ภาคที่ 2 บทที่ 190 สถานการณ์พลิกผันจนไม่อาจคาดเดาได้

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนเห็นก็ทนไม่ไหวอีกแล้ว นางร้องว่า “อ๊ะ” ออกมาคำหนึ่ง และยกชายกระโปรงขึ้นเดินออกไปข้างนอกทันที

หลิวตงเยว่รีบตามไป

หลี่เชียนกับเจียงลวี่ที่อยู่ในลานกว้างต่างก็ได้ยินเสียงเจียงเซี่ยน

หลี่เชียนลงมือช้าลงเล็กน้อย ส่วนเจียงลวี่ก็ถอยหลังติดกันสองสามก้าว

เจียงเซี่ยนปรากฎตัวหน้าประตูของห้องโถงตรงประตูใหญ่

นางสีหน้าซีดเผือด สายตาเคร่งขรึม ท่าทางกังวล ทว่าทุกการเคลื่อนไหวกลับสุภาพเรียบร้อยและสุขุมเยือกเย็น เปิดเผยมาดของชนชั้นสูงออกมาอย่างหมดเปลือก จนทำให้คนเหลือบมอง

หลี่เชียนอึ้งไป

แต่กระบี่อ่อนของเจียงลวี่กลับว่ายไปหาเหมือนงู ปลายกระบี่ตรงแน่ว เล็งไปที่คอหลี่เชียน

เจียงเซี่ยนหน้าซีดลงอีกเล็กน้อยทันที นางกุมหน้าอก และไม่กล้าแม้แต่จะกรีดร้อง

นางก็รู้ว่า นางไม่ควรปรากฎตัวเวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรหลี่เชียนก็จะยอมอ่อนข้อให้ท่านพี่เล็กน้อยอยู่ดี และไม่มีทางที่จะเอาชีวิตพี่ชายนางจริงๆ อย่างแน่นอน

เจียงเซี่ยนน้ำตาคลอเบ้า แทบอยากจะเข้าไปช่วยหลี่เชียนขวางดาบเล่มนั้น

บางทีหลี่เชียนอาจจะโกรธที่เจียงลวี่จู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว หรืออาจจะเพราะต่อสู้กับเจียงลวี่มานานเกินไป ครั้งนี้เขาจึงไม่หลบ แต่เอียงไหล่ไปข้างๆ เล็กน้อยอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ หลบปลายกระบี่ของเจียงลวี่ เขาไม่ถอยและกลับบุกไปตามร่องรอยที่แทงกระบี่อ่อนมา แล้วกดดาบลงบนบ่าของเจียงลวี่

เจียงเซี่ยนหลับตา

รู้สึกว่าเมื่อครู่ตนเองสมองมีปัญหา

นางคิดว่าหลี่เชียนจะไม่ทำร้ายเจียงลวี่ได้อย่างไร…

แล้วก็ได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจข้างหู

หรือว่าหลี่เชียน…เจียงลวี่…

เจียงเซี่ยนรีบลืมตา

ก็เห็นท่อนไม้ยาวที่ทำจากไม้ขี้เถ้าวางขวางไหล่ของเจียงลวี่ ยันปลายดาบของดาบพิชิตอาชาเอาไว้

เจียงเซี่ยนมองไปตามท่อนไม้ยาวนั้น

จ้าวเซี่ยวที่สวมชุดนักรบสีขาวยืนถือท่อนไม้ด้วยมือเดียวอยู่ระหว่างเจียงลวี่กับหลี่เชียนด้วยสีหน้าโกรธจัด เชิดคางขึ้นเล็กน้อย และท่าทางเย่อหยิ่ง

นึกไม่ถึงว่าจ้าวเซี่ยวจะตามมา

เจียงเซี่ยนประหลาดใจ

จงเทียนอี้บอกว่าทหารจากต้าถงถูกคนของหลี่เชียนสกัดไว้ที่ตีนเขาหมดแล้วไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นจ้าวเซี่ยวเข้ามาได้อย่างไร? แถมจู่ๆ ก็บุกเข้ามาทลายวงล้อมให้เจียงลวี่

นางอดที่จะมองไปรอบๆ ไม่ได้

ไม่เห็นผู้ติดตามหรือองครักษ์ของจ้าวเซี่ยว

นั่นก็หมายความว่า จ้าวเซี่ยวบุกเดี่ยวเข้ามาคนเดียว…

เจียงเซี่ยนเงียบอยู่ในใจ

มิน่าเล่าชาติก่อนจ้าวเซี่ยวถึงวางอำนาจปกครองหมิ่นหนาน[1]ได้!

ไม่ว่าอย่างไร นางกับจ้าวเซี่ยวก็ถือว่าเป็นคู่หมั้นกันแล้วเช่นกัน หากตอนนี้นางแสดงความห่วงใยหลี่เชียนออกไปอีกนิดเดียวก็จะเป็นการเหยียดหยามจ้าวเซี่ยว นางไม่อยากหักหน้าจ้าวเซี่ยว

เจียงเซี่ยนถอยหลังสองสามก้าว และหลบอยู่หลังบานประตู

คนที่อยู่ในลานกว้างก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้จนหยุดต่อสู้เช่นกัน

สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่จ้าวเซี่ยว แม้แต่จงเทียนอี้กับหวังจ้านก็มองจ้าวเซี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน

“ใต้เท้าหลี่ ไม่ได้พบกันนานมาก!” แต่สายตาของจ้าวเซี่ยวกลับค่อยๆ ย้ายจากดาบในมือหลี่เชียนไปที่รองเท้าหนังควายกลางเก่ากลางใหม่ของหลี่เชียน แล้วก็ค่อยๆ กลับมาที่หน้าของหลี่เชียนอีกครั้ง ถึงจะเลิกคิ้วพลางเอ่ยว่า “เจ้ารอโจมตีตอนที่ศัตรูเหนื่อยล้า และได้ชัยชนะด้วยวิธีที่ไม่ชอบธรรม สู้ให้ข้าประลองฝีมือกับเจ้าแทนเจียงซื่อจื่อดีกว่า ไม่รู้ว่าใต้เท้าหลี่กล้าหรือไม่?”

หลี่เชียนได้ยินก็เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย สีหน้าเหมือนยังเจือความอบอุ่นอยู่อย่างเบาบาง ทว่าในดวงตากลับฉายแววเย็นชา เหมือนอากาศที่เลวร้ายประชิดชายแดน จนทำให้คนรู้สึกหนาว

เหล่าองครักษ์ที่เจียงลวี่พามาถึงกับถูกพลังของหลี่เชียนกดดันจนหลุบตาลง

เจียงลวี่อดที่จะเอ่ยห้ามด้วยสายตาเคร่งขรึมไม่ได้ว่า “จ้าวเซี่ยว ขอบคุณเจ้ามากที่เดินทางมาไกลเพื่อช่วยเหลือกัน เพียงแต่เรื่องนี้ข้ากับหลี่เชียนตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว…”

“ท่านพี่อาลวี่” จ้าวเซี่ยวมองเจียงลวี่ครั้งหนึ่ง และเอ่ยว่า “ข้าเป็นว่าที่เขยของตระกูลเจียง เรื่องของตระกูลเจียงก็คือเรื่องของข้า ข้าจะเฝ้าดูอย่างนิ่งดูดายได้อย่างไร!”

ตั้งแต่เจียงเซี่ยนหายตัวไป จ้าวเซี่ยวก็ใช้กำลังทั้งหมดในมือ ยุ่งวุ่นวายไปกับตระกูลเจียง แต่ตระกูลเจียงรู้ที่อยู่ของเจียงเซี่ยนแล้วกลับไม่เปิดเผยให้จ้าวเซี่ยวรู้ เวลานี้ถูกจ้าวเซี่ยวจับได้คาหนังคาเขาอีก ถึงเจียงลวี่จะเน้นว่าเวลาทำสงครามต้องมีกลลวงก็อดที่จะรู้สึกร้อนหน้าไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่เขาก็เกือบจะพ่ายแพ้หลี่เชียนแล้ว เขาจะมีหน้าปฏิเสธจ้าวเซี่ยวได้อย่างไร

เขากระซิบว่า “เจ้าระวังหน่อย” แล้วก็ถอยไปอยู่ข้างกายหวังจ้าน ประคองหวังจ้านที่เหมือนแค่ยืนก็กินแรงมากแล้วเอาไว้

หวังจ้านไม่ปฏิเสธ เขากึ่งพิงเจียงลวี่ และมองจ้าวเซี่ยวกับหลี่เชียนด้วยสายตาแผดเผาเหมือนไฟ ราวกับหวังว่าพวกเขาจะตัดสินแพ้ชนะได้ในทันที

หลี่เชียนเหมือนไม่รู้สึกถึงสายตาของหวังจ้าน เขาถือดาบ และทำท่าเชิญ

จ้าวเซี่ยวยิ้มเยาะ และย่อขาลงเล็กน้อย ตั้งท่านั่งม้า ท่อนไม้ยาวก็กวาดเป็นแนวขวางไปทางหลี่เชียนอย่างน่าเคารพและยำเกรงเหมือนเสือแล้ว

หลี่เชียนเปลี่ยนจากความเรียบง่ายและซื่อตรงอย่างตอนที่ต่อสู้กับเจียงลวี่ มาท่องด้วยเสียงเนิบช้าและยาว แล้วกระโดดขึ้นอย่างว่องไว และคมดาบเหมือนน้ำค้างแข็งก็ฟันไปทางจ้าวเซี่ยวด้วยจิตสังหารอันน่ากดดัน

ความหนาวแผ่ออกไปรอบลานและปกคลุมพื้นที่โดยรอบในชั่วพริบตา

ทุกคนหวาดกลัวจนตัวสั่น และถอยหลังโดยพร้อมเพรียง ยกใจกลางลานกว้างให้ทั้งสองคน

จ้าวเซี่ยวตะโกนเสียงดังว่า “ฝีมือดี” และหมุนตัวขึ้น ท่อนไม้ยาววาดเป็นวงกลมกลางอากาศ และต่อสู้กับความลำบากและอันตรายอย่างกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว

เสียงโลหะแตกดังก้องขึ้นในลานกว้าง ราวกับทุบหน้าอกของทุกคน ทำให้คนหายใจติดขัด

หลี่เชียนหัวเราะเสียงดัง และเอ่ยว่า “ซื่อจื่อก็ไม่เลวเหมือนกัน! คิดไม่ถึงว่าข้ากับซื่อจื่อรู้จักกันมาเจ็ดแปดปีก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่แท้ซื่อจื่อเป็นผู้สืบทอดวิชาของวัดเซ่าหลินใต้ จวนจิ้งไห่โหวเก็บซ่อนความสามารถเก่งจริงๆ!”

“เจ้าดูไม่ออก นั่นก็บอกได้เพียงว่าเจ้าตาไม่มีแวว!” จ้าวเซี่ยวตอบ ทว่าตอนที่ลงมือกลับไม่คิดที่จะหยุดแม้แต่นิดเดียว พองัดไม่สำเร็จก็เปลี่ยนมาแทงตรง

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “ดูออกตอนนี้ก็ไม่สายเช่นกัน!”

เขาเพิ่งจะพูดจบ พลังที่แสดงออกมาก็เปลี่ยนไป ท่าดาบที่รุนแรงเหมือนไฟฟันไปทางจ้าวเซี่ยวอย่างเย็นชาและเย็นยะเยือก

ความโหดเหี้ยมในการสังหารที่แสดงออกมาจากท่าดาบนั้นแผ่ซ่านไปทั่วทุกมุมของลานกว้างอย่างรวดเร็ว

ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวอีกครั้ง

ทว่าเจียงลวี่กับจงเทียนอี้กลับสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เจียงลวี่ร้องเบาๆ อย่างตกใจ “นี่หลี่เชียนจะฆ่าจ้าวเซี่ยวหรือ?”

“เป็นไป…ไม่ได้กระมัง?!” หวังจ้านเอ่ย และมองไปทางจงเทียนอี้

เวลานี้จงเทียนอี้ไม่ได้สบายใจเหมือนตอนที่ต่อสู้กับเขาเมื่อครู่แล้ว แต่จ้องหลี่เชียนกับจ้าวเซี่ยวอย่างตั้งอกตั้งใจด้วยสีหน้าจริงจัง จนไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว เหมือนกับทำแบบนี้แล้วจะเห็นได้ชัดว่าหลี่เชียนจะทำอะไรกันแน่

หวังจ้านตกใจ และเอ่ยกับเจียงลวี่เสียงเบามากว่า “จ้าวเซี่ยวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่เชียนเหมือนกันหรือ?”

สีหน้าของเจียงลวี่ฉายแววโกรธจัดอย่างเบาบาง เขากดคอลงพลางเอ่ยว่า “หลี่เชียนเป็นคนที่เคยเห็นความเป็นความตาย และยังอาจจะเป็นคนที่ปีนออกมาจากกองคนตายด้วย จ้าวเซี่ยวนั้นถึงอย่างไรก็ฐานะสูงศักดิ์ จึงไม่ประสบอันตรายง่ายๆ …หากว่ากันแค่เรื่องวิทยายุทธหลี่เชียนจะเทียบจ้าวเซี่ยวที่ได้รับการถ่ายทอดอย่างลับๆ จากเซ่าหลินใต้ได้อย่างไร…”

หวังจ้านเข้าใจแล้ว

หากว่ากันแค่เรื่องวิทยายุทธหลี่เชียนสู้จ้าวเซี่ยวไม่ได้ ทว่าถ้าเป็นเรื่องการต่อสู้แห่งความเป็นความตาย จ้าวเซี่ยวกลับสู้หลี่เชียนที่เติบโตเหมือนวัชพืชไม่ได้

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” หวังจ้านถามเจียงลวี่อย่างเร่งรีบ

ตามข้อตกลงของพวกเขากับหลี่เชียน หากพวกเขาแพ้ ก็ต้องจากไปเอง

แล้วเจียงเซี่ยนจะทำอย่างไร?

เจียงลวี่ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าสุดท้ายจะลงเอยแบบนี้

เขาบีบกำปั้น อยากเอ่ยอย่างไม่มีเหตุผลมากว่า ‘พวกเรากลับไปก่อน แล้วให้ท่านพ่อออกหน้าจัดการเขา’ แต่เพียงแค่เขาคิดว่าเจียงเซี่ยนอาจจะอยู่ห่างจากเขาแค่ห้องโถงตรงประตูใหญ่กั้นอยู่ เพียงแค่หนึ่งธนู เขาก็พูดแบบนั้นไม่ออก

เจียงลวี่จ้องมองห้องโถงตรงประตูใหญ่ที่ถูกนักยิงหน้าไม้แถวหนึ่งขวางอยู่

สายลมพัดผ่าน เหมือนจะเห็นชายกระโปรงสีแดง

เขาหัวใจเต้นเร็วมาก

หรือว่าเจียงเซี่ยนอยู่หลังประตูนั้นอย่างนั้นหรือ?

ฝ่ามือของเจียงลวี่เต็มไปด้วยเหงื่อ

เขาครุ่นคิดอยู่นานมาก แล้วก็ทำหน้าขรึมเหมือนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว และพยักหน้าให้ฝูเซิง

———————————-

[1] หมิ่นหนาน ทางใต้ของมณฑลฝูเจี้ยน