ณ เมืองหยาน

ซ่งเทียนต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียว กว่าจะหยุดพวกทหารที่คิดหนีทัพได้ในท้ายที่สุด หากแต่นั่นมันก็สายเกินไปแล้ว สถานการณ์ในเวลานี้เรียกได้ว่าเลวร้ายอย่างมาก ด้วยเดิมทีตระกูลเหลียง อู่และจี้หยางมีกองพันที่ขึ้นตรงถึง 20 กอง และเมื่อทหารนับแสนหนีหายไป มันก็ทำให้ทั้ง 20 กองพันนั่นไม่สามารถที่จะบริหารได้อีกต่อไป

ในตอนนั้นจ้านอู่ตี้ หนึ่งในแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหนิงก็ได้ริเริ่มที่จะเข้ามาพูดคุยกับซ่งเทียน โดยบอกให้เขารวบรวมกองทัพที่มีเข้าร่วมกับกองกำลังของหนิง เพื่อเข้าโจมตีมณฑลเทียนหยวนที่นำโดยถังหยิน

จ้านอู่ตี้และจ้านอู่ฉางเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงเป็นแม่ทัพใหญ่มาจากแคว้นหนิงเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ดำรงตำแหน่งระดับสูงและเป็นที่นิยมของผู้คนในแคว้นหนิงไม่เว้นแม้แต่อ๋องแห่งแคว้น ดังนั้นซ่งเทียนจึงไม่กล้าที่จะเพิกเฉย

ซึ่งเหตุที่จ้านอู่ตี้เข้าไปคุย ก็เพราะเขาคิดว่าถ้าขืนอยู่ที่แห่งนี้ต่อไปก็รังแต่จะมีโอกาสเลวร้ายเกิดขึ้น และเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาใด ๆ เขาจึงทำได้เพียงแค่ก้าวเข้าไปกระตุ้นให้ซ่งเทียนลงมือเพื่อตัดปัญหา ด้วยทหารนับ 4 แสนนายจากแคว้นหนิงที่ถูกส่งมาประจำการที่แคว้นเฟิงนั้นอยู่ที่แห่งนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ทำให้พวกเขาเป็นกังวล และอยากที่จะกลับบ้านเกิดตัวเองเต็มแก่

และหลังจากที่ซ่งเทียนกับจ้านอู่ตี้พูดคุยกัน เขาก็เริ่มรวบรวมกำลังพลในทันที จนได้กำลังพลมาทั้งหมด 3 แสนนาย 5 หมื่นนาย

กองทัพ 3 แสน 5 หมื่นนายภายใต้คำสั่งของซ่งเทียน ผนวกกับกองทัพหนิงอีก 4 แสนนายพร้อมที่จะออกเดินทางขึ้นเหนือเพื่อปราบปรามถังหยินแล้ว ! ซึ่งก็ใช่ว่าชายหนุ่มที่ทราบข่าวจะคิดตั้งรับเฉย ๆ เขาพลันทำการย้ายกำลังพลนับ 4 แสนนายไปทางใต้ของเทียนหยวน ก้าวเข้าสู่มณฑลกวนหนาน และในขณะเดียวกันเขาก็ส่งคนไปยังเมืองเบสซ่าเพื่อยืมกองกำลังจากพวกต่างแดน

อย่างที่ทราบกันดีว่าชายหนุ่มนั้นเคยต่อสู้กับพวกเบสซ่ามาก่อน ดังนั้นแล้วจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะคุ้นเคยกับพลังการต่อสู้ของพวกเบสซ่า ซึ่งชิวเจิ้นก็แนะนำมาว่า ให้พวกเขายืมทหารม้าจากเบสซ่ามา ด้วยไม่ว่าจะเป็นการรุกหรือรับ พวกทหารม้าเกราะหนักของเบสซ่านั้นก็แข็งแกร่งมาก และนอกจากนี้ กองทัพเฟิงจากเมืองหยานและกองทัพหนิงที่อยู่ห่างไกลพวกนั้นก็ไม่เคยเห็นทหารม้าเกราะหนักของคนพวกนั้นมาก่อน นี่จึงอาจกลายเป็นจุดได้เปรียบของพวกเขาก็เป็นได้ !

ถังหยินคิดว่าคำแนะนำของชิวเจิ้นนั้นสมเหตุสมผลมากและยอมรับในทันที เขาจึงทำการเขียนจดหมายส่งไปยังเมืองเบสซ่าเป็นการส่วนตัว และในเวลาเดียวกันนั้นก็ได้ส่งทองคำ เงินและเครื่องประดับจำนวนมากเพื่อแสดงความขอบคุณอีกฝ่าย

เพื่อปกป้องรากฐานของมณฑลเทียนหยวน เขาจึงไม่ต้องการจะสู้รบใกล้ ๆ กับตัวเมืองมากเกินไปและเลือกไปตั้งรับที่มณฑลกวนหยวนแทน อีกอย่าง เพื่อป้องกันการสูญเสียความได้เปรียบในการป้องกัน เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ต่อสู้ตรง ๆ กับอีกฝ่าย เพราะด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกเขานั้น ยังไม่อาจสามารถเอาชนะศัตรูที่มีกำลังถึง 7 หรือ 8 แสนเช่นนี้ได้

เมื่อได้ฟังดังนั้น บรรดาแม่ทัพแต่ละคนต่างก็มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ให้การสนับสนุนถังหยินในพลัน เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าการต่อสู้ในมณฑลกวนหนานจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายของพวกเขามากกว่า ด้วยพวกเขากลัวว่าจะทำลายเศรษฐกิจและเสถียรภาพของมณฑลเทียนหยวน อีกอย่าง การตั้งกำลังไว้ที่มณฑลกวนหนานนั้นก็อาจทำให้ศัตรูประหลาดใจไม่ใช่น้อย !

ปัจจุบันซ่งเทียนไม่รู้ว่าผู้ว่ามณฑลกวนหนานนั้นคิดคดต่อฝ่ายของเขา ดังนั้นชายชราก็น่าจะปฏิบัติกับกองทัพกวนหนานไปตามปกติในฐานะแนวหน้าของสนามรบฝั่งตน และหลังจากมาที่นี่ ด้วยแผนจู่โจมที่เอาไว้ นี่จะต้องสามารถทำให้พวกเขาจับตัวซ่งเทียนและกำจัดพวกหนิงได้อย่างแน่นอน !

มณฑลกวนหนานเป็นจุดเปราะบาง ทั้งยังใกล้มากที่จะไปยังที่นั่น การเดินทางจากทางผ่านสวรรค์ไปยังมณฑลนั้นเร็วกว่าการเดินทางไปยังชุนโจวเสียอีก

ถังหยินสั่งกองทัพของมณฑลเทียนหยวนจำนวน 1 หมื่นนายให้เป็นกองหน้า และหลังจากการเดินขบวนที่เร่งรีบทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงนอกเมือง

ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่และท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้น ถังหยินควบม้าไปข้างหน้า ก่อนพบว่าที่ใต้กำแพงเมืองและบนกำแพงเมืองนั้นไม่มีทหารให้เห็นแม้แต่นายเดียว

ซึ่งเมื่อดูดี ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่ากำแพงที่ทั้งสูงและหนา กับธงของเมืองนี้นั้นมันช่างดูแล้วน่าขบขันสิ้นดี ด้วยบางธงก็มีสีแดงและสีขาวบนพื้น ในขณะที่บางธงก็เป็นสีดำบนพื้นสีขาวเหมือนธงของแคว้นเฟิง

3 พี่น้องตระกูลฉางกวง อันประกอบไปด้วยหยวนยู่ หยวนอู่และหยวนเปียวต่างก็พากันเดินเข้าหาถังหยิน ก่อนจะเป็นหยวนยู่ที่กระตุ้นม้าไปด้านข้างและตะคอกออกไปเสียงดัง “นี่พวกเจ้าคิดจะทำอันใดกัน ? คิดหรือว่าการมีธง 2 ผืนเช่นนี้จะเป็นการดี !”

ถังหยินรู้สึกขบขันเช่นกัน เขาส่ายหัวและหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ตะโกนไปที่กำแพงเมือง “พี่น้องข้างบนจงฟัง ข้าคือถังหยิน รีบไปแจ้งหัวหน้าของพวกเจ้าให้เขาออกมาพูดกับข้าเดี๋ยวนี้ !”

ในที่สุดเสียงตะโกนของชายหนุ่มก็ทำให้ทหารบนกำแพงเมืองเคลื่อนไหว และหลังจากความวุ่นวายเป็นเวลานาน ในที่สุดก็มีใครบางคนยื่นออกมาครึ่งหัวจากกำแพงเมืองอย่างกระดากและมองลงไป ซึ่งเมื่อเขาเห็นคนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันนอกเมืองก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก

ทหารที่เฝ้าดูสูดอากาศเย็นเข้าปอด รวบรวมความกล้าและถามอย่างไม่แน่ใจออกไป “เจ้า … เป็นใคร ? ”

ถังหยินกลอกตาไปมา จากนั้นเพิ่มระดับเสียงและตะโกน “จากมณฑลเทียนหยวน ถังหยิน !”

“เห้ย ถังหยินอย่างนั้นเหรอ !” ขาของทหารผู้นั้นพลันอ่อนแรงและเขาเกือบล้มลงกับพื้น ถังหยินจากมณฑลเทียนหยวนมาที่เมืองถงเทียนพร้อมด้วยกองทัพนับแสนงั้นหรือ นี่พวกเขามาที่นี่เพื่อโจมตี ? พวกทหารต่างจับลูกศรขณะที่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขาพูดตะกุกตะกัก “ท่านถังงั้นหรือ แล้วท่านต้องการพบผู้ใดกัน ?”

ถังหยินเกือบจะหัวเราะออกมาดัง ๆ พร้อมกับนึกขำในใจว่านายทหารผู้นี้เป็นคนแบบไหนกันนะ ? ก่อนที่เขาจะโบกมือและพูดว่า “ไปเรียกผู้ว่ามณฑลนี้มา !”

“ใช่ ใช่ ใช่ ! ตกลงท่านถังหยิน ! ข้าจะไปรายงานท่านผู้ว่าให้ กรุณารอซักครู่นะขอรับ !”

“ดี ! ลำบากเจ้าหน่อยล่ะนะ !”

“ม…มะ…ไม่เลยขอรับ !”

หลังจากที่ทหารและถังหยินพูดจบ เขาก็ไม่กล้าที่จะรีรออีกต่อไปและรีบวิ่งไปตามกำแพงเมืองทันทีราวกับก้นของเขาถูกไฟไหม้ มุ่งตรงไปที่จวนผู้ว่าเพื่อรายงานเรื่องนี้

หลังจากรอเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดประตูเมืองถงเทียนก็เปิดออก ก่อนจะมีชายวัยกลางคนในชุดคลุมทางการเดินออกมาภายใต้การคุ้มครองของทหารหลายสิบคน ด้วยท่าทีเร่งรีบ

ทหารม้ากลุ่มนี้มีม้าที่แข็งแกร่งทหารม้าที่สูงและแข็งแรง ชุดเกราะที่สดใสสะท้อนถึงวิญญาณที่มีชีวิตชีวา พวกเขาแต่ละคนมีดวงตากลมโตที่กะพริบตามแสงทำให้จิตวิญญาณของผู้คนสั่นสะท้าน ไม่ยากที่จะตัดสินความสามารถในการต่อสู้ของศัตรูเพียงแค่ดูที่ความแข็งแกร่งทางทหารของเขา ซึ่งเซ่าฮุยก็ไม่ใช่คนไร้ความสามารถและไม่ได้ตาบอดด้วย ดังนั้นเขาก็รู้สึกได้เช่นกัน

เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและหัวเราะออกมา “ข้าคือเซ่าฮุย ข้าขอถามท่าน ท่านเป็นใครกัน ?”

“ท่านฮุ่ย ไม่ได้พบกันนาน ข้าถังหยิน !” ในขณะที่พูด ถังหยินก็กระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วและมาที่ด้านหน้าของเซ่าฮุยก่อนจะจับมือทักทายกัน ในเวลาเดียวกัน เซ่าฮุยก็ไม่พลาดที่จะใช้โอกาสนี้ทำการสังเกตคู่สนทนาตรงหน้าอย่างละเอียด

นี่คือถังหยินที่ถูกพูดถึงหนาหูเมื่อไม่นานมานี้

ซึ่งอีกฝ่ายนั้นก็ดูจะอายุน้อยกว่าที่เซ่าฮุยคาดไว้มาก คล้ายจะอายุประมาณ 25 หรือ 26 ปีเท่านั้น อีกทั้งทั้งชุดเกราะพร้อมหมวกเกราะและเสื้อคลุมก็เป็นสีดำทั้งหมด ดูไม่เหมือนจอมทัพที่ดุร้าย แต่ดูหล่อเหลาและสง่างามมากกว่า

“ท่านถัง ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับท่านมามาก !” ต่อหน้าถังหยิน เซ่าฮุยดูนอบน้อมมากกว่าปกติ ท่าทีของเขาอ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพราวกับว่าเขาลืมไปว่าเขาและถังหยินอยู่ในระดับเดียวกัน ด้วยพวกเขาต่างก็เป็นผู้ว่ามณฑลเหมือน ๆ กัน

ถังหยินหัวเราะ “ท่านเซ่า สุภาพเกินไปแล้ว”

“ท่านถัง ท่านมาที่นี่ด้วยอย่างนั้นเหรอครับ?”

“ข้าต้องการปกป้องมณฑลกวนหนานจากกองกำลังผสมระหว่างซ่งเทียนและแคว้นหนิง ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าท่านเซ่าพอจะช่วยเหลือข้าได้หรือไม่ ?”

“หืมม ?” เซ่าฮุยหายใจเข้าลึก ๆ และหยุดชั่วขณะ จากนั้นเขาก็หันมาถาม “ดูท่าว่าเราจะต้องคุยกันในเรื่องรายละเอียดกันก่อนเสียแล้ว ท่านถัง”

ถังหยินพยักหน้ารับ เขากำลังจะตามเซ่าฮุยเข้าไปในเมืองและเมื่อทหารม้าคนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้นพวกเขาก็เริ่มตามไปด้วย หากแต่ชายหนุ่มก็โบกมือให้พวกเขาและพูดว่า “หยวนยู่กับทหารม้าอีก 1 หมื่นนายมากับข้า หยวนอู่ หยวนเปียว และพวกคนอื่น ๆ ไม่ต้องตามข้ามา กลับไปประจำที่เสีย !”

“ขอรับนายท่าน !” หยวนอู่และหยวนเปียวตกลง ก่อนจะกลับไปที่ตำแหน่งของพวกเขา

ตอนนี้มณฑลกวนหนานไม่กล้าที่จะยุ่งอะไรกับถังหยิน และแม้ว่าพวกเขาต้องการวางแผนอะไรบางอย่าง หากแต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถหาโอกาสที่จะทำเช่นนั้นได้เลย

ถังหยินนำคนเพียงคนเดียวเพื่อติดตามเขาเข้าไปในเมือง และเพียงแค่ความกล้าหาญของเขาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เซ่าฮุยชื่นชมเขา

ระหว่างทาง เขาได้ให้ผู้ติดตามของเขาถอยออกไปแล้วถามถังหยิน “อันที่จริงข้านั้นก็เกลียดวิธีการของซ่งเทียนยิ่งนัก ซึ่งข้าก็เชื่อว่าท่านน่าจะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว”

“ข้ารู้” ถังหยินพยักหน้าโดยไม่คำนึงว่าเซ่าฮุยจะเกลียดเขาจริง ๆ หรือไม่ เพราะไม่ว่าอย่างไร ชายหนุ่มก็ยังคงต้องขอบคุณที่อีกฝ่ายบริจาคเงินให้กองทัพของเขาเสียมากมาย

“ดังนั้นหากท่านถังต้องการสู้กับซ่งเทียน ข้าจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างท่านอย่างแน่นอน ถ้าต้องการสิ่งใด ข้าก็จะพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ !”

“คำพูดดังกล่าว ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจได้มากเลย” ถังหยินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

และในขณะที่เขาเดินไปในเมือง สายตาของชายหนุ่มก็มองกวาดไปรอบ ๆ ตัวเขา ด้วยตอนนี้รุ่งสางแล้ว ดังนั้นร้านค้าหลายแห่งในเมืองถงเทียนจึงเปิดทำการแล้วและมีคนเดินถนนมากมาย ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นว่าเซ่าฮุยจัดการเมืองถงเทียนได้เป็นอย่างดีขนาดไหน