ตอนที่ 208 แผนการของหลิงหลาน!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

การพิพาทกันตรงหน้าประตูห้องอาหารทำให้นักเรียนจำนวนมากเข้ามาล้อมดูกันด้วยความสนใจ แน่นอนว่ามีนักเรียนไม่น้อยที่ทำหน้าโมโห เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าบุ่มบ่าม ลูกเรือที่จับตามองพวกเขาอยู่รอบๆ กำลังเพ่งความสนใจมาที่พวกเขาอยู่ ขอเพียงพวกเขามีการเคลื่อนไหวผิดปกติก็จะพุ่งเข้ามากำราบพวกเขา

หลิงหลานมองฉากนี้ด้วยความเย็นชา ทันใดนั้นเธอก็หันหน้าไปหาเซี่ยอี๋และกล่าวว่า “เซี่ยอี๋ ไปเชิญอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยเข้ามา!”

แววตาของเซี๋ยอี๋โชนแสงขึ้น “ได้เลย!” ในเมื่อหลิงหลานสั่งการแบบนี้ก็ต้องยอมรับบทบาทที่เขากำหนดให้ตัวเองแล้วแน่นอน ถึงแม้ก่อนหน้านี้ลั่วล่างบอกว่าลูกพี่หลานยอมรับเขาแล้ว แต่เขาไม่ได้รับท่าทีที่แน่ชัดของหลิงหลานเลย ดังนั้นในใจเซี่ยอี๋ยังคงรู้สึกไม่มั่นคงอยู่บ้าง กลัวว่าลั่วล่างแค่ปลอบใจเขาเท่านั้น

ความสามารถด้านการทูตของเซี่ยอี๋ยอดเยี่ยมมาก ไม่นานอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยก็พาทีมของตัวเองเข้ามาที่ห้องอาหาร

“ลูกพี่หลาน ได้ยินว่านายตามหาพวกเราเหรอ?” อู่จย่งทำหน้าประหลาดใจ หลิงหลานมาหาเขาน้อยมาก เมื่อมาหาเขาแสดงว่าจะต้องทำเรื่องใหญ่แน่นอน เหมือนกับการต่อสู้ประจัญบานในตอนนั้น

ส่วนหลี่อิงเจี๋ยก็เรียกขานเสียงแผ่วเบาด้วยสีหน้าอึดอัดว่า “ลูกพี่หลาน!” ข้างในส่วนลึกของเขาไม่อยากเรียกแบบนี้เลย อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ที่อู่จย่งเปลี่ยนมาเรียกหลิงหลานว่าลูกพี่หลานแล้ว บางครั้งการที่เขาเรียกหลิงหลานด้วยชื่อตรงๆ กลับนำสายตาแปลกประหลาดของทุกคนที่อยู่ในห้องเอและห้องบีมาให้ ต่อให้เป็นคนในทีมตัวเองก็ทำหน้าประหลาดใจ นี่ทำให้เขาจำเป็นต้องก้มศีรษะที่ถือดีของเขา กัดฟันยอมรับหลิงหลานเป็นลูกพี่ของรุ่นพวกเขา

อันที่จริงหลิงหลานไม่สนใจคำเรียกขานเลย ไม่ว่าจะเรียกเธอว่าลูกพี่หลาน หรือว่าเรียกเธอด้วยชื่อนามสกุลต่างก็เป็นแค่คำเรียกขานเท่านั้น เธอส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนมองไปยังใจกลางการทะเลาะวิวาท และเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “พวกนายคิดว่ายังไง?”

“เอ๋? เป็นเขาเหรอ? ลูกพี่หลาน นั่นเป็นคนของสถาบันเรา ชื่อว่าเผิงเจียเหยียน เมื่อก่อนเป็นเด็กห้องดีเด่น แต่ว่าปีสุดท้ายกลับโค่นล้มเข้าห้องบีได้สำเร็จ หลังจากนั้นเขาก็สอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้อย่างราบรื่น เป็นคนมีสามารถคนหนึ่ง” อู่จย่งที่คุ้นเคยกับนักเรียนที่โดดเด่นของสถาบันเป็นอย่างยิ่งบอกประวัติของอีกฝ่ายทันที

อู่จย่งเพิ่งจะบอกชื่อและประวัติของนักเรียนคนนั้น เหตุการณ์ขัดแย้งกันที่ห้องอาหารก็เพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง ลูกเรือของยานบินหลายคนหมดความอดทนแล้ว พวกเขาตัดสินใจลงมือทันที ลูกเรือสองคนในนั้นเดินขึ้นหน้าไปด้วยกัน คิดจะล็อคตัวอีกฝ่ายไว้ พยายามใช้กำลังบีบให้อีกฝ่ายคุกเข่าขอโทษ

นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกเขาจินตนาการไว้ เขาเห็นว่าท่าไม่ดีแล้วก็บิดกายหลบการโจมตีขนาบข้างของทั้งคู่  แต่ว่าในตอนที่เขาเพิ่งจะหลบออกนั้น ลูกเรืออีกสองฝั่งลงมือโจมตีฉับพลัน นี่ทำให้ลูกเสือไม่มีช่องทางให้ถอยแล้ว จึงถูกสองคนนั้นล็อคตัวควบคุมไว้

การโจมตีติดต่อกันนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น ลูกเสือที่อยู่ในที่เกิดเหตุยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองก็พบว่าลูกเสือคนนั้นถูกฝ่ายตรงข้ามคุมตัวไว้แล้ว ไม่เพียงเท่านั้น อีกฝ่ายถึงขนาดใช้กำลังบังคับให้ลูกเสือคุกเข่าลง…

ฉากนี้ทำให้ใบหน้าของเหล่าลูกเสือที่อยู่ในที่เกิดเหตุฉายแววเดือดดาลขึ้นมาวูบหนึ่ง กระทั่งพวกอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยที่เพิ่งจะมาถึงก็อดเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้ การกระทำของอีกฝ่ายเป็นการรังแกคนอื่นมากเกินไปแล้วจริงๆ

นับตั้งแต่ที่พวกเขาผ่านการต่อสู้ประจัญบาน เนื่องจากเหล่านักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือได้ต่อสู้ฟาดฟันหลั่งเลือดด้วยกัน ร่วมมือกันต่อต้านนักเรียนปีสิบ นักเรียนรุ่นพวกเขาจึงไม่เหมือนกับชั้นปีอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์เย็นชาแบ่งแยกระดับห้องอย่างชัดเจน ตรงกันข้ามพวกเขากลับมีความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับเพื่อนร่วมรบ ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นเพื่อนร่วมชั้นที่ต่อสู้ด้วยกันในยามนั้นถูกคนสบประมาทเช่นนี้ มันทำให้พวกเขารู้สึกคั่งแค้นใจร่วมกันขึ้นมา!

มีลูกเสือหลายคนลงมือช่วยเหลือทันที แต่กลับถูกลูกเรือหลายคนนั้นบีบให้กลับไป…

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวที่พร้อมจะลงมืออย่างชัดเจนของลูกเสือรอบๆ บริเวณทำให้เหล่าลูกเรือไม่กล้าบีบบังคับลูกเสือคนนั้นมากเกินไป ตอนนี้เองลูกเรือที่เป็นผู้นำก็แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเธอ เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพวกเรา! ส่วนหลายคนที่ลงมือเมื่อตะกี้นี้ ฉันจะคิดว่าพวกเธอแค่ใจร้อนและก็จะไม่เอาความ แต่ถ้าตอนนี้พวกเธอกล้าลงมือช่วยอีก ก็อย่าโทษที่พวกเราไม่เกรงใจล่ะ!”

หลังจากเสียงนี้ เหล่าลูกเรือที่เดิมทีชมเรื่องสนุกอยู่ห่างๆ ก็ทยอยกันเข้ามาใกล้ที่นี่ เดิมทีความสามารถของลูกเรือก็สูงกว่านักเรียนอยู่ช่วงหนึ่งแล้ว กอปรกับจำนวนของอีกฝ่ายเยอะมาก ลูกเสือไม่น้อยเริ่มลังเลใจขึ้นมา…

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกหลิงหลานอู่จย่งอยู่ด้านหลังพวกเขา และไม่ได้แสดงท่าทีว่าไม่สนใจเรื่องนี้ เหล่าลูกเสือจึงไม่คิดถอยหนีแยกย้ายไปเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจมสู่ความเงียบงัน เกิดเป็นการคุมเชิงกันอยู่รางๆ บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาในพริบตา

“ลูกพี่หลาน พวกเราทนคำพูดแบบนี้ไม่ไหวแล้วนะ!” ถึงแม้ว่าอู่จย่งไม่อยากก่อเรื่องใหญ่ แต่เขาก็ไม่อยากขี้ขลาดแบบนี้เช่นกัน

หลี่อิงเจี๋ยที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าตาม เห็นด้วยกับคำพูดของอู่จย่งมากๆ พวกเขาต่างเป็นลูกรักของพระเจ้าที่ทระนงตน พวกเขาไม่สามารถยอมรับการดูถูกอย่างบีบบังคับเช่นนี้ได้

เวลานี้เองมุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ดวงหน้าที่เดิมทีเคร่งขรึมเย็นชาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหินห่างไม่ได้ดูอ่อนลงเท่าไหร่จากรอยยิ้มบางๆ นี้ ตรงกันข้ามรอยยิ้มนี้กลับทำให้คนรอบข้างที่คุ้นเคยกับหลิงหลานรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาในใจมากยิ่งขึ้น พวกเขารู้สึกได้ชัดเจนว่าอุณหภูมิบนตัวหลิงหลานต่ำลงกว่าเมื่อสักครู่นี้หลายองศา

หลิงหลานพับข้อมือเสื้อของตัวเองขึ้นมาเบาๆ เอ่ยอย่างนิ่งเฉยว่า “สามปีก่อน พวกนายเล่นต่อสู้ประจัญบานเป็นเพื่อนฉัน ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกนายยังมีความกล้านั้นอยู่หรือเปล่า เล่นสนุกครั้งใหญ่เป็นเพื่อนฉันอีกรอบ?” เธอกล่าวเพียงเท่านี้ ขอบตาของเธอก็ยกขึ้นเล็กน้อย จ้องมองทั้งสองคนรอคอยคำตอบของพวกเขา

คำถามของหลิงหลานทำให้หัวใจของอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยสั่นสะท้าน อู่จย่งสงบสติอารมณ์ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “นายจะทำอะไร?”

หลิงหลานปรายตามองไปที่ฉีหลงแวบหนึ่ง พวกฉีหลงห้าคนก็แยกย้ายกันออกไปล้อมพวกเขาสามคนไว้กลายๆ ด้วยความที่รู้ใจกันมาก ส่วนหลิงหลานก็ไม่ลืมสั่งเสี่ยวซื่อให้รบกวนอุปกรณ์สอดแนมตรงนี้ สร้างภาพปลอมๆ เสมือนจริงของพวกเขาให้อีกฝ่าย

หลังจากที่เสี่ยวซื่อยืนยันว่าทุกอย่างโอเคแล้ว หลิงหลานใช้เสียงที่มีเพียงพวกเขาสามคนได้ยินกล่าวว่า “ควบคุมยานบินลำนี้โดยสมบูรณ์!”

อู่จย่งเงยหน้ามองหลิงหลานอย่างตะลึงงัน ต่อให้เป็นหลี่อิงเจี๋ยก็ตกตะลึงจากคำพูดของหลิงหลานจนตาค้างพูดอะไรไม่ออกเช่นเดียวกัน

“ว่าไง? ไม่กล้าเหรอ?” หลิงหลานกวาดตามองไป เห็นได้ชัดว่าตรงขอบตาของเธอแฝงไปด้วยความเยาะหยันเล็กน้อย

ถึงยังไงอู่จย่งก็เป็นเด็กจากตระกูลทหาร สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “มั่นใจหรือเปล่า? กัปตันคนนั้นดูเหมือนรับมือไม่ง่ายเลยนะ” ถึงแม้ว่าจำนวนลูกเรือจะมาก แต่นักเรียนของสถาบันพวกเขาก็ไม่น้อยเหมือนกัน จากชื่อเสียงของหลิงหลานรวมถึงความสามารถและตำแหน่งของพวกเขาสามารถนำนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือทั้งหมดมารวมกลุ่มกันต่อต้านได้

เรื่องเดียวที่ทำให้คนกังวลก็คือกัปตันคนนั้น อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือระดับพลังปราณแน่นอน ถึงขนาดที่ไม่แน่ว่าจะอยู่ระดับเขตแดนด้วย ถ้าหากหลิงหลานไม่ได้รับบาดเจ็บ พวกเขาหลายคนเข้าไปต่อสู้ด้วยกันอาจจะมีความหวังทำสำเร็จอยู่บ้าง

“อีกอย่าง ในยานบินต้องมีหน่วยหุ่นรบคุ้มกันยานแน่นอน ถ้าหุ่นรบเคลื่อนไหว พวกเราไม่มีโอกาสชนะเลยสักนิดนะ” ตอนนี้หลี่อิงเจี๋ยกลับมาใจเย็นแล้ว และเริ่มพูดถึงเครื่องมือกำลังรบในยานบิน

“หุ่นรบ? ขอแค่ล็อคห้องหุ่นรบเอาไว้ก็ได้แล้ว นอกเสียจากพวกเขาอยากทำลายยานบินให้ตายตกตามไปด้วย ไม่อย่างนั้นหุ่นรบก็เป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น…” มันไม่ใช่ความคับแค้นอย่างเอาเป็นเอาตาย อีกฝ่ายไม่มีทางให้หน่วยหุ่นรบเคลื่อนไหวแน่นอน

คำพูดของหลิงหลานเตือนสติอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ย พวกเขาเป็นนักเรียนใหม่ของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง เป็นทหารปกป้องประเทศในอนาคต คนในยานบินไม่มีทางและก็ไม่กล้าทำให้พวกเขาบาดเจ็บอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร

แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ได้ตัดไป นั่นก็คือยานบินลำนี้เป็นยานที่ฝ่ายศัตรูส่งมา แต่ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ละก็ ต่อให้พวกเขาไม่ขัดขืนก็ไม่มีบทสรุปที่ดีเหมือนกัน ไม่สู้พวกเขาต่อสู้ตั้งแต่ตอนนี้ บางทีอาจจะยังคว้าโอกาสรอดชีวิตสายหนึ่งเอาไว้ก็ได้

เวลานี้หัวใจของอู่จย่งเต้นกระหน่ำขึ้นมา ‘ถ้าหากพวกเขาสามารถควบคุมยานบินได้ทั้งลำขึ้นมาจริงๆ ละก็ นี่ย่อมเป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแน่นอน’ เขาเชื่อว่าพวกนักเรียนทหารก่อนหน้านี้ไม่กล้าทำอยู่แล้ว…ฝ่ามือของเขาเริ่มหลั่งเหงื่อออกมา อารมณ์ตื่นเต้นทำให้ใบหน้าเขาแดงระเรื่ออยู่บ้าง

หลี่อิงเจี๋ยก็คิดออกแล้วเช่นเดียวกัน เขาสบตากับอู่จย่งโดยที่แววตายากจะปกปิดความตื้นเต้นเอาไว้ หลังจากนั้นก็พยักหน้าหนักๆ ให้หลิงหลานพร้อมกัน บ่งบอกว่าพวกเขาจะทำเรื่องบ้าๆ กับหลิงหลานด้วย

เมื่อเห็นทั้งสองคนตกลง ในใจหลิงหลานก็โล่งอกเช่นกัน ถึงแม้เธอจะมั่นใจในตัวเอง แต่ถ้าไม่มีการร่วมมือกันอย่างเต็มกำลังจากอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยละก็ อยากจะก่อเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้านี้ให้สำเร็จย่อมยากขึ้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย

หลิงหลานส่งแผนที่ตำแหน่งลูกเรือที่เสี่ยวซื่อสร้างขึ้นให้กับอู่จย่งและหลี่อิงเจี๋ยทันที หลังจากนั้นก็พูดแผนการของเธอออกมาอย่างรวดเร็ว

อู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยฟังแล้วก็พยักหน้าถี่ๆ แววตาส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ปฏิบัติการที่เดิมทีมีความหวังริบหรี่เปลี่ยนเป็นมีความเป็นไปได้ภายใต้การวางแผนอย่างชาญฉลาดของหลิงหลาน

ดูเหมือนว่าการควบคุมยานบินทั้งลำที่หลิงหลานกล่าวจะไม่ได้เป็นปฏิบัติการที่หุนหัน ไม่ดูตาม้าตาเรือ หากแต่เป็นแผนการที่ผ่านการขบคิดมาอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางได้แผนที่ตำแหน่งลูกเรือโดยละเอียดนี้หรอก ดูเหมือนว่าในตอนที่พวกเขากล้ำกลืนฝืนทนอยู่นั้น หลิงหลานได้ทำการเตรียมพร้อมเพื่อปฏิบัติการของตัวเองแล้ว

ถึงแม้พวกเขาไม่รู้ว่าหลิงหลานทำแผนที่ตำแหน่งลูกเรือแต่ละคนบนยานบินได้ยังไง แต่พวกเขาเชื่อว่านี่น่าจะเป็นของจริง เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้พวกเขาเหลือบมองไปยังพื้นที่ใกล้ๆ ก็พบว่าตำแหน่งที่ลูกเรือเหล่านั้นยืนอยู่แทบจะไม่คลาดเคลื่อนจากที่ระบุไว้บนแผนที่เลย…

ความชื่นชมของอู่จย่งที่มีต่อหลิงหลานเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าในปากขมฝาดผิดปกติ เพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงช่องว่างความแตกต่างระหว่างเขากับหลิงหลานอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน หรือว่าสภาพจิตใจ เขาอ่อนด้อยกว่าหลิงหลานมากนัก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พอใจท่าทีของกัปตันในตอนแรกและการยั่วโมโหต่างๆ นานาของลูกเรือเช่นเดียวกัน แต่เขากลับอดทนมาตลอด คิดแค่ว่าให้ผ่านสองวันหนึ่งคืนนี้ไปอย่างสงบสุขเท่านั้น

ต่อให้เห็นนักเรียนจากสถาบันเดียวกันถูกรังแกเหยียดหยามอย่างไร้ความผิด ถึงแม้เขาจะรู้สึกเคียดแค้นคิดว่าไม่เป็นธรรม แต่เขาก็คิดแค่ว่าจะช่วยหมอนั่นผ่านเหตุการณ์เลวร้ายนี้ไปได้ยังไง เพื่อให้เรื่องราวสงบลง…ใช่แล้ว สิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวคือในขณะที่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้นของตัวเอง ก็พยายามอย่าไปล่วงเกินอีกฝ่าย เนื่องจากที่นี่เป็นอาณาเขตของพวกเขา…

แต่หลิงหลานไม่เหมือนกัน เขาทำการเตรียมตัวมาอย่างเต็มที่แบบนี้ก็บ่งบอกว่าหลิงหลานคิดจะควบคุมยานบินทั้งลำมาตั้งแต่แรกแล้ว เขาไม่เคยคิดกล้ำกลืนฝืนทนเลย บางทีความคิดของหลิงหลานอาจจะบ้าคลั่งมาก แต่แม่งกลับทำให้เขาตื่นเต้น หัวใจเต้นระรัวขึ้น นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่ชายชาตรีควรทำ…เขาสู้หลิงหลานไม่ได้จริงๆ!

อู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยพาทีมของตัวเองออกจากสถานที่แห่งนี้เพื่อไปปฏิบัติภารกิจของพวกเขา สีหน้าของพวกเขาสองคนยามที่จากไปดูน่าชมอย่างยิ่งยวด เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดขมฝาดของอู่จย่งแล้ว สีหน้าของหลี่อิงเจี๋ยดูซับซ้อนมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย มีทั้งความอิจฉา ความริษยา ความแค้นต่างๆ นานา ทว่าสุดท้ายกลับทำได้เพียงเปลี่ยนเป็นการถอนหายใจด้วยความจนปัญญา จากไปด้วยความหดหู่…

เมื่อพบว่าคนที่ต้องการจะเหนือกว่ากลับแข็งแกร่งในทุกๆ ด้านไม่มีช่องว่างให้โจมตี ต่อให้หลี่อิงเจี๋ยจะทระนงตนไม่ยอมรับอีกสักแค่ไหนก็ได้แต่วางความคิดเรื่องอยากแข่งขันลง เขารู้ว่าชาตินี้เขาไม่สามารถต่อสู้ให้อยู่เหนือกว่าหลิงหลานได้เนื่องจากเขาปลุกความกล้าที่จะต่อกรกับหลิงหลานไม่ขึ้นแล้ว เมื่อเขาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย หัวใจก็จะเปลี่ยนเป็นอ่อนแอเปราะบางอย่างหาใดเปรียบ

……………………….