ภาคที่ 2 บทที่ 191 โอกาส

มู่หนานจือ

ฝูเซิงเข้าใจ

ร่างสูงใหญ่พุ่งไปที่ห้องโถงตรงประตูใหญ่ราวกับสายฟ้าแลบทันที

ทว่านักยิงหน้าไม้เหล่านั้นกลับไม่เสียกระบวนแม้แต่นิดเดียว และยิงลูกศรออกมาพร้อมกัน

คนที่ยืนอยู่ในลานกว้างไม่มีใครหนีพ้นสักคน

รวมถึงหลี่เชียนกับจ้าวเซี่ยวที่ต่อสู้กันอยู่ด้วย

ทั้งสองคนต่างจำเป็นต้องหยุดและสกัดลูกศรที่ยิงไปทางพวกเขาก่อน

บางคนที่หลบไม่ทันก็กุมตรงที่ถูกยิงแล้วล้มลงไปบนพื้น บางคนแม้จะหลบได้อย่างว่องไว ทว่าก็ยังคงสีหน้าตื่นตระหนกเช่นเดิม

ในนี้มีคนของเจียงลวี่แล้วก็มีคนของหลี่เชียนด้วย

ฝูเซิงร่วงลงมาจากกลางอากาศเหมือนว่าวที่สายขาด

เจียงลวี่ตะโกนเสียงดัง และกระโดดขึ้นมาทันทีด้วยสีหน้าดำเหมือนก้นหม้อ แล้วตกลงข้างกายฝูเซิง

เขาเหมือนจะได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจของผู้หญิงแว่วๆ

แต่บ่า ต้นขา และเอวของฝูเซิงถูกยิงทั้งหมดสามดอก ลูกศรเข้าไปสามนิ้ว ฝูเซิงเจ็บจนเหงื่อตกเต็มศีรษะ และเป็นลมไปแล้ว เขายังมีเวลาสนใจเรื่องอื่นที่ไหนกัน จึงตรวจสอบอาการบาดเจ็บของฝูเซิง พลางเรียกชื่อฝูเซิงเบาๆ

ฝูเซิงพยายามลืมตา

เจียงลวี่โล่งอก แล้วรีบสั่งให้องครักษ์ที่ติดตามมาและรู้วิชาแพทย์ช่วยรักษาให้ฝูเซิง พอคิดอีกทีและคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาก็ยิ้มอย่างโกรธสุดขีด และตะโกนด่าหลี่เชียนที่ต่อสู้กับจ้าวเซี่ยวต่อว่า “หลี่เชียน เจ้าเป็นบ้าอะไร? โจมตีไม่แบ่งแยกฝ่าย! เจ้าไม่กลัวยิงตนเองตายหรือ!”

หลี่เชียนเป็นอย่างที่เจียงลวี่คิด ยิ่งสู้ยิ่งกล้า ท่าดาบเปลี่ยนจากอ่อนโยนและซื่อตรงก่อนหน้านี้เป็นพัฒนาเร็วมากและทรงพลัง เหมือนสัตว์ดุร้ายที่ถูกยั่วโมโห พอเปลี่ยนภาพลวงตาที่ว่านอนสอนง่ายก่อนหน้านี้ ก็เผยหน้าตาโหดเหี้ยมดุร้ายและอ้าปากที่โชกเลือดที่ใหญ่เท่าปากกะละมังออกมาในทันใด และคอยก่อกวนจ้าวเซี่ยว ไม่ตายไม่เลิก

เห็นได้ชัดว่าจ้าวเซี่ยวไม่ชินกับอุบายแบบนี้

อาวุธแต่ละขนาดต่างก็มีข้อได้เปรียบของตนเอง

จากที่เขาได้เปรียบเล็กน้อยในตอนแรกจนถูกกระทำและตอบโต้กลับในตอนนี้ สีหน้าดูแย่มาก

พอได้ยินคำพูดของเจียงลวี่ เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองเจียงลวี่ด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าหลี่เชียนจะฉวยโอกาสได้

ทว่าหลี่เชียนกลับผ่อนคลายเหมือนเดิม เขาได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดัง และเอ่ยว่า “ข้าบอกท่านตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือว่า อย่าได้คิดที่จะข้ามผ่านห้องโถงตรงประตูใหญ่ ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น! แม้แต่ตัวข้าเอง หากไม่สู้จนตายที่นี่ พวกเราก็ลองชิมอาหารเจของวัดป่าโอสถด้วยกัน”

เจียงลวี่เบิกตาโต

เขาเห็นถึงความจริงจังจากท่าทางและคำพูดของหลี่เชียน

หลี่เชียน…คิดที่จะสละชีวิตเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง และยอมต่อสู้กับเขาอย่างสุดชีวิต แต่อย่างไรก็ไม่ยอมที่จะประนีประนอม และปล่อยเจียงเซี่ยนไปจริงๆ

เพื่อผู้หญิงคนเดียว คุ้มหรือ?

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจียงลวี่เจอคนแบบนี้

เขารู้สึกแปลกมาก

“เจ้าบ้าไปแล้ว!” เขาอดที่จะพึมพำกับตนเองไม่ได้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่? หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว ต่อให้เจ้าตายก็เก็บเป่าหนิงไว้ไม่ได้อยู่ดี…”

มือของหวังจ้านกำเป็นหมัดแล้ว เล็บมือจิกเข้าไปในฝ่ามือลึกมาก

แม้เจียงลวี่จะไม่บอกเขาว่าทำไมเจียงเซี่ยนถึงตกอยู่ในกำมือของหลี่เชียน และเขาก็ไม่ถามเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้อะไรเลย

หลี่เชียนชอบเป่าหนิง

ในเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ จึงฉุดนางมาแต่งงานเสียเลย!

การคาดเดาได้รับการยืนยัน

หัวใจของเขาเจ็บจนชาไปหมดแล้ว

หลี่เชียนยอมตายแต่ไม่ยอมปล่อยเจียงเซี่ยนไปจริงๆ หรือ?

เขาใจกล้าขนาดนี้ได้อย่างไร?

เขาไม่กลัวทำให้ตระกูลหลี่เดือดร้อนไปด้วยหรือ?

เขาไม่กลัวทำให้ชื่อเสียงของเจียงเซี่ยนเสียหายหรือ?

หวังจ้านนึกถึงน้ำตาในดวงตาของมารดาและความละอายใจกับความเจ็บปวดที่ไม่สามารถสนองความต้องการของลูกชายกับลูกสาวได้ ตอนที่เขาคุกเข่าต่อหน้ามารดา และขอให้มารดาสู่ขอเจียงเซี่ยนให้เขา

เขาสติเลอะเลือนจนไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน

เพราะความขี้ขลาดของเขาหรือเปล่า เขากับเจียงเซี่ยนจึงเดินมาไกลได้เท่านี้?

หวังจ้านคล้ายจะเข้าใจเล็กน้อย ทว่าที่มากไปกว่านั้น เขากลับไม่กล้าคิด และไม่อยากไปคิด…

ด้วยความสับสนมึนงง เวลาเหมือนผ่านไปนานมาก แล้วก็เหมือนเพียงแค่ชั่วพริบตา ทันใดนั้นเสียงตวาดของเจียงลวี่ก็ดังเข้าหูเขา “หลี่เชียน เจ้ากล้าหรือ!”

หวังจ้านได้สติกลับมา แล้วก็เห็นจ้าวเซี่ยวโยนท่อนไม้และพลิกตัวกลิ้งติดกันสองสามรอบ ถึงจะหลบเพลงดาบฟ้าผ่าที่เหมือนทุ่มเทกำลังทั้งหมดของหลี่เชียนได้

หากว่าก่อนหน้านี้เจียงลวี่เพียงแค่รู้สึกว่าหลี่เชียนไม่มีทางปล่อยจ้าวเซี่ยวไป เช่นนั้นเวลานี้ก็คงจะไม่มีใครสงสัยว่า หลี่เชียนคิดจะฆ่าจ้าวเซี่ยว

เจียงลวี่สีหน้าโกรธจัด และตะโกนว่า “หลี่เชียน ข้าจะสู้กับเจ้า!”

หลี่เชียนยิ้มพลางหมุนตัว ก้อนเมฆหลากสียามพระอาทิตย์ตกดินที่งดงามตระการตาเหมือนหนังสือที่เขียนบนผ้าทอเคลือบแสงสีทองให้เขาชั้นหนึ่ง เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน สบายอกสบายใจเหมือนเดินเล่นอยู่ในลานใหญ่มาก ใบหน้าไม่มีจิตสังหารและความโหดเหี้ยมแม้แต่นิดเดียว ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกหนาว ราวกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็งในช่วงที่หนาวที่สุด จนตัวสั่นด้วยความหนาวอย่างควบคุมไม่ได้

สีหน้าของเจียงลวี่แย่ลง เขาฝืนทำตัวให้สดชื่นขึ้น และเอ่ยเสียงดังว่า “ทำไม? เจ้าไม่กล้าหรือ?”

หลี่เชียนหัวเราะเยาะ และเอ่ยว่า “เจ้ารู้ดีว่าข้ากล้าหรือไม่กล้า ทำไมต้องทำเรื่องที่ไม่จำเป็นด้วย!”

เจียงลวี่เข้าใจความหมายของเขา

หากไม่เห็นแก่เจียงเซี่ยน เมื่อครู่เขาก็ไม่มีทางที่จะต่อสู้กับหลี่เชียนได้นานขนาดนั้นด้วยซ้ำ

เขาหน้าแดง

จ้าวเซี่ยวลุกขึ้นยืนแล้ว แค่ปลายเท้าเกี่ยว ท่อนไม้ยาวที่ทำจากไม้ขี้เถ้าก็ลอยขึ้นมา และตกลงในมือของเขา

“หลี่เชียน!” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม สีหน้าเคร่งขรึมและเย่อหยิ่ง สายตาลุ่มลึก น้ำเสียงสงบนิ่ง “วันนี้พวกเรามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเดินออกไปได้”

เขาแค้นมากที่ว่าที่ภรรยาถูกคนอื่นชิงตัวไป!

หลี่เชียนมองจ้าวเซี่ยวอย่างเฉยชา จิตสังหารไหลเวียนอยู่ในดวงตา

เจียงลวี่แอบร้องในใจว่า ‘แย่แล้ว’ และกำลังจะขัดขวางไม่ให้ทั้งสองคนสู้กันต่อไป จ้าวเซี่ยวก็ออกแรงกระโดดไปข้างหน้าทั้งตัวแล้ว ท่อนไม้ยาวกวัดแกว่งไปทางหลี่เชียนราวกับลมแรงในหุบเขาลึก

หลี่เชียนเข้าปะทะ ท่าดาบรุนแรงมาก แต่กลับกระแทกจนโซเซอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายอีกเหมือนคลื่นโหมกระหน่ำซัดสาด

ทั้งสองคนปะทะกัน จ้าวเซี่ยวยืนอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคงโดยไม่ขยับเขยื้อน ทว่าหลี่เชียนกลับถอยหลังติดกันสามก้าว

เจียงลวี่โล่งใจ

คราบเลือดไหลลงมาจากมุมปากของจ้าวเซี่ยว

ตัดสินแพ้ชนะแล้ว!

“จ้าวเซี่ยว!” เจียงลวี่สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ

จ้าวเซี่ยวเอ่ยแล้วว่า “อีกที” และยกท่อนไม้กวาดไปทางหลี่เชียน

แต่กลับไม่มีพลังเช่นเมื่อครู่แม้แต่นิดเดียว ราวกับคนที่กำลังย่างเข้าสู่วัยชรา เชื่องช้าและหนักอึ้ง

หลี่เชียนยิ้ม และวาดดาบออกไปในแนวนอนแบบธรรมดาๆ ทว่ากลับเหมือนสิ้นสุดฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวมาเยือนแล้ว ใบไม้ร่วงจนหมดต้น และแฝงไปด้วยจิตสังหารอันเข้มข้น

“จ้าวเซี่ยว!” เจียงลวี่ถือกระบี่พุ่งเข้าไป

ทั้งสองคนรวมพลังโจมตีขนาบหลี่เชียน

หลี่เชียนหันกลับไป เขาไม่หลบไม่หนี และมองเจียงลวี่อย่างเฉยเมย

เจียงลวี่ตกใจ

รู้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมากที่จะฆ่าหลี่เชียน แต่กลับไม่อยากกลายเป็นคนเลวทรามต่ำช้าที่ตนเองเคยดูถูกที่สุดอีก…เขาจึงลังเลอยู่ชั่วพริบตา

ทันใดนั้นเสียงตะโกนเรียกสุดเสียงของเฉาเซวียนก็ดังเข้าหู “หยุด! หยุดให้หมด! ข้ามีราชโองการ! จ้าวเซี่ยว หลี่เชียน เจียงลวี่ รับราชโองการ รีบรับราชโองการ!”

ทุกคนต่างมึนงงกับเสียงนี้ จึงหันไปมองตามเสียงพร้อมกัน

แล้วก็เห็นชายหนุ่มรูปงามที่มีนัยน์ตาสดใสงดงามเจือประกายน้ำตา ซึ่งรีบเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อย ลากขาทั้งสองข้างเดินมาอย่างหอบหายใจหนัก โดยมีบุรุษผู้หนึ่งที่ดูเหมือนองครักษ์ของหลี่เชียนประคองอยู่

นัยน์ตาดอกท้อที่สวยงามแบบนั้น ไม่ใช่เฉาเซวียนแล้วจะเป็นใคร?

ทุกคนพลันเกิดคำถามขึ้นในใจ ทว่าต่างก็กลับไม่อยากออกหน้าถามเป็นคนแรกอีก

พวกหลี่เชียน จ้าวเซี่ยว และเจียงลวี่จึงมองเฉาเซวียนอย่างเงียบๆ

คนอื่นคิดอย่างไรเจียงลวี่ไม่รู้ แต่เจียงลวี่กลับแอบด่าหลี่เชียนในใจ บอกว่าสกัดคนไว้ที่ตีนเขาแล้ว ใครก็อย่าได้คิดที่จะขึ้นมาไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนแรกก็จ้าวเซี่ยวมา ตอนนี้เฉาเซวียนก็มาอีกคน…ง่ายดายเหมือนเข้าประตูสวนผัก คนที่อยากเข้ามาย่อมมีวิธีเข้ามาจนได้สินะ…

หลี่เชียนมองชายที่ประคองเฉาเซวียนขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

นั่นคือเว่ยสู่ผู้ติดตามคนสนิทของเขา

เขาสั่งให้เว่ยสู่เฝ้าอยู่ที่ตีนเขา เพื่อขัดขวางกำลังเสริมจากต้าถง

ทว่าเว่ยสู่กลับพาคนมาที่นี่