ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 133 เคยมีคนพูดกับข้าเช่นนี้

จอมศาสตราพลิกดารา

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

 

หลี่สยงหันกลับมามองหลี่มู่ สัมผัสถึงความรู้สึกไม่สู้ดีได้ตามสัญชาตญาณ

 

หลี่มู่หัวเราะ กล่าวว่า “ความหมายตรงตัว”

 

พูดจบเขาก็ลงมือ

 

เพียะ เพียะ เพียะ!

 

เสียงโหดเหี้ยมบางอย่างดังขึ้น เหล่าสหายของหลี่สยงคุณชายใหญ่แห่งเมืองฉางอันก็ราวหุ่นเชิดสายขาด ลอยไปทีละคนๆ ร่างสูงส่งลากเป็นเส้นโค้งยืดยาวไปในท้องฟ้า จวบจนกระทั่งพวกเขาร่วงไปในโคลนตมนอกกำแพงเรือน ถึงจะได้ส่งเสียงร้องตกใจและน่าสมเพช

 

ที่ตรงนั้นเหลือเพียงแค่หลี่สยงคนเดียว

 

ครั้นเห็นสีหน้าหัวเราะคิกคักของหลี่มู่ เหงื่อเย็นชื้นของหลี่สยงไหลท่วมทันที

 

“เจ้า…เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร” เขามองหลี่มู่อย่างโมโห เอ่ยขึ้นอย่างปากกล้าแต่ขาสั่น “เจ้าทำแบบนี้เป็นการตัดหนทางรอดของตัวเอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร ในบรรดาพวกเขา ลำพังแค่ตระกูลของคนใดคนหนึ่งก็มีอำนาจทำลายเจ้าให้กลับมารุ่งเรืองไม่ได้อีกเลย เจ้า…”

 

หลี่มู่โบกมือตัดบทคำพูดของเขา “เจ้ารู้ไหมว่าข้าเกลียดอะไรมากที่สุด?”

 

“อะไร?” หลี่สยงถามกลับไปโดยไม่รู้ตัว

 

“สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือคนอื่นมาวางท่าต่อหน้าข้า โดยเฉพาะพวกวางท่าได้ไม่เอาอ่าวเช่นเจ้า เจ้าเป็นใครกันถึงได้กล้ามาพูดกับแม่ของข้าเช่นนี้? หา? กลับไปเรียนมาใหม่ซะ เรียนได้ดีแล้วค่อยมาวางท่า” หลี่มู่แยกเขี้ยวหัวเราะ เผยฟันขาววับให้เห็น “สำหรับบทลงโทษที่เจ้าอวดเบ่งล้มเหลว เจ้าต้องโดนสักสองที…”

 

เพียะ เพียะ!

 

เสียงตบหน้าสองทีดังขึ้น

 

ร่างของหลี่สยงลอยไปในท้องฟ้า กระเด็นออกไปทางนอกกำแพงทันที

 

“ไปดีๆ ไม่ส่งนะ” หลี่มู่โบกมือให้

 

ตอนนี้เอง กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันบังเกิดขึ้น

 

ร่างเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านนอกราวสายอัสนี มาถึงที่ในชั่วพริบตา รับร่างของหลี่สยงเอาไว้กลางท้องฟ้า จากนั้นจึงร่อนลงในสวน ขั้นตอนทั้งหมดรวดเร็วจนถึงขีดสุด ท่าร่างของคนคนนี้ก็สูงส่งจนถึงขีดสุดเช่นกัน

 

ในขณะเดียวกัน ด้านนอกกำแพงเรือน มีเสียงฝีเท้าทรงพลังดังมาจากในตรอก

 

ทหารเกราะดำมากมาย สวมชุดเกราะครบชุด อาวุธมากมายครบครัน กำลังล้อมเขตเรือนเอาไว้ทั้งสี่ด้าน ท่ามกลางฝุ่นควันที่ลอยกระจาย กำแพงสวนเตี้ยๆ ที่ใกล้จะถล่มลงมาเต็มทีโดนพังลงทั้งหมด ร่างของมือธนูและมือหน้าไม้กระโดดข้ามกองดินบุกเข้ามาในสวน จากนั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยกธนูขึ้นสายเอาไว้ ลูกธนูแต่ละดอกเล็งมายังพวกหลี่มู่ที่อยู่ในลานบ้าน

 

บรรยากาศกดดันขึ้นมาทันที

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนที่ขดอยู่ในมุมมืดลอบมองหลี่มู่ อยากจะถามว่าต้องการความช่วยเหลือจากตนหรือไม่

 

แต่หลี่มู่สีหน้าเป็นปกติ ไม่ได้มีท่าทีต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากเขา

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนก็ไม่แสดงท่าทีอะไรอื่นแล้ว

 

เขาจำได้แล้ว นี่คือทหารเกราะดำชั้นยอดของกองรักษาการณ์ฝั่งตะวันตกของเมือง ส่วนร่างที่ช่วยหลี่สยงเอาไว้กลางอากาศคือโจวอีหลิง ขุนพลของกองรักษาการณ์เมืองฉางอันฝั่งตะวันตก ปีนี้อายุสามสิบหก เป็นลูกศิษย์คนสำคัญของสำนักขั้นหกสำนักไร้เงา วิชาตัวเบา ท่าร่าง และการใช้อาวุธลับไม่เป็นสองรองใคร เขาเป็นยอดฝีมือสิบอันดับแรกของเมืองฉางอันฝั่งตะวันตก และเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นปรมาจารย์

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนเคยเห็นขั้นตอนที่หลี่มู่สังหารผู้อาวุโสเว่ยชงแห่ง ‘สำนักดับนิวรณ์’ จึงไม่คิดว่าโจวอีหลิงเป็นคู่มือให้หลี่มู่ได้

 

แต่ทว่า ถึงอย่างไรโจวอีหลิงก็เป็นขุนนางทหารขั้นหก บังคับบัญชาควบคุมกองกำลังเกราะดำชั้นยอดพันนาย อำนาจมากตำแหน่งสูงส่ง สูงกว่าขุนนางขั้นเจ็ดของหลี่มู่มากนัก อาศัยแค่กำลังวรยุทธ์ของตนนั้นคงไม่อาจแก้ปัญหาได้

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนคอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ

 

ตอนนี้เอง ชายหนุ่มทั้งหลายที่ก่อนหน้านี้ถูกซัดออกไปก็กลับมาใหม่อีกครั้ง แต่ละคนกุมใบหน้า สายตาอำมหิตจับจ้องหลี่มู่ แทบอยากจะเฉือนเขาเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง

 

“ใต้เท้าโจว อย่าปล่อยมันไป”

 

“ยิงธนู ยิงมันให้ตายเสีย”

 

“เศษสวะ มากำเริบเสิบสานถึงเมืองฉางอัน เจ้าจำเอาไว้ ข้า ‘กระบี่ล้างโลกา’ โจวอวี่ บุตรชายของหัวหน้าสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลแห่งเมืองฉางอัน วันนี้ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้จงได้”

 

“แล้วยังมีข้า เยือกเย็นดุจน้ำแข็ง หนาวเหน็บราวหิมะ จอมกระบี่ไร้พ่ายจางชุยเสวี่ย หัวหน้าโรงฝึกน้อยแห่ง ‘โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์’ ”

 

ชายหนุ่มสวมชุดแพรพรรณทั้งหลาย แต่ละคนเดินขึ้นมาประกาศชื่อเสียงเรียงนาม ล้วนคิดเหมือนกันว่าพวกเขากำหนดชะตาชีวิตของหลี่มู่เอาไว้ในมือตนแล้ว

 

“เจ้านี่มันช่าง…ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ” ใบหน้าของหลี่สยงมีรอยฝ่ามือแดงชัดเจน เขาจ้องหลี่มู่ด้วยแววตาชั่วร้าย แต่แสร้งทำเป็นเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง “ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เจ้าไม่รู้จักคุณค่ามัน เจ้าทำแบบนี้ท่านพ่อจะต้องผิดหวังเป็นอย่างมากแน่ ข้าว่าเจ้าต้องไปสงบสติอารมณ์ สำนึกตนในคุกเสียหน่อย”

 

“คุณชายใหญ่” โจวอีหลิงก้มหัวแสดงความเคารพ ก่อนจะพูด “ข้าน้อยมาช้าไป โปรดยกโทษให้ด้วย” หลี่สยงถึงแม้จะไม่มีตำแหน่งขุนนาง ทว่าอย่างไรก็เป็นลูกชายคนที่หลี่กังรักที่สุด หลี่กังมองเขาเป็นผู้รับช่วงต่อ เขาไม่กล้าเฉยเมย

 

หลี่สยงส่ายหน้า “ไม่เกี่ยวกับขุนพลโจว ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กชั่วนี่จะดื้อดึงเช่นนี้ ไม่รู้ว่าไปเรียนวิชามารมาจากไหน จึงได้ลงมือก่อเหตุร้ายที่นี่…เฮ้อ อันที่จริงข้าก็มีส่วนผิด ที่ตอนนั้นไม่อาจรั้งเขาไว้สั่งสอนให้ดีได้…เฮ้อ ขุนพลโจว วันนี้ต้องลำบากท่านแล้ว จับเขาเอาไว้ แล้วส่งไปขังคุกฝั่งตะวันตกให้เขาใจเย็นลงหน่อย”

 

“คุณชายใหญ่ใจกว้างโอบอ้อมอารี ข้าน้อยนับถือ” โจวอีหลิงพยักหน้ากล่าว

 

ชายหนุ่มคนอื่นๆ ได้ยินหลี่สยงพูดเช่นนี้ ก็ไม่โวยวายอะไรอีก

 

หลี่สยงพูดขึ้นอีกว่า “ขุนพลโจว เจ้ามารผจญนี่กลอุบายประหลาด ท่านก็ระวังตัวด้วย อย่าได้ออมมือนัก ขอแค่เก็บชีวิตเขาไว้เป็นพอ บาดเจ็บไม่เป็นไร ถือว่าเป็นบทเรียนให้เขา”

 

โจวอีหลิงพยักหน้าคล้ายครุ่นคิดอะไร “ข้าน้อยทราบแล้ว”

 

บาดเจ็บก็ไม่เป็นไรที่ว่า ความหมายที่แฝงอยู่ก็คือต้องทำร้ายเขาให้ได้ ให้บทลงโทษเขาบ้าง

 

จุดนี้ คนเจนโลกอย่างโจวอีหลิงมีหรือจะฟังไม่ออก

 

หลี่มู่มองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบๆ เฝ้าดูการแสดงของพวกหลี่สยง

 

ไม่หลาบจำจริงๆ เลย

 

หลี่มู่ที่ควรให้ความร่วมมือกับการวางท่าของคนพวกนี้ ไม่ได้มีสำนึกว่าต้องร่วมมือเลยสักนิด เขาปรายตามองแวบหนึ่ง รู้สึกเบื่อหน่าย จึงหันไปประคองมารดาขึ้นมา แล้วพูดกับชุนเฉ่า “พี่ชุนเฉ่า ท่านพาท่านแม่เข้าไปข้างในก่อนเถอะ” อีกประเดี๋ยวลงมือรุนแรง จะได้ไม่ทำท่านแม่บาดเจ็บ

 

“แม่จะอยู่ที่นี่ อยู่ข้างกายเจ้า หากเจ้าต้องเข้าคุก แม่จะไปกับเจ้าด้วย” มารดาหลี่มู่จับมือเขาไว้แน่น กลัวลูกชายจะจากตนไปอีกครั้ง

 

ชุนเฉ่าก็มีสีหน้าเป็นกังวลเช่นกัน

 

แปดปีก่อน คุณชายก็ทะเลาะกับท่านเจ้าเมืองเช่นนี้ สุดท้ายถูกขับไล่ออกจากจวนตัดความสัมพันธ์พ่อลูก ครั้งนี้หากทะเลาะกันอีกครั้ง ภายใต้ไฟโทสะของท่านเจ้าเมือง จะมีเรื่องน่ากลัวแบบใดเกิดขึ้นกัน

 

หลี่มู่คิดๆ ดู ก่อนเปลี่ยนมาใช้อีกวิธีหนึ่ง “ท่านแม่ ข้ารู้สึกหิวนิดๆ แล้ว มิสู้ท่านทำบะหมี่หยางชุนให้ข้าสักชาม ที่บ้านยังมีบะหมี่ใช่หรือไม่?”

 

“มีสิ ตอนชุนเฉ่ามาก็เอาบะหมี่มาด้วย” มารดาหลี่มู่รับคำติดๆ กัน หลายปีมานี้ การได้ทำบะหมี่หยางชุนที่ตอนเด็กๆ เขาชอบกินที่สุดด้วยมือตัวเองเป็นความใฝ่ฝันที่นางเฝ้าปรารถนา แต่สถานการณ์ตอนนี้…นางค่อนข้างลังเลแล้ว

 

หลี่มู่หัวเราะ กล่าวว่า “ท่านแม่ วางใจเถอะ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวข้าพูดคุยกับพวกเขาสักหน่อย จัดการได้ง่ายดายนัก ท่านวางใจได้ ท่านต้องเชื่อลูกชายนะ”

 

ท่านแม่หลี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เข้าไปทำบะหมี่ในบ้านโดยมีชุนเฉ่าที่จิตใจร้อนรุ่มเช่นกันประคองเข้าไป

 

“คุณชาย ระวังตัวด้วยเจ้าค่ะ” ชุนเฉ่าไม่ลืมเตือนหลี่มู่

 

นางเป็นหญิงสาวที่จงรักภักดีจิตใจเมตตา

 

หลี่มู่ครุ่นคิดในใจ หลังจากเรื่องนี้จบลง ต้องหาที่ไปที่ดีให้กับชุนเฉ่า จะทอดทิ้งหญิงสาวที่ซื่อสัตย์ภักดีแบบนี้ไม่ได้

 

“หลี่มู่ ยอมให้จับแต่โดยดีเถิด”

 

โจวอีหลิงเดินขึ้นมาอย่างเนิบช้า

 

เขาไม่ได้ทำท่าทางอะไร แต่รอบกายมีละอองหมอกกำลังภายในหมุนวนขึ้นมาแล้ว ใต้เท้าของเขาในบริเวณหนึ่งจั้ง มีธุลีฝุ่นบนพื้นดินลอยขึ้นราวไร้แรงดึงดูด กำลังหมุนวนอยู่กลางอากาศ ประหนึ่งกระแสน้ำหอบม้วนเศษใบไม้เล็กละเอียด ทั้งแปลกประหลาดทั้งน่าอัศจรรย์

 

ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ เพียงแค่ชั่วความคิดเดียวก็สามารถปลดปล่อยกำลังภายในออกมารอบกาย สร้างเป็นสนามกำลังภายใน ก่อเป็นเกราะคุ้มกาย ขั้นรวมปราณทั่วไปอย่าพูดถึงเรื่องสู้กับยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์เลย แม้แต่เกราะคุ้มกายไร้รูปร่างนี้ก็ทำลายไม่ได้แล้ว

 

อีกทั้งเมื่อสนามกำลังภายในถูกแผ่ออกมา ก็จะก่อเป็นพลังกดดันไร้รูปร่าง สร้างความกดดันทางจิตใจอย่างมหาศาลให้กับคู่ต่อสู้

 

นี่คือจุดแข็งของการปลดปล่อยกำลังภายในออกมาของยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์

 

โจวอีหลิงก็เป็นยอดฝีมือชั้นยอดขั้นปรมาจารย์แบบนี้

 

อีกทั้งเขายังมาจากกองทัพ ในสนามกำลังภายในจึงยิ่งมีพลังฆ่าฟันสังหาร เหมือนมีกลิ่นอายของการรบราฆ่าฟันอยู่รางๆ พลังคุกคามยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีก

 

ทุกคนล้วนเชื่อมั่นในตัวโจวอีหลิงอย่างเต็มที่

 

พวกชายหนุ่มชุดแพรพรรณเช่นจางชุยเสวี่ยและโจวอวี่ แอบปรึกษากันแล้วว่าหลังจากโจวอีหลิงจับหลี่มู่ได้จะทรมานเขาอย่างไร เพื่อระบายอารมณ์ให้สาแก่ใจ

 

“หากข้าลงมือ เกรงว่าจะควบคุมไม่อยู่ทำร้ายเจ้าเอาได้” พลังของโจวอีหลิงเล็งเป้าเอาไว้ที่หลี่มู่

 

เด็กหนุ่มที่ทั่วร่างไม่มีคลื่นกำลังภายในแม้แต่น้อย สำหรับเขาแล้วอ่อนแอเกินไป

 

หลี่มู่หลุดหัวเราะ “อ้อ ขั้นปรมาจารย์หรือ ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือเหมือนกัน แต่ว่าคิดจะให้ข้ายอมให้จับแต่โดยดี มันยังไม่พอหรอก”

 

หนังตาของโจวอีหลิงกระตุกเบาๆ

 

มองระดับพลังยุทธ์ของข้าออกภายในแวบเดียวอย่างนั้นรึ?

 

หรือหลี่มู่คนนี้จะเป็นยอดฝีมือน้ำนิ่งไหลลึก?

 

เป็นไปไม่ได้ เขาไม่มีไอพลังของยอดฝีมือเลยสักนิดเดียว

 

คลื่นในใจของโจวอีหลิงดั่งลายบนผิวกระจก ปรากฏขึ้นแล้วก็หายวับไป “ข้ารู้ว่าเจ้าคือขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ เอาชนะ ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ และ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะมายโสโอหังอยู่ต่อหน้าข้าได้…ขอแนะนำตัวสักหน่อย นามของข้าคือโจวอีหลิง ขุนพลกองรักษาการณ์ของเมืองฉางอันฝั่งตะวันตก ลำดับขุนนางขั้นหก สูงกว่าเจ้าหนึ่งขั้น”

 

“อ้อๆๆ ที่แท้ชื่อเสียงของข้าดังมาถึงเมืองฉางอันแล้วหรือนี่ ฮ่าๆ ไม่เลวๆ” หลี่มู่หัวเราะ เรื่องในยุทธจักรแพร่สะพัดไปเร็ว

 

“ชื่อเสียงเล็กน้อยแค่นั้นของเจ้าไม่มีค่าให้พูดถึง ยอมจำนนแต่โดยดีเสีย ไม่เช่นนั้นถ้าข้าลงมือ เจ้าจะมานั่งเสียใจก็สายไปแล้ว” โจวอีหลิงเดินประชิดเข้ามาทีละก้าวๆ รัศมีอำนาจกดดันปะทะเข้ามา ราวกับภูเขาถล่มมายังหลี่มู่อย่างไรอย่างนั้น

 

“อ้อๆ เคยมียอดฝีมือขั้นปรมาจารย์คนหนึ่งพูดกับข้าแบบนี้เหมือนกัน” หลี่มู่พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “น่าเสียดายที่แม้แต่หมัดเดียวของข้าเขาก็รับไว้ไม่ได้ ตอนนี้หญ้าที่สุสานเขาน่าจะสูงได้ชุ่นหนึ่งแล้วละ”

 

……………………………………………………