ตอนที่ 207 วางแผน!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

หลิงหลานส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ต้อง คอยสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ!”

จู่ๆ กัปตันยานบินทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่นอน ในสมองของหลิงหลานพลันนึกถึงการ์ตูนเรื่อง Hunter X Hunter ที่เธอเคยอ่านเมื่อชาติก่อน นับตั้งแต่ที่กอนขึ้นเรือเพื่อไปสอบใบอนุญาตฮันเตอร์ การสอบก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว

“นี่นับว่าเป็นการแสดงอำนาจข่มขู่พวกเราหรือเปล่านะ? หรือว่าเป็นเหมือนที่ฉันคิดเอาไว้ การสอบรอบแรกของพวกเราเริ่มต้นขึ้นแล้ว? น่าสนใจจริงๆ!” มุมปากของหลิงหลานเผยร่องรอยความสนุกสนานออกมา การเดินทางที่เดิมทีจืดชืดน่าเบื่อเปลี่ยนเป็นน่าสนุกมากทันที

เวลานี้เอง ลูกเรือเริ่มเอ่ยคำพูดยั่วยุขึ้นมา ราวกับว่าจงใจอยากกระตุ้นโทสะของเหล่านักเรียน ให้พวกเขาเข้ามารับคำท้า อย่างไรก็ตามความพยายามของพวกเขาเสียแรงเปล่าแล้ว เนื่องจากสุดท้ายพวกนักเรียนต่างอดทน ไม่ได้ตอบรับการยั่วยุของพวกเขา

ความจริงแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหลิงหลานเลือกคอยสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ทางฝั่งหลิงหลานไม่เคลื่อนไหว อู่จย่งที่ปลิ้นปล้อนก็ไม่อยากบุ่มบ่ามลงมือในสถานการณ์ที่ไม่แน่ชัด ถึงแม้ว่าหลี่อิงเจี๋ยจะใจร้อนไม่ประสีประสา แต่เขาไม่ได้ไร้สมองเช่นกัน เขาย่อมรู้ว่าตอนนี้ไม่สามารถกระโดดออกมาอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือได้ ในขณะเดียวกันนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็คุ้นเคยกับการเดินตามสามทีมใหญ่นับตั้งแต่การต่อสู้ประจัญบาน ในเมื่อสามทีมใหญ่ต่างอดทนรอคอยจังหวะ พวกเขาย่อมสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ตาม

ในเมื่อนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่ยึดครองจำนวนครึ่งหนึ่งตั้งมั่นไม่เคลื่อน นักเรียนจากสถาบันอื่นๆ ย่อมไม่โง่เง่ากระโดดออกมาทดลองเองแน่นอน ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นหัวกะทิของสถาบันต่างๆ ไม่ได้ปัญญาทึบจนถึงขั้นระเบิดโทสะเพราะการยั่วยุ ดังนั้นสถานการณ์ที่เดิมทีตึงเครียดสามารถปะทุขึ้นได้ตลอดเวลาก็สลายไปท่ามกลางการนิ่งเงียบของฝ่ายหนึ่ง

………

นี่ก็ทำให้กัปตันที่อยู่ในห้องกัปตันลอบร้องเชี่ยอย่างลับๆ ไม่ได้ เขาปิดระบบเสียงและภาพของทางฝั่งนี้ลงอย่างรุนแรง

เขาหันศีรษะถลึงตาใส่อีกคนที่อยู่ในห้องกัปตัน แล้วสบถว่า “เชี่ยเอ๊ย นักเรียนกลุ่มนี้แม่งไม่มีความกล้าเลยหรือไง?”

“นี่เรียกว่าพวกเขาฉลาดเข้าใจเหตุผล การยั่วยุที่นายวางแผนไว้ระดับต่ำเกินไปแล้ว เด็กที่ฉลาดนิดหน่อยก็ดูออกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติในนั้น” คนที่พูดคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สวมชุดเครื่องแบบพันตรีเรียบกริบสะอาดเรียบร้อย กิริยาท่าทางของเขาดูสง่างามมีความรู้ จอนผมทั้งสองข้างที่มีสีขาวเป็นดวงๆ ทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่สุขุมหนักแน่น แตกต่างจากท่าทีป่าเถื่อนและไม่เรียบร้อยของกัปตัน

พันตรียื่นขวดเหล้าขาวมือให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กัปตันแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง จากนั้นก็บิดฝาขวดก่อนกรอกเหล้าอย่างบ้าคลั่ง

“อย่ารีบดื่มขนาดนั้นสิ จะโมโหกับตัวเองไปทำไม?” พันตรีกล่าว

“แม่ง ทำไมไอ้เด็กเวรพวกนี้ไม่มีใครใจร้อนหน่อยเลย? หลายปีมานี้ฉันเพิ่งเจอแบบนี้เป็นครั้งแรก” กัปตันเอ่ยด้วยความบูดบึ้ง

ควรรู้เอาไว้ว่าการประเมินความสามารถและนิสัยของนักเรียนบนยานบินคือภารกิจของเขา เดิมทีวิธียั่วยุตั้งแต่ที่เข้ามานี้เป็นวิธีการที่ใช้ได้ดีมาก เนื่องจากทุกครั้งจะมีเด็กหมายคนที่ใจร้อนกระโดดออกมาทำให้เขาเชือดไก่ให้ลิงดู ให้เขามีโอกาสตรวจสอบท่าทีของเหล่านักเรียนเวลาที่เผชิญหน้ากับการกำราบจากพลังที่แข็งแกร่ง

“ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่มีหรอก เพียงแต่ถูกห้ามไว้น่ะสิ” พันตรีเดินมาที่หน้าจอ แล้วย้อนภาพเมื่อสักครู่นี้ มีหลายคนคิดจะลุกขึ้นมาประท้วงแต่ถูกคนข้างๆ ห้ามเอาไว้ ในนั้นก็มีภาพเหตุการณ์ของฉีหลงกับหลิงหลานช่วงหนึ่งเช่นกัน

พันตรีขยายภาพหนึ่งในนั้น นั่นเป็นนักเรียนคนหนึ่งของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ เขาดึงเพื่อนร่วมทีมข้างที่อยู่กายตัวเองไว้ สายตาบ่งบอกว่าให้เพื่อนร่วมทีมมองไปยังทิศทางหนึ่งราวกับกำลังเตือนอีกฝ่ายว่า ต้องดูสถานการณ์ให้ดี

พันตรีเลื่อนภาพเข้าไปตามทิศทางการบอกของอีกฝ่าย ทีมหลิงหลาน อู่จย่งและหลี่อิงเจี๋ยปรากฏตัวขึ้นในสายตาของเขาเช่นนี้เอง

“นายดูไม่ออกหรือไงว่า นักเรียนพวกนั้นกำลังรอท่าทีของคนพวกนี้” พันตรีชี้ไปทางหลิงหลานและเอ่ยเตือน

“ชิ นายคิดว่าฉันดูไม่ออกเหรอ? ตอนที่ฉันพูดอยู่ ไอ้เด็กเวรกลุ่มนี้ถูกฉันยั่วโมโหแล้วแท้ๆ แต่พวกเขากลับเลือกมองไปที่นี่ทันที…” ความจริงกัปตันก็ดูออกเช่นกัน

“ไม่ผิด เมื่อสักครู่นี้ฉันตรวจสอบคร่าวๆ แล้ว นักเรียนพวกนี้น่าจะเป็นนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ นายก็รู้ว่า นักเรียนที่มาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือเพียงอย่างเดียวก็ยึดครองหนึ่งในสิบของทั้งโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งไปแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สมาชิกของฝ่ายสถาบันศูนย์กลางลูกเสือมีเยอะมากที่สุดในโรงเรียนทหาร….”

“แต่ว่า ก็เป็นฝ่ายที่ไม่ประสานความร่วมมือกันมากที่สุดด้วย!” กัปตันยานบินทำหน้าดูถูก เขาไม่ได้มาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ดังนั้นจึงไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อสถาบันศูนย์กลางลูกเสือมากนัก ถึงแม้ว่าคนที่ออกมาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือจะมีพรสวรรค์ที่ดีกว่า ความสามารถสูงกว่านักเรียนจากสถาบันทั่วไปอย่างพวกเขา แต่การต่อสู้ภายในของพวกเขาก็รุนแรงจริงๆ แทบจะเป็นทรายที่กระจัดกระจาย[1]

“ใช่แล้ว นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมจำนวนคนของฝ่ายสถาบันศูนย์กลางลูกเสือเยอะมากที่สุด แต่กลับไม่สามารถกลายเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งของโรงเรียนทหารได้! ถูกฝ่ายสถาบันอื่นๆ กดข้ามหัวไปจริงๆ นี่ก็เป็นเรื่องหน้าเศร้าของพวกเขา” โดยเฉพาะสามปีนี้ ฝ่ายสถาบันศูนย์กลางลูกเสือยิ่งตกต่ำลง ถึงขนาดที่ไม่สามารถเข้าขุมกำลังสามอันดับแรกได้

“ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของนักเรียนที่ออกมาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือจะแข็งแกร่ง แต่กลับไม่สามารถเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียนทหารได้ นี่ก็เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดว่าทำไมพวกเขาไม่สามารถกลายเป็นขุมกำลังอันดันดับได้” กัปตันบอกจุดอ่อนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือออกมา ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ทั่วไปของนักเรียนจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือจะเหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ แต่ว่าผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดกลับไม่ใช่หนึ่งในพวกเขา…

“ใช่ โดยเฉพาะสามปีมานี้ สถาบันศูนย์กลางลูกเสือไม่ติดสามอันดับแรกเลย คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นแค่อันดับห้าเท่านั้น ทำให้คนถอนหายใจจริงๆ สถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ระดับสุดยอดตกต่ำลงแล้ว” พันตรีรู้สึกสะเทือนใจอย่างลึกล้ำสุดขีด ถึงแม้ว่าเขาไม่ใช่คนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ แต่ผู้บังคับบัญชา อาจารย์ ผู้มีพระคุณของเขาต่างก็อยู่ในฝ่ายสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ดังนั้นเขายังคงมีความรู้สึกดีๆ ต่อสถาบันศูนย์กลางลูกเสืออย่างยิ่งยวด

“แต่ว่า รุ่นนี้ไม่เหมือนกัน” แววตาของพันตรีที่เดิมทีมีความเศร้าเสียใจเปลี่ยนเป็นจริงจังในพริบตา เนื่องจากคราวนี้นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างน่าประหลาด บางทีในหมู่พวกเขาอาจจะปรากฏราชาที่แท้จริงขึ้นมาแล้ว ทำให้พวกเขายอมรับอย่างสุดหัวใจ ถ้าเป็นแบบนี้ละก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าขุมกำลังของโรงเรียนทหารอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเพราะการเข้ามาของพวกเขาก็เป็นได้

“บางทีการประเมินครั้งนี้อาจจะนำเรื่องน่าประหลาดใจมาให้พวกเราก็ได้นะ” หลายปีมานี้เขากับกัปตันไม่เคยพอใจเลย เนื่องจากการตัดสินใจสุดท้ายของพวกนักเรียนไม่ใช่คำตอบที่พวกเขาต้องการ

“จะได้เหรอ?” กัปตันยานบินที่ไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อสถาบันศูนย์กลางลูกเสือมาตลอดไม่ได้คาดหวังต่อพวกเขาเลย เดิมทีการต่อสู้ภายในก็เป็นเอกลักษณ์ของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ รุ่นนี้จะมีข้อยกเว้นเหรอ?

“งั้นเราก็ตั้งหน้าตั้งตารอกันเถอะ!” พันตรีกล่าวด้วยรอยยิ้มดูอารมณ์ดีอย่างยิ่งและก็ไม่ได้หงุดหงิดเลย

“ได้ แต่ว่าฉันต้องรีบทำให้พวกเขาอดทนต่อไปไม่ไหว ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถเห็นสิ่งที่พวกเราอยากเห็นได้แล้ว” แววตาของกัปตันฉายแววคมกริบออกมาวูบหนึ่ง กลิ่นอายทรงพลังสายหนึ่งแผ่ออกมาอย่างเงียบๆ เวลานี้เขาไม่ได้เป็นกัปตันที่ป่าเถื่อนโอหังคนนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่เขาคล้ายกับเป็นอสูรป่าเถื่อนตัวหนึ่งที่มาจากส่วนลึกของจักรวาล ดูทรงพลังและอันตราย!

…………..

หลิงหลานรู้แต่แรกแล้วว่าสองวันหนึ่งคืนนี้ไม่มีทางสงบสุขแน่นอน แต่เธอยังระบุไม่ได้ว่าเป้าหมายที่กัปตันยั่วยุพวกเขาคืออะไรกันแน่ ถ้าเกิดเป็นการสอบจริงๆ พวกเขาคิดจะสอบอะไร? แต่ยังไม่ทันที่เธอจะขบคิดอะไรออกมา การปะทะกันอย่างไม่คาดฝันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ

ครึ่งวันแรกสงบสุขอย่างยิ่งยวด ถึงแม้ว่าลูกเรือจะพูดว่ายั่วโทสะไม่หยุด แต่นักเรียนที่ใจเย็นลงกลับควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ ทว่าเมื่อมาถึงช่วงเย็นความสงบสุขนี้ก็หายไป

ช่วงเวลาอาหารเย็น พวกหลิงหลานหกคนมาที่ห้องอาหารแล้วทานอาหารเย็นที่เรียบง่าย อาหารที่ยานบินจะให้เป็นบุฟเฟต์ เพียงแต่ของน้อยมาก รสชาติก็ไม่ดี ถึงแม้พวกนักเรียนไม่พอใจอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็รู้ว่ามาถึงอาณาเขตของอีกฝ่าย ก็ได้แต่อดทนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องบางอย่างที่ไม่ใช่ว่าพวกเขาอดทนแล้วก็แก้ปัญหาได้ ไม่นานหลังจากที่นักเรียนคนหนึ่งทานอาหารเย็นเสร็จแล้วและกำลังจะกลับไป ในระหว่างที่เขาเดินออกจากห้องอาหารก็ถูกกระแทกกลับมา จากนั้นลูกเรือร่างกำยำหลายคนก็ล้อมนักเรียนคนนั้นไว้อย่างรวดเร็ว ลูกเรือหนึ่งในนั้นนวดไหล่ สั่งด้วยท่าทีอวดดีว่าให้นักเรียนคนนั้นคุกเข่าขอโทษเขาเนื่องจากอีกฝ่ายกระแทกเขาจนเจ็บ

 นักเรียนคนนั้นย่อมไม่ยอมรับวิธีการขอโทษที่สบประมาทเช่นนี้ เขาพยายามต่อสู้ด้วยเหตุผล บอกว่าเขาเดินดีแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับเปลี่ยนทิศทางบุ่มบ่ามเข้ามาอย่างกะทันหันในตอนที่เขาเดินผ่านเฉียดร่างพวกเขา เขาไม่ทันได้ตอบสนองก็เลยชนกัน และคนที่ขอโทษก็ควรเป็นอีกฝ่ายด้วย

“ดูเหมือนว่า กัปตันคนนั้นจะลงมือแล้วสินะ!” หลิงหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย หรือว่าฝ่ายตรงข้ามอยากดูค่าพลังรบของนักเรียน? หรือว่าอยากฉวยโอกาสนี้ดูท่าทีของนักเรียนคนอื่นๆ ที่มีต่อเรื่องนี้?

“เลือกคอยสังเกตการณ์หรือว่าตอบโต้กลับอย่างกล้าหาญ? หรือว่าพวกเขาอยากทดสอบความรู้สึกที่แท้จริงของนักเรียน?” หลิงหลานมองไปที่หานจี้จวิน ในใจสัมผัสอะไรบางอย่างได้รางๆ

หานจี้จวินเหมือนกับสัมผัสอะไรบางอย่างได้เช่นกัน ทั้งสองคนที่ขมวดคิ้วนึกถึงการสอบเข้าสถาบันศูนย์กลางลูกเสือในปีนั้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“เหมือนการสอบของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือไม่มีผิดเลย” ไม่นานหานจี้จวินที่เข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วก็ยิ้มขึ้นมา

“คราวนี้เนื้อหาหลักของการสอบน่าจะเป็นความสามัคคี!” หลิงหลานคาดคะเนเนื้อหาของการสอบช้าๆ แตกต่างจากในตอนแรก

“ฉันเห็นด้วย!” หานจี้จวินผงกศีรษะ เขาเองก็รู้สึกว่านี่มีความเป็นไปได้มากที่สุด

เมื่อเผชิญหน้ากับลูกเรือยานบินที่แข็งแกร่ง ร่วมมืออย่างรู้ใจกันและมีสายสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้โดยอาศัยแค่พลังของคนหนึ่งคนหรือว่าไม่กี่ทีม ถ้าหากต้องการได้ตำแหน่งที่เท่าเทียมกัน พวกเขาจำเป็นต้องมีพลังมากพอที่จะปกป้องสิทธิ์และเกียรติยศของตัวเอง คนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์พูด…

การเสียเปรียบด้านจำนวนทำให้พวกเขาจำเป็นต้องรวมกลุ่มกันขึ้นมาและผนึกกำลังให้กลายเป็นหนึ่งเดียว แน่นอนว่าการแสดงความสามารถและกำลังรบของแต่ละคนก็เป็นหนึ่งในจุดสำคัญของการสังเกตการณ์เช่นกัน พวกเขาจะรวมกลุ่มกันยังไงก็ต้องดูความสามารถส่วนตัวของบางคนด้วย และพลังรบก็เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดในการได้รับความเท่าเทียมกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้รวมกลุ่มกันขึ้นมา ถ้าหากไม่มีความสามารถก็เป็นการเสียแรงเปล่าเหมือนกัน

“ยิงครั้งเดียวได้นกหลายตัว! ฝ่ายตรงข้ามวางแผนได้ดี!” หานจี้จวินกล่าวด้วยความชื่นชม คนที่ออกแบบแผนการสอบนี้คืออัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย

…………

พันตรีที่อยู่ในห้องกัปตันรู้สึกคันจมูกขึ้นมาฉับพลันก่อนจะจามออกมาทันที เขาขยี้จมูกตัวเอง เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “แปลก ทำไมถึงจามโดยไม่มีสาเหตุขึ้นมา? หรือว่าระบบรักษาอุณหภูมิพังแล้ว?”

“ทำการตรวจสอบ ระบบรักษาอุณหภูมิปกติ พันตรีหวังอี้ ความรู้สึกของคุณผิดพลาดแล้ว” ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของยานบินทำการตรวจสอบตัวเองตามคำถามของพันตรี หลังจากนั้นก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“จริงเหรอ? หรือว่ามีคนกำลังคิดถึงฉันอยู่?” พันตรีกังขา

“คำถามข้อนี้ ไม่มีข้อมูลที่ละเอียดให้ฉันทำการวิเคราะห์ ได้โปรดให้อภัยที่ฉันไม่สามารถให้คำตอบแก่คุณได้!” ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักตอบตามหน้าที่อย่างสุดความสามารถ ถึงแม้ว่ามันจะรู้สึกว่าคำถามของพันตรีดูไร้สาระและโง่เขลามากก็ตาม…

………………………………………

[1] หมายถึง การขาดการทำงานร่วมกัน