ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 134 ไยจึงเร็วถึงเพียงนี้

จอมศาสตราพลิกดารา

โจวอีหลิงรูม่านตาหดเล็กลง

“เรื่องตลกนี้ไม่น่าขำเอาเสียเลย”

กำลังภายในรอบกายเขาปลดปล่อยออกมาเร็วขึ้น ปรากฏเป็นละอองหมอกสีน้ำตาลอ่อนๆ สนามพลังก็ยิ่งกดดันขึ้นมาก

หลี่มู่หัวเราะ ไม่พูดอะไร แค่กระดิกนิ้วไปยังโจวอีหลิงเท่านั้น

นี่เป็นกิริยาท่าทางที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง

ถึงแม้โจวอีหลิงจะรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจท้าทายตน แต่ไฟโทสะในใจยังลุกไหม้ เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่เคยผ่านอุปสรรค และก็ใช่ว่าไม่เคยถูกคู่ต่อสู้ท้าทายมาก่อน ทว่าเห็นท่าทางที่ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยของหลี่มู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมความโกรธในใจเขาจึงยากจะควบคุมได้

“ฆ่า!”

ขาของเขาก้าวออกไป ร่างเพียงกะพริบวูบก็ราวกับหายไปจากที่ตรงนั้น

จากนั้นแทบจะในเวลาเดียวกัน โจวอีหลิงก็มาปรากฏกายหน้าหลี่มู่ราวกับภูตผี ฝ่ามือดุจดาบซัดไปยังหน้าอกของหลี่มู่

ความเร็วดุจสายฟ้าฟาด

โจวอีหลิงเดิมก็เชี่ยวชาญด้านความเร็วและท่าร่าง

หลายครั้งที่ประมือกับคู่ต่อสู้ ล้วนสู้อย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็ว ขณะเผชิญหน้ากับความเร็วที่น่าตกใจเช่นนี้ โดยปกติแล้วศัตรูมักตั้งตัวไม่ทัน เขาจึงสามารถโจมตีสังหารคู่ต่อสู้ได้ทันที ถึงแม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์เช่นเดียวกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าการโจมตีดุจสายฟ้าเช่นนี้ก็ยากจะตั้งตัวทัน หากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ

แต่ทว่า…

“ช้าเกินไปแล้ว”

เสียงของหลี่มู่ดังขึ้น

เห็นเพียงแขนของเขาลากเสี้ยวเงาลวงตาออกเป็นชั้นๆ ข้างหน้า เหมือนภาพมายาแต่ก็เหมือนของจริง ราวกับฝ่ามือโปร่งแสงโจมตีทีหลังแต่ไปถึงตัวก่อน ประหนึ่งกระเรียนเหลียวจิก ข้อมือเพียงพลิกก็แตะไปยังข้อมือของโจวอีหลิงได้

ตูม!

เสียงหนักๆ ดังขึ้นมา

ร่างของโจวอีหลิงมาปรากฏอยู่ที่ตำแหน่งเมื่อแรกเริ่ม

ข้อมือซ้ายของเขาห้อยลงอ่อนปวกเปียก เห็นได้ชัดว่ากระดูกข้อมือแหลกละเอียดไปแล้ว

ส่วนบนใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึงและตื่นตะลึง

“เจ้า…ความเร็วเช่นนี้…เจ้าทำได้อย่างไร?”

เขาจ้องหลี่มู่ ไม่อาจเข้าใจได้ว่าหลี่มู่ทำได้อย่างไร ในเสี้ยวขณะนั้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาสัมผัสถึงคลื่นกำลังภายในไม่ได้เลย แต่การโจมตีของหลี่มู่กลับเร็วกว่าเขาหลายเท่า โจมตีทีหลังแต่ประชิดถึงตัวก่อน และทำลายกระบวนท่าโจมตีที่สั่งสมพลังไว้ของเขาลงทันที

สิ่งที่ทำให้เขาทั้งตกใจและไม่อาจรับได้ก็คือ การโจมตีของหลี่มู่เร็วกว่าเขา

ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่ตื่นตะลึงและยากจะเชื่อได้ เหมือนปลาพบว่ามีนกตัวหนึ่งว่ายน้ำดำน้ำได้ดีกว่าตน

เสี้ยวเงาเป็นสายที่ราวกับภาพลวงตานั่น คือภาพมายาซึ่งทิ้งไว้ในอากาศจากการที่หลี่มู่ขยับแขนรวดเร็วเกินไป

ความเร็วระดับนี้ ต่อให้เป็นเขาที่เชี่ยวชาญในด้านความเร็วมาโดยตลอดก็ทำไม่ได้

ตอนนี้ โจวอีหลิงพลันเชื่อคำพูดของหลี่มู่เมื่อครู่บ้างแล้ว

ขุนนางเมืองน้อยคนนี้มีพลังที่สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นปรมาจารย์ได้จริงๆ

“ทำได้อย่างไร? หึๆ ง่ายจะตาย แค่ยกมือไปตามอารมณ์ก็ทำได้แล้ว” หลี่มู่วางท่าอย่างเคยชิน

ยามนี้ การวางท่าของของราชาปีศาจหลี่มู่ยกระดับขึ้นแล้ว มีเพียงอยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์อย่างโจวอีหลิงแบบนี้ จึงจะพอทำให้รู้สึกอยากอวดเบ่งขึ้นมาบ้าง หากเปลี่ยนเป็นทายาทขุนนางไม่รู้จักกลัวตายอย่างพวกหลี่สยง เขาขี้เกียจจะพูดให้มาก

“เจ้าไม่ได้โคจรกำลังภายใน ทำไมจึงเร็วได้ถึงขนาดนี้?” โจวอีหลิงไม่อาจเข้าใจได้ “อาศัยแค่พลังของกายเนื้อไม่มีทางทำได้ถึงจุดนี้”

สีหน้าของหลี่มู่เรียบนิ่ง “หึๆ ไม่เข้าใจหรือ? ข้าบอกแล้ว ที่จริงนั้นง่ายมาก ไม่ใช่ข้าเร็ว แต่เจ้า…โคตรช้าเลยต่างหาก”

พูดแล้ว เท้าของเขาก็พลันส่งพลัง

ทุกคนต่างรู้สึกว่าพื้นดินของทั้งลานบ้านสั่นไหวรุนแรงราวแผ่นดินไหว

เงาร่างของหลี่มู่ไหววูบดั่งไฟในตะเกียงอยู่ที่เดิม จากนั้นก็เริ่มสมจริงขึ้นมา

ทว่าโจวอีหลิงที่อยู่ตรงข้ามพลันร้องตกใจ

เห็นเพียงเขาเสมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง หน้าอกมีเสียงกระดูกหักดังกร๊อบ จากนั้นก็ลอยออกไปห้าหกจั้ง เขาดิ้นรนรักษาสมดุลอยู่กลางอากาศ จึงพอจะฝืนให้ขาทั้งสองแตะลงบนพื้นดินได้ แต่ก็โซเซถอยหลังไปอีกสิบสองก้าว ทุกก้าวล้วนทิ้งรอยเท้าจมลึกไปถึงข้อเท้าไว้บนพื้น สุดท้ายไหล่กระแทกเข้ากับต้นไม้โบราณขนาดสองคนโอบถึงจะหยุดลงได้

“เป็นไปไม่ได้! เจ้าเร็วขนาดนี้…ได้อย่างไร?”

รอยเลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปากของโจวอีหลิง ดวงตาเบิกกว้างราวกับปลาทองจมน้ำ

เมื่อครู่ ในพริบตาที่ร่างของหลี่มู่กะพริบเลือนราง อันที่จริงเขาก้าวข้ามระยะห่างระหว่างกันกว่าเจ็ดจั้ง แล้วซัดพลังออกไปเบาๆ จากนั้นจึงกลับมายังที่เดิม

เพียงแต่ความเร็วที่พุ่งไปแล้วถอยกลับมานั้นสูงเกินไป เกินขีดจำกัดความสามารถในการมองเห็นของคนทั่วไป ดังนั้นในสายตาของคนอื่นๆ จึงไม่เห็นร่างของหลี่มู่ขยับ เห็นแค่ร่างของเขาไหววูบอยู่ที่เดิมเท่านั้น

ลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด ต่อให้เป็นโจวอีหลิงก็เกือบตั้งตัวไม่ทัน

ด้วยความเชี่ยวชาญด้านความเร็ว เขาจึงมีความรู้สึกฉับไวต่อความเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังรู้สึกแค่ว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน จึงส่งออกไปสองหมัดตามสัญชาตญาณเพื่อจะต้านทานไว้ ทว่าก็ยังช้าไปมาก ฝ่ามือของหลี่มู่ซัดมายังหน้าอกเขาทันทีจนกระเด็นลอยออกไป

นี่ก็คือลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด

ส่วนหลี่สยง จางชุยเสวี่ย รวมถึงโจวอวี่พวกทายาทเศรษฐีและขุนนางกลับมองตากัน มองไม่ชัดเลยว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น เพียงแต่รู้สึกเลาๆ ว่าโจวอีหลิงยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ที่แทบไร้พ่ายในใจของพวกเขาเหมือนจะพ่ายแพ้แล้ว

แพ้ได้อย่างไร?

มองไม่ออกเลยสักนิด

ทันใดนั้นเอง…

ตูม!

เสียงระเบิดดังขึ้น

ต้นไม้ที่โจวอีหลิงชนเข้าเมื่อครู่พลันระเบิด เหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าจนแตก เปลือกไม้สีดำและเศษไม้สีขาวกระเด็นกระจายไปทั่ว ต้นไม้ที่อายุหลายสิบปีกลายเป็นเศษไม้ไปแล้วในขณะนี้

พวกหลี่สยงร้องอย่างตกอกตกใจ

สีหน้าของโจวอีหลิงจนถึงตอนนี้ถึงได้แดงระเรื่อขึ้นมาบ้าง ก่อนถอนหายใจยาวออกมา

ใช่แล้ว เมื่อครู่เขาระบายพลังที่หลี่มู่ซัดเข้ามาในหน้าอกตนไปยังต้นไม้ต้นนี้ ถึงจะคงอาการบาดเจ็บเอาไว้ได้ ในระหว่างที่โคจรกำลังภายใน เลือดลมอันแข็งแกร่งพลุ่งพล่าน กระดูกที่หักไปต่อเข้าที่ ความเจ็บปวดถึงได้ค่อยๆ จางหายไปบ้าง

เขาถลึงตาจ้องหลี่มู่ ยังคงเฝ้ารอคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม

ตกลงแล้ว…ทำไม…ถึงได้มีความเร็วเช่นนี้?

หลี่มู่ยังคงแบมือยักไหล่วางท่าอย่างเต็มที่ “ข้าบอกแล้วไง ความเร็วของเจ้าสุดแสนจะช้าเลย”

โจวอีหลิงอับจนคำพูด

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนวิจารณ์ความเร็วท่าร่างของตนเช่นนี้

แต่เขากลับไม่อาจโต้แย้งได้

“ขอบคุณขุนนางเมืองหลี่ที่ออมมือ” สีหน้าของโจวอีหลิงเคร่งขรึมขึ้น ก่อนจะประสานมือคารวะ

เขารู้ เสี้ยวขณะเมื่อครู่ หลี่มู่สามารถสังหารตนให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ในชั่วพริบตา…ขุนนางเมืองหนุ่มน้อยคนนี้มีพละกำลังเช่นนี้แน่นอน แต่กลับออกมือแค่หักกระดูกซี่โครงของเขาไม่กี่ท่อน และไว้ชีวิตของเขาเอาไว้

หลี่มู่ไม่พูดอะไร

ถึงเป็นราชาปีศาจในสายตาผู้คนนับไม่ถ้วน ทว่าแท้ที่จริงในใจของหลี่มู่ไม่ได้มีความรู้สึกมองใครแล้วขัดตาก็สังหารให้เป็นเศษซากในฐานะราชาปีศาจแบบนั้น…ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่จำเป็นโดยเด็ดขาด เขาจะไม่เข่นฆ่าใคร

หลังจากโจวอีหลิงทำความเคารพเสร็จ ก็หมุนตัวเดินออกไปข้างนอกทันที

“แม่ทัพโจว นี่ท่านทำอะไรน่ะ?” หลี่สยงพอจะเดาผลของศึกนี้ได้แล้วเลาๆ แต่ไม่อาจยอมรับได้ เขายื่นมือขวางโจวอีหลิงไว้ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้าคือแม่ทัพของกองรักษาการณ์ฝั่งตะวันตก ไม่ไปจับฆาตกรหลี่มู่ที่ชั่วช้าคนนี้ คิดจะหนีเมื่อมีภัยมาถึงหรืออย่างไร?”

โจวอีหลิงสีหน้านิ่งเฉย “คุณชายใหญ่โปรดอภัยด้วย ข้าน้อยไม่ใช่คู่มือของขุนนางเมืองหลี่”

สหายทายาทขุนนางทายาทเศรษฐีทั้งหลายของหลี่สยงอดสูดลมหายใจไม่ได้

สิ่งที่เดาได้รางๆ และสิ่งที่ได้ยินจริงๆ เป็นคนละเรื่องกัน

ถึงแม้พวกเขาคาดเดาว่าในการประมือกันเมื่อครู่ โจวอีหลิงอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่เมื่อได้ยินยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ที่หยิ่งยโสพูดจาแบบนี้ด้วยปากของตนท่ามกลางสาธารณะชน พวกเขาก็อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้

ล้อเล่นอะไรกัน ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นปรมาจารย์ อยู่ในเมืองเขตตะวันตกเป็นยอดยุทธ์ในยี่สิบอันดับแรก แต่กลับยอมรับว่าตัวเองสู้หลี่มู่ไม่ได้ นี่ไม่ได้หมายถึง…อย่างน้อยหลี่มู่ก็เป็นยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์เหมือนกันหรอกหรือ?

ชายหนุ่มผู้สูงส่งหยิ่งยโสกลุ่มนี้มองไปยังหลี่มู่อย่างอดไม่ได้

มองเห็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าที่ไม่มีมาดอย่างยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย พวกเขายากที่จะคิดโยงคนแบบนี้เข้ากับยอดฝีมือการต่อสู้ได้จริงๆ

ฝึกอย่างไร?

ฝึกตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ก็ไม่มีทางเป็นขั้นปรมาจารย์ได้ด้วยอายุน้อยถึงขนาดนี้

“เจ้า…ใต้เท้าโจว ถึงแม้ท่านจะแพ้ แต่ก็นำทหารชุดเกราะชั้นหัวกะทิมาด้วยสามร้อยคน ทั้งยังมีมือธนู มือหน้าไม้ ท่านเป็นขุนนางทหารขั้นหก นี่ไม่ใช่เวทีประลองยุทธ์ของยุทธจักร ท่านแค่บัญชาก็สามารถจับหลี่มู่ได้แล้ว ถึงตอนนั้นท่านก็นับว่าสร้างคุณูปการครั้งใหญ่ด้วย” จางชุยเสวี่ยพลันอารมณ์พลุ่งพล่าน ตวาดเสียงดัง

เขารับไม่ได้ และไม่พอใจ

“ใช่แล้ว ใต้เท้าโจว ท่านเป็นขุนนาง ต้องกลัวอะไรกัน จับมันไปได้เลย เชื่อว่าท่านเจ้าเมืองก็สนับสนุนท่านเช่นกัน” โจวอวี่ก็เอ่ยแนะนำด้วยใบหน้าเหี้ยมโหดชั่วร้าย

โจวอีหลิงมองพวกเขาทั้งหลายราวกับมองคนโง่งม

“ได้ ทหารชั้นยอดสองร้อยนายนี้ ข้าจะทิ้งไว้ให้พวกท่าน”

พูดจบเขาก็ออกคำสั่งเสียงดัง ให้ทหารเกราะดำทุกนายฟังคำสั่งของหลี่สยง จากนั้นตัวเขาก็หมุนตัวจากไป

ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านความเร็วท่าร่างและอาวุธลับ กลับไม่ได้ลองใช้อาวุธลับอีก เพราะในใจเขารู้ดี เมื่อความเร็วถึงระดับขั้นหลี่มู่ ต่อให้เป็นอาวุธลับที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ยากจะเฉียดใกล้เงาของอีกฝ่ายได้

เขาไม่มั่นใจ ดังนั้นจึงไม่อาจลองได้

เพราะเขารู้ดียิ่งว่า สิ่งที่ต้องจ่ายหากลองลงมืออีกครั้งไม่มีทางเรียบง่ายแค่ซี่โครงหักเช่นนี้แน่นอน

สุดท้าย ร่างของโจวอีหลิงก็หายไปในรัตติกาลไกลโพ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้คนรู้สึกเหมือนเขาหนีไปจากตรอกนี้ด้วยความหวาดกลัว

หลี่สยงและพวกพ้องต่างมองตากัน

“หลี่มู่ ข้าให้โอกาสสุดท้ายกับเจ้า ยอมจำนนแต่โดยดีเสีย มิฉะนั้น หากธนูยิงออกไปพร้อมกัน เจ้าจะมีชีวิตสักกี่ชีวิตกันเชียว? อีกทั้งข้าก็ไม่กล้ารับประกันว่ากระท่อมมุงจากเล็กๆ นั่นจะต้านทานลูกธนูโจมตีได้ แม่ของเจ้าและเด็กรับใช้นั่นไม่ได้มีพลังอย่างเจ้า หากธนูยิงโดนขึ้นมา นั่นไม่ใช่ว่า…” หลี่สยงกัดฟัน สุดท้ายก็เลือกข่มขู่หลี่มู่ต่อไป

หลี่มู่ทำแค่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย

“ช่างไม่ถึงแม่น้ำหวงไม่ยอมล้มเลิก ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ”

เขาตวัดมือเอากิ่งไม้กิ่งหนึ่งบนต้นไม้แห้งเหี่ยวในสวนมาถือไว้ สะบัดเล็กน้อย จากนั้นก็พลิกมือโจมตีออกไปราวกับดาบ

ประกายแสงดั่งโลหะแผ่กระจายออกมาจากบนกิ่งไม้ พลังดาบไร้รูปร่างโจมตีออกมา

ผึง ผึง ผึง ผึง!

ท่ามกลางเสียงสนั่นหวั่นไหว คมดาบนั้นฟันสายธนูทั้งหมดขาดสะบั้น

สายของหน้าไม้ทั้งหมดก็ขาดสะบั้นไม่แตกต่างกัน

ธนูและหน้าไม้กลายเป็นเศษขยะ

มือธนูและผู้ใช้หน้าไม้พากันร้องตกใจ สับสนอลหม่านไปหมด

“ยังไม่ไสหัวไปอีก?”

หลี่มู่ตวาด

พวกหลี่สยงตอนนี้กลัวจนหน้าซีดขาวไปในทันที ต่างพากันถอยหลังไปอย่างหวาดกลัวลนลาน

ยังจะสู้บ้าบออะไรอีก

ธนูและหน้าไม้ที่พลังคุกคามมหาศาลที่สุด ตอนนี้ยังกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว ธนูแม้แต่ดอกเดียวยังยิงออกมาไม่ได้ และเมื่อไม่มีกำลังเสริมจากมือธนู ยามทหารเกราะดำฝ่ายสู้ประชิดที่เหลืออยู่ร้อยกว่านายอยู่ต่อหน้าหลี่มู่ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ ก็ไม่ต่างอะไรกับหมาป่าถูกถอดเขี้ยว

จะทำอย่างไรดี?

……………………………………………………