยเข้ามาแนบหู

 

 

“…พี่ชายของหลินลั่วหนานเป็นหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ อาศัยว่าได้เฝ้าฝ่าบาทตลอดทั้งวัน เป็นคนข้างกายฝ่าบาท จึงเก่งเรื่องวางอำนาจข่มผู้ที่ต่ำต้อยกว่า พี่ชายเป็นอย่างไร น้องสาวก็เป็นอย่างนั้น เจ้าอย่าเห็นว่าเวลานางอยู่ต่อหน้าเรา ทำเป็นสอนคนนี้ แนะคนนั้น ติเขาไปทุกเรื่อง แต่พอเจอกับพวกลูกท่านหลานเธอนะ สอพลอเหมือนหมาเลย บิดาของหานเซียงเซียงเป็นรองหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ มีสถานะต่ำกว่าพี่ชายของหลินลั่วหนานขั้นหนึ่ง น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ เวลานางพูดอะไร หานเซียงเซียงถึงได้ไม่กล้าขัด”

 

 

ขณะคุยกันไป รถม้าก็ได้วิ่งเข้ามาสมทบกับรถม้าคันอื่นๆ ในแถวท้ายขบวน

 

 

พอดนตรีโหมโรงขบวนเสด็จดังขึ้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงม้าวิ่งกุบๆ กับๆ ดังมาจากนอกหน้าต่าง ควบคู่ไป

 

 

กับเสียงขันทีในวังประกาศการออกเดินทางของโอรสสวรรค์ตามพระประสงค์ของทวยเทพ ทุกคนพลันคึกคักขึ้นมา แต่เนื่องจากต้องปฏิบัติตามประเพณี จึงไม่กล้าเลิกม่านหน้าต่างขึ้นแล้วยื่นศีรษะออกไปดู

 

 

หลินลั่วหนานส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนกอดอก

 

 

“พวกเจ้า อยากเห็นฝ่าบาทสินะ ข้าน่ะเห็นมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ พวกเจ้าอาจเห็นไม่ได้ง่ายๆ เพราะคนเยอะมาก แต่ไม่เป็นไร ถึงตอนนั้นถ้าข้าว่าง ค่อยบรรยายพระสิริโฉมของฝ่าบาทให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน…”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นได้รับสัญญาณอนุญาตจากพี่เจิ้ง จึงดึงม่านหน้าต่างตรงที่นั่งของตนให้เห็นเป็นช่อง แล้วหันไปกวักมือเรียกหานเซียงเซียง