โจวอีหลิงรูม่านตาหดเล็กลง
“เรื่องตลกนี้ไม่น่าขำเอาเสียเลย”
กำลังภายในรอบกายเขาปลดปล่อยออกมาเร็วขึ้น ปรากฏเป็นละอองหมอกสีน้ำตาลอ่อนๆ สนามพลังก็ยิ่งกดดันขึ้นมาก
หลี่มู่หัวเราะ ไม่พูดอะไร แค่กระดิกนิ้วไปยังโจวอีหลิงเท่านั้น
นี่เป็นกิริยาท่าทางที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้โจวอีหลิงจะรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจท้าทายตน แต่ไฟโทสะในใจยังลุกไหม้ เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่เคยผ่านอุปสรรค และก็ใช่ว่าไม่เคยถูกคู่ต่อสู้ท้าทายมาก่อน ทว่าเห็นท่าทางที่ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยของหลี่มู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมความโกรธในใจเขาจึงยากจะควบคุมได้
“ฆ่า!”
ขาของเขาก้าวออกไป ร่างเพียงกะพริบวูบก็ราวกับหายไปจากที่ตรงนั้น
จากนั้นแทบจะในเวลาเดียวกัน โจวอีหลิงก็มาปรากฏกายหน้าหลี่มู่ราวกับภูตผี ฝ่ามือดุจดาบซัดไปยังหน้าอกของหลี่มู่
ความเร็วดุจสายฟ้าฟาด
โจวอีหลิงเดิมก็เชี่ยวชาญด้านความเร็วและท่าร่าง
หลายครั้งที่ประมือกับคู่ต่อสู้ ล้วนสู้อย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็ว ขณะเผชิญหน้ากับความเร็วที่น่าตกใจเช่นนี้ โดยปกติแล้วศัตรูมักตั้งตัวไม่ทัน เขาจึงสามารถโจมตีสังหารคู่ต่อสู้ได้ทันที ถึงแม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์เช่นเดียวกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าการโจมตีดุจสายฟ้าเช่นนี้ก็ยากจะตั้งตัวทัน หากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ
แต่ทว่า…
“ช้าเกินไปแล้ว”
เสียงของหลี่มู่ดังขึ้น
เห็นเพียงแขนของเขาลากเสี้ยวเงาลวงตาออกเป็นชั้นๆ ข้างหน้า เหมือนภาพมายาแต่ก็เหมือนของจริง ราวกับฝ่ามือโปร่งแสงโจมตีทีหลังแต่ไปถึงตัวก่อน ประหนึ่งกระเรียนเหลียวจิก ข้อมือเพียงพลิกก็แตะไปยังข้อมือของโจวอีหลิงได้
ตูม!
เสียงหนักๆ ดังขึ้นมา
ร่างของโจวอีหลิงมาปรากฏอยู่ที่ตำแหน่งเมื่อแรกเริ่ม
ข้อมือซ้ายของเขาห้อยลงอ่อนปวกเปียก เห็นได้ชัดว่ากระดูกข้อมือแหลกละเอียดไปแล้ว
ส่วนบนใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึงและตื่นตะลึง
“เจ้า…ความเร็วเช่นนี้…เจ้าทำได้อย่างไร?”
เขาจ้องหลี่มู่ ไม่อาจเข้าใจได้ว่าหลี่มู่ทำได้อย่างไร ในเสี้ยวขณะนั้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาสัมผัสถึงคลื่นกำลังภายในไม่ได้เลย แต่การโจมตีของหลี่มู่กลับเร็วกว่าเขาหลายเท่า โจมตีทีหลังแต่ประชิดถึงตัวก่อน และทำลายกระบวนท่าโจมตีที่สั่งสมพลังไว้ของเขาลงทันที
สิ่งที่ทำให้เขาทั้งตกใจและไม่อาจรับได้ก็คือ การโจมตีของหลี่มู่เร็วกว่าเขา
ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่ตื่นตะลึงและยากจะเชื่อได้ เหมือนปลาพบว่ามีนกตัวหนึ่งว่ายน้ำดำน้ำได้ดีกว่าตน
เสี้ยวเงาเป็นสายที่ราวกับภาพลวงตานั่น คือภาพมายาซึ่งทิ้งไว้ในอากาศจากการที่หลี่มู่ขยับแขนรวดเร็วเกินไป
ความเร็วระดับนี้ ต่อให้เป็นเขาที่เชี่ยวชาญในด้านความเร็วมาโดยตลอดก็ทำไม่ได้
ตอนนี้ โจวอีหลิงพลันเชื่อคำพูดของหลี่มู่เมื่อครู่บ้างแล้ว
ขุนนางเมืองน้อยคนนี้มีพลังที่สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นปรมาจารย์ได้จริงๆ
“ทำได้อย่างไร? หึๆ ง่ายจะตาย แค่ยกมือไปตามอารมณ์ก็ทำได้แล้ว” หลี่มู่วางท่าอย่างเคยชิน
ยามนี้ การวางท่าของของราชาปีศาจหลี่มู่ยกระดับขึ้นแล้ว มีเพียงอยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์อย่างโจวอีหลิงแบบนี้ จึงจะพอทำให้รู้สึกอยากอวดเบ่งขึ้นมาบ้าง หากเปลี่ยนเป็นทายาทขุนนางไม่รู้จักกลัวตายอย่างพวกหลี่สยง เขาขี้เกียจจะพูดให้มาก
“เจ้าไม่ได้โคจรกำลังภายใน ทำไมจึงเร็วได้ถึงขนาดนี้?” โจวอีหลิงไม่อาจเข้าใจได้ “อาศัยแค่พลังของกายเนื้อไม่มีทางทำได้ถึงจุดนี้”
สีหน้าของหลี่มู่เรียบนิ่ง “หึๆ ไม่เข้าใจหรือ? ข้าบอกแล้ว ที่จริงนั้นง่ายมาก ไม่ใช่ข้าเร็ว แต่เจ้า…โคตรช้าเลยต่างหาก”
พูดแล้ว เท้าของเขาก็พลันส่งพลัง
ทุกคนต่างรู้สึกว่าพื้นดินของทั้งลานบ้านสั่นไหวรุนแรงราวแผ่นดินไหว
เงาร่างของหลี่มู่ไหววูบดั่งไฟในตะเกียงอยู่ที่เดิม จากนั้นก็เริ่มสมจริงขึ้นมา
ทว่าโจวอีหลิงที่อยู่ตรงข้ามพลันร้องตกใจ
เห็นเพียงเขาเสมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง หน้าอกมีเสียงกระดูกหักดังกร๊อบ จากนั้นก็ลอยออกไปห้าหกจั้ง เขาดิ้นรนรักษาสมดุลอยู่กลางอากาศ จึงพอจะฝืนให้ขาทั้งสองแตะลงบนพื้นดินได้ แต่ก็โซเซถอยหลังไปอีกสิบสองก้าว ทุกก้าวล้วนทิ้งรอยเท้าจมลึกไปถึงข้อเท้าไว้บนพื้น สุดท้ายไหล่กระแทกเข้ากับต้นไม้โบราณขนาดสองคนโอบถึงจะหยุดลงได้
“เป็นไปไม่ได้! เจ้าเร็วขนาดนี้…ได้อย่างไร?”
รอยเลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปากของโจวอีหลิง ดวงตาเบิกกว้างราวกับปลาทองจมน้ำ
เมื่อครู่ ในพริบตาที่ร่างของหลี่มู่กะพริบเลือนราง อันที่จริงเขาก้าวข้ามระยะห่างระหว่างกันกว่าเจ็ดจั้ง แล้วซัดพลังออกไปเบาๆ จากนั้นจึงกลับมายังที่เดิม
เพียงแต่ความเร็วที่พุ่งไปแล้วถอยกลับมานั้นสูงเกินไป เกินขีดจำกัดความสามารถในการมองเห็นของคนทั่วไป ดังนั้นในสายตาของคนอื่นๆ จึงไม่เห็นร่างของหลี่มู่ขยับ เห็นแค่ร่างของเขาไหววูบอยู่ที่เดิมเท่านั้น
ลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด ต่อให้เป็นโจวอีหลิงก็เกือบตั้งตัวไม่ทัน
ด้วยความเชี่ยวชาญด้านความเร็ว เขาจึงมีความรู้สึกฉับไวต่อความเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังรู้สึกแค่ว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน จึงส่งออกไปสองหมัดตามสัญชาตญาณเพื่อจะต้านทานไว้ ทว่าก็ยังช้าไปมาก ฝ่ามือของหลี่มู่ซัดมายังหน้าอกเขาทันทีจนกระเด็นลอยออกไป
นี่ก็คือลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด
ส่วนหลี่สยง จางชุยเสวี่ย รวมถึงโจวอวี่พวกทายาทเศรษฐีและขุนนางกลับมองตากัน มองไม่ชัดเลยว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น เพียงแต่รู้สึกเลาๆ ว่าโจวอีหลิงยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ที่แทบไร้พ่ายในใจของพวกเขาเหมือนจะพ่ายแพ้แล้ว
แพ้ได้อย่างไร?
มองไม่ออกเลยสักนิด
ทันใดนั้นเอง…
ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้น
ต้นไม้ที่โจวอีหลิงชนเข้าเมื่อครู่พลันระเบิด เหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าจนแตก เปลือกไม้สีดำและเศษไม้สีขาวกระเด็นกระจายไปทั่ว ต้นไม้ที่อายุหลายสิบปีกลายเป็นเศษไม้ไปแล้วในขณะนี้
พวกหลี่สยงร้องอย่างตกอกตกใจ
สีหน้าของโจวอีหลิงจนถึงตอนนี้ถึงได้แดงระเรื่อขึ้นมาบ้าง ก่อนถอนหายใจยาวออกมา
ใช่แล้ว เมื่อครู่เขาระบายพลังที่หลี่มู่ซัดเข้ามาในหน้าอกตนไปยังต้นไม้ต้นนี้ ถึงจะคงอาการบาดเจ็บเอาไว้ได้ ในระหว่างที่โคจรกำลังภายใน เลือดลมอันแข็งแกร่งพลุ่งพล่าน กระดูกที่หักไปต่อเข้าที่ ความเจ็บปวดถึงได้ค่อยๆ จางหายไปบ้าง
เขาถลึงตาจ้องหลี่มู่ ยังคงเฝ้ารอคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม
ตกลงแล้ว…ทำไม…ถึงได้มีความเร็วเช่นนี้?
หลี่มู่ยังคงแบมือยักไหล่วางท่าอย่างเต็มที่ “ข้าบอกแล้วไง ความเร็วของเจ้าสุดแสนจะช้าเลย”
โจวอีหลิงอับจนคำพูด
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนวิจารณ์ความเร็วท่าร่างของตนเช่นนี้
แต่เขากลับไม่อาจโต้แย้งได้
“ขอบคุณขุนนางเมืองหลี่ที่ออมมือ” สีหน้าของโจวอีหลิงเคร่งขรึมขึ้น ก่อนจะประสานมือคารวะ
เขารู้ เสี้ยวขณะเมื่อครู่ หลี่มู่สามารถสังหารตนให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ในชั่วพริบตา…ขุนนางเมืองหนุ่มน้อยคนนี้มีพละกำลังเช่นนี้แน่นอน แต่กลับออกมือแค่หักกระดูกซี่โครงของเขาไม่กี่ท่อน และไว้ชีวิตของเขาเอาไว้
หลี่มู่ไม่พูดอะไร
ถึงเป็นราชาปีศาจในสายตาผู้คนนับไม่ถ้วน ทว่าแท้ที่จริงในใจของหลี่มู่ไม่ได้มีความรู้สึกมองใครแล้วขัดตาก็สังหารให้เป็นเศษซากในฐานะราชาปีศาจแบบนั้น…ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่จำเป็นโดยเด็ดขาด เขาจะไม่เข่นฆ่าใคร
หลังจากโจวอีหลิงทำความเคารพเสร็จ ก็หมุนตัวเดินออกไปข้างนอกทันที
“แม่ทัพโจว นี่ท่านทำอะไรน่ะ?” หลี่สยงพอจะเดาผลของศึกนี้ได้แล้วเลาๆ แต่ไม่อาจยอมรับได้ เขายื่นมือขวางโจวอีหลิงไว้ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้าคือแม่ทัพของกองรักษาการณ์ฝั่งตะวันตก ไม่ไปจับฆาตกรหลี่มู่ที่ชั่วช้าคนนี้ คิดจะหนีเมื่อมีภัยมาถึงหรืออย่างไร?”
โจวอีหลิงสีหน้านิ่งเฉย “คุณชายใหญ่โปรดอภัยด้วย ข้าน้อยไม่ใช่คู่มือของขุนนางเมืองหลี่”
สหายทายาทขุนนางทายาทเศรษฐีทั้งหลายของหลี่สยงอดสูดลมหายใจไม่ได้
สิ่งที่เดาได้รางๆ และสิ่งที่ได้ยินจริงๆ เป็นคนละเรื่องกัน
ถึงแม้พวกเขาคาดเดาว่าในการประมือกันเมื่อครู่ โจวอีหลิงอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่เมื่อได้ยินยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ที่หยิ่งยโสพูดจาแบบนี้ด้วยปากของตนท่ามกลางสาธารณะชน พวกเขาก็อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้
ล้อเล่นอะไรกัน ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นปรมาจารย์ อยู่ในเมืองเขตตะวันตกเป็นยอดยุทธ์ในยี่สิบอันดับแรก แต่กลับยอมรับว่าตัวเองสู้หลี่มู่ไม่ได้ นี่ไม่ได้หมายถึง…อย่างน้อยหลี่มู่ก็เป็นยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์เหมือนกันหรอกหรือ?
ชายหนุ่มผู้สูงส่งหยิ่งยโสกลุ่มนี้มองไปยังหลี่มู่อย่างอดไม่ได้
มองเห็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าที่ไม่มีมาดอย่างยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย พวกเขายากที่จะคิดโยงคนแบบนี้เข้ากับยอดฝีมือการต่อสู้ได้จริงๆ
ฝึกอย่างไร?
ฝึกตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ก็ไม่มีทางเป็นขั้นปรมาจารย์ได้ด้วยอายุน้อยถึงขนาดนี้
“เจ้า…ใต้เท้าโจว ถึงแม้ท่านจะแพ้ แต่ก็นำทหารชุดเกราะชั้นหัวกะทิมาด้วยสามร้อยคน ทั้งยังมีมือธนู มือหน้าไม้ ท่านเป็นขุนนางทหารขั้นหก นี่ไม่ใช่เวทีประลองยุทธ์ของยุทธจักร ท่านแค่บัญชาก็สามารถจับหลี่มู่ได้แล้ว ถึงตอนนั้นท่านก็นับว่าสร้างคุณูปการครั้งใหญ่ด้วย” จางชุยเสวี่ยพลันอารมณ์พลุ่งพล่าน ตวาดเสียงดัง
เขารับไม่ได้ และไม่พอใจ
“ใช่แล้ว ใต้เท้าโจว ท่านเป็นขุนนาง ต้องกลัวอะไรกัน จับมันไปได้เลย เชื่อว่าท่านเจ้าเมืองก็สนับสนุนท่านเช่นกัน” โจวอวี่ก็เอ่ยแนะนำด้วยใบหน้าเหี้ยมโหดชั่วร้าย
โจวอีหลิงมองพวกเขาทั้งหลายราวกับมองคนโง่งม
“ได้ ทหารชั้นยอดสองร้อยนายนี้ ข้าจะทิ้งไว้ให้พวกท่าน”
พูดจบเขาก็ออกคำสั่งเสียงดัง ให้ทหารเกราะดำทุกนายฟังคำสั่งของหลี่สยง จากนั้นตัวเขาก็หมุนตัวจากไป
ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านความเร็วท่าร่างและอาวุธลับ กลับไม่ได้ลองใช้อาวุธลับอีก เพราะในใจเขารู้ดี เมื่อความเร็วถึงระดับขั้นหลี่มู่ ต่อให้เป็นอาวุธลับที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ยากจะเฉียดใกล้เงาของอีกฝ่ายได้
เขาไม่มั่นใจ ดังนั้นจึงไม่อาจลองได้
เพราะเขารู้ดียิ่งว่า สิ่งที่ต้องจ่ายหากลองลงมืออีกครั้งไม่มีทางเรียบง่ายแค่ซี่โครงหักเช่นนี้แน่นอน
สุดท้าย ร่างของโจวอีหลิงก็หายไปในรัตติกาลไกลโพ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้คนรู้สึกเหมือนเขาหนีไปจากตรอกนี้ด้วยความหวาดกลัว
หลี่สยงและพวกพ้องต่างมองตากัน
“หลี่มู่ ข้าให้โอกาสสุดท้ายกับเจ้า ยอมจำนนแต่โดยดีเสีย มิฉะนั้น หากธนูยิงออกไปพร้อมกัน เจ้าจะมีชีวิตสักกี่ชีวิตกันเชียว? อีกทั้งข้าก็ไม่กล้ารับประกันว่ากระท่อมมุงจากเล็กๆ นั่นจะต้านทานลูกธนูโจมตีได้ แม่ของเจ้าและเด็กรับใช้นั่นไม่ได้มีพลังอย่างเจ้า หากธนูยิงโดนขึ้นมา นั่นไม่ใช่ว่า…” หลี่สยงกัดฟัน สุดท้ายก็เลือกข่มขู่หลี่มู่ต่อไป
หลี่มู่ทำแค่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย
“ช่างไม่ถึงแม่น้ำหวงไม่ยอมล้มเลิก ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ”
เขาตวัดมือเอากิ่งไม้กิ่งหนึ่งบนต้นไม้แห้งเหี่ยวในสวนมาถือไว้ สะบัดเล็กน้อย จากนั้นก็พลิกมือโจมตีออกไปราวกับดาบ
ประกายแสงดั่งโลหะแผ่กระจายออกมาจากบนกิ่งไม้ พลังดาบไร้รูปร่างโจมตีออกมา
ผึง ผึง ผึง ผึง!
ท่ามกลางเสียงสนั่นหวั่นไหว คมดาบนั้นฟันสายธนูทั้งหมดขาดสะบั้น
สายของหน้าไม้ทั้งหมดก็ขาดสะบั้นไม่แตกต่างกัน
ธนูและหน้าไม้กลายเป็นเศษขยะ
มือธนูและผู้ใช้หน้าไม้พากันร้องตกใจ สับสนอลหม่านไปหมด
“ยังไม่ไสหัวไปอีก?”
หลี่มู่ตวาด
พวกหลี่สยงตอนนี้กลัวจนหน้าซีดขาวไปในทันที ต่างพากันถอยหลังไปอย่างหวาดกลัวลนลาน
ยังจะสู้บ้าบออะไรอีก
ธนูและหน้าไม้ที่พลังคุกคามมหาศาลที่สุด ตอนนี้ยังกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว ธนูแม้แต่ดอกเดียวยังยิงออกมาไม่ได้ และเมื่อไม่มีกำลังเสริมจากมือธนู ยามทหารเกราะดำฝ่ายสู้ประชิดที่เหลืออยู่ร้อยกว่านายอยู่ต่อหน้าหลี่มู่ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ ก็ไม่ต่างอะไรกับหมาป่าถูกถอดเขี้ยว
จะทำอย่างไรดี?
……………………………………………………