บทที่ 150 เปลี่ยนแปลง

Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]

“เดี๋ยวก่อน”

เซียวเฟิงปรามหลิวเฉียงเหว่ยไว้ก่อน และจ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจ

“ทะ…ทำไมอีก?”

ร่างของหลิวเฉียงเหว่ยแข็งเกร็งไปทั้งตัว เธอมองไปยังเซียวเฟิงด้วยความอัปยศในขณะที่มุมปากก็ยังกัดเอาเศษแพ็คถุงยางเอาไว้ ใบหน้าที่งดงามประดุจเทพธิดานั้นแดงระเรื่อ และภายใต้แก้มที่นวลแดงนั้น มันก็ซ่อนเอาความโกรธและความละอายใจเอาไว้

“ฉันคิดว่าเธอกำลังป่วย เพราะผู้หญิงอย่างเธอน่ะ ไม่น่าเอาครั้งแรกมาเดิมพันกับอะไรแบบนี้หรอก” แววตาของเขายังคงมองเธอด้วยความสงสัย

หลิวเฉียงเหว่ยน่ะทั้งบริสุทธิ์และงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เซียวเฟิงก็ไม่สามารถเชื่อได้ลงว่าเธอจะกล้าทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้!

ไหนจะการที่เรือนร่างอันงดงามกำลังแอบสั่นเทานั้น ผนวกคู่กับดวงตาที่ลดต่ำลงอย่างไม่กล้าสู้มอง หญิงสาวไม่ตอบอะไรเลยจนเซียวเฟิงต้องพูดต่อ

“เธอกำลังมีอาการของสต็อกโฮล์มซินโดรมสินะ? ที่เธอยอมเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมาก็เพราะว่ากลัวว่าฉันจะฆ่าเธอใช่หรือเปล่า?”

คำถามถูกยิงออกไปด้วยความสงสัย สต็อกโฮล์มซินโดรมที่ว่า ต่างรู้จักกันดีในชื่อของสภาวะความหวาดกลัวในฐานะตัวประกัน มันเป็นอาการทางจิตที่จะรุนแรงมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่ได้รับ บางครั้งด้วยความรุนแรงดังกล่าว มันอาจจะทำให้เหยื่อถึงกับหลงรักคนที่ลงมือกับเขาหรือเธอได้เลย

ก่อนหน้านี้หลิวเฉียงเหว่ยเกือบจะโดนชายหนุ่มฆ่าแล้ว เขาทั้งบีบคอและขู่จะโยนเธอลงไปจากตึกที่สูงกว่า 20 ชั้น ภาพในหัวของที่เธอเห็นตอนนั้นคือร่างของตนเองที่ลงไปแหลกสลายอยู่เบื้องล่างหากอีกฝ่ายลงมือจริง ๆ

แต่ถึงแม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ความกลัวและความเครียดก็สลักเรื่องราวนั้นให้จารึกลงไปในจิตใจ เซียวเฟิงในหัวของเธอเปลี่ยนจากผู้ร้ายกลายเป็นผู้ช่วยชีวิตและกลายเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้เธอยังรอดมาได้

ทั้งหมดนี่มันจึงสนับสนุนแนวคิดที่ทำให้เซียวเฟิงถึงคิดว่าหลิวเฉียงเหว่ยน่าจะป่วยเป็นสต็อกโฮล์มซินโดรม

“ไม่ นายกำลังคิดมากเกินไป ฉันก็แค่เดิมพันชีวิตของฉันกับมันเท่านั้น” หลิวเฉียงเหว่ยพูดขณะก้มลงมองถุงยางที่ถูกแกะแล้วในมือของเธอ ใบหน้าสวยยังคงแดงเป็นลูกเชอร์รี่อยู่ขณะที่มือก็ยังคงสั่นเทาไปด้วยความตื่นตระหนก

“เธอตั้งใจจะยอมสละเวอร์จิ้นจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย?” เซียวเฟิงถามอีกครั้งเพราะเขายังคงมองว่าเธอป่วยอยู่

“อีก 2 เดือนฉันก็จะอายุ 22 แล้ว ยังไงซะชีวิตของฉันก็คงจะต้องพบจุดจบอยู่ดีเมื่อเวลานั้นมาถึง หรือจะให้พูดง่าย ๆ ฉันมีชีวิตอยู่อีกแค่ 2 เดือน ทั้งร่างกายแล้วก็เวอร์จิ้นนั่นไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับความจริงนี้” หลิวเฉียงเหว่ยยิ้มอย่างอเนจอนาถใจก่อนจะพูดต่อ “เพราะอย่างนั้น ฉันจึงเต็มใจจะยกร่างกายของฉันให้นาย หากว่านายจะช่วยฉันเปลี่ยนโชคชะตานี้ได้”

เซียวเฟิงพูดอะไรไม่ออกหลังจากที่ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ เขารู้เรื่องโชคชะตาของเธอมาจากซือเยี่ยจิ๋ง ดังนั้นชายหนุ่มจึงรู้เรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังต้องขอชื่นชมความแน่วแน่และความเยือกเย็นของเธอจากใจจริงอยู่ลึก ๆ

เธอคนนี้ยอมทุ่มเงินกว่าพันล้านหยวนเพื่อซื้อเครื่องหมายกิลด์อันเป็นสิ่งที่แสดงถึงความหนักแน่นและกล้าหาญของเธอเอง มิดซัมเมอร์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอนั้น ยิ่งใหญ่เสียจนผู้เล่นเกือบทุกคนในเขตฮัวเซียต้องได้ยินชื่อกิลด์นี้ผ่านหูกันมาบ้าง ผิดกับกิลด์ใหญ่ ๆ กิลด์อื่นที่แม้จะดูยิ่งใหญ่ในเมืองใหญ่ ๆ แต่ในเมืองที่ห่างไกล พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับกิลด์ทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรขนาดนั้น

เขาอยากจะพูดอะไรซักอย่างกับเธอ แต่ตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของตนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน มันเป็นสายเรียกเข้าจากคุณครูประจำชั้นของเซียวหลิง เซียวเฟิงขมวดคิ้วช้า ๆ เขาเหลือบไปมองหลิวเฉียงเหว่ยก่อนจะรับโทรศัพท์ไป

“ว่ายังไงนะครับ?”

ทว่าเมื่อรับสายไปแล้ว สีหน้าของเซียวเฟิงก็ดูจะเครียดขึ้นในทันที ความรู้สึกต่าง ๆ ถูกโยนทิ้งออกไปจากใบหน้านั้นและทดแทนด้วยความเยือกเย็น

ซึ่งหลิวเฉียงเหว่ยก็รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่เยือกเย็นนั้นเช่นกัน อย่างกับว่ามีคนมาเร่งแอร์เสียอย่างนั้นแหละ…

ใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอถูกความเย็นนั้นกัดกินขณะจ้องมองไปยังเซียวเฟิงด้วยความประหลาดใจ

“เซียวหลิงกำลังทะเลาะกับเด็กนักเรียนคนอื่นอยู่ในโรงเรียน คุณเป็นผู้ปกครองของเธอหรือเปล่าคะ? ถ้ายังไงช่วยรีบมาที่โรงเรียนตอนนี้เลยด้วยนะคะ!”

เพราะบรรยากาศโดยรอบนั้นเงียบสงบเมื่อปราศจากเสียงของเขาและเธอ มันเงียบเสียจนเธอได้ยินเสียงหายใจด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้ยินบทสนทนาของเซียวเฟิงและผู้ที่อยู่ปลายสายด้วยเช่นกัน

เซียวเฟิงวางโทรศัพท์ด้วยความเงียบสงบและเย็นชา เพียงชั่วพริบตา ร่างของเขาก็หายออกไปเลย

หลิวเฉียงเหว่ยไม่รู้เลยว่าเขาออกไปตอนไหนเพราะถูกบรรยากาศอันน่าสยดสยองกดดันอยู่ตลอด กว่าจะรู้ตัวอีกทีและพบว่าร่างของชายหนุ่มตรงหน้าหายไปก็คือตอนที่บรรยากาศแปลก ๆ สลายไปหมดแล้ว

“ดูเหมือนว่าฉันจะดูถูกนายเกินไปสินะ? ถ้ายังไงก็ขอให้นายเป็นคนที่ใช่ด้วยเถอะ…”

หญิงสาวยกมือขึ้นลูบอกตนเองเพื่อทำใจให้สงบลง ก่อนมองไปยังจุดที่เซียวเฟิงเคยอยู่แล้วพูดด้วยเสียงเบา

โรงเรียนเอกชนเฉิงไห่หลานเหนียว ถือเป็นโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่เซียวหลิงเรียนอยู่ ที่นี่ถูกกล่าวขานว่าต้องเป็นลูกคนรวยหรือไม่ก็ผู้มีอิทธิพลเท่านั้นถึงจะเข้าเรียนได้ ดังนั้นแล้วการที่มีศักดิ์เป็นถึงลูกสาวของประธานบริษัทมิดซัมเมอร์กรุ๊ป เซียวหลิงจึงถูกส่งเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นดีเช่นนี้ เพราะงั้นถึงแม้พ่อของเธอจะฆ่าตัวตายไปแล้ว เซียวเฟิงที่รับหน้าที่ดูแลเธอต่อโดยไม่ได้ให้เธอย้ายไปเรียนที่อื่น

แม่เลี้ยงของเซียวหลิงพยายามทำให้เด็กคนนี้หายไปจากสารบบของตระกูลเพื่อไม่ให้เธอได้กลับมารับตำแหน่งประธานหรือเป็นมารผจญในชีวิตได้อีก เซียวเฟิงจึงพาตัวเซียวหลิงออกมาก่อนโดยที่ไม่ได้ขอเงินติดตัวมาด้วยแม้แต่แดงเดียว ด้วยเหตุนี้ค่าเล่าเรียนต่าง ๆ ของเซียวหลิง มันจึงมาจากการทำงานอย่างหนักของเซียวเฟิงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ที่แผนกชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเอกชนเฉิงไห่หลานเหนียว ที่นั่น มีคุณครูผู้หญิงสวมแว่นตากำลังยืนคุยกับเด็กผู้ชายอายุราว ๆ 12-13 ปีอยู่ เซียวเฟิงที่เพิ่งมาถึงสามารถสังเกตเห็นเธอได้ชัดเจนด้วยริมฝีปากบางและตาเรียวแคบอันเป็นเอกลักษณ์

“ตงสวี่เหวิน เธอทำร้ายเพื่อนผู้หญิงแบบนั้นได้ยังไง? ห้ามใช้กำลังกับเด็กผู้หญิงต่อให้จะกำลังทะเลาะกันอยู่ก็ตาม เข้าใจไหม? มันไม่ถูกต้อง”

เด็กผู้ชายที่ถูกเรียกว่าตงสวี่เหวินสวมใส่ชุดสูทที่แพงหรูหรา เขายืนฟังสิ่งที่ผู้เป็นครูพูดขณะที่มือก็ล้วงกระเป๋าไปด้วย เด็กน้อยยืนกระดิกขาและกรอกตามองไปยังเพดานห้องไปเรื่อยด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม

“เซียวหลิง เธอเองก็ผิดเหมือนกัน ตงเสวี่ยเหวินก็แค่พูดถึงพ่อของเธอทำไมเธอต้องโกรธเขาขนาดนั้นด้วย? อย่าลืมสิว่าพ่อของเธอน่ะตายแล้วนะ ทำไมเธอถึงยังเอาเรื่องนี้มาทำให้ตัวเองโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วทะเลากับเพื่อนร่วมชั้นแบบนี้อีก?”

คุณครูสาวผู้นั้นหันไปจ้องมองเซียวหลิงผู้ที่กำลังฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะด้วยสายตาที่ติเตียนต่างกับตอนมองเด็กผู้ชายที่เป็นคู่กรณี

ตึง!

ทันใดนั้นเอง ประตูห้องเรียนก็ถูกถีบจนเปิดออก เสียงที่ดังโครมครามนั่นกระตุ้นความกลัวของทุกคนในห้องให้หันไปมองยังทิศทางที่เกิดเสียง พวกเขามองไปยังประตูเหล็กที่เปิดอ้าออกมาดี ๆ ถึงได้พบว่าประตูบานนั้นไม่ได้ถูกถีบจนเปิดออก หากแต่ถูกถีบจนแตกออกเลยต่างหาก!

เซียวเฟิงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ยิ่งเขาได้เห็นเซียวหลิงฟุบหน้าอยู่ที่โต๊ะโดยที่ผมสีบลอนด์สวยของเธอถูกกระชากจนยุ่งเหยิงและโบว์ก็ถูกฉีกขาด ใบหน้าที่บึ้งตึงนั้นก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคับข้องใจมากขึ้นไปอีก เขามองไปยังคุณครูสาวด้วยความเยือกเย็น

“คะ…คุณเป็นใคร? กล้าดียังไงถึงมาถีบประตูแบบนี้?”

ริมฝีปากบางของเธอสั่นเทา แสดงให้เห็นชัดว่าเธอเองก็กำลังหวาดกลัวกับคนที่สามารถถีบประตูเหล็กจนพังได้อยู่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้น เมื่อพอจะได้สติกลับมาบ้าง เธอก็ตำหนิเซียวเฟิงทันทีเมื่อเห็นว่าเขาเดินเข้ามาใกล้

“ฉันเป็นผู้ปกครองของเซียวหลิง” เซียวเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“เป็นผู้ปกครองของเธอเหรอ? เป็นคนหยาบกระด้างจริง ๆ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเซียวหลิงถึงขาดเรียนบ่อยรวมถึงมีนิสัยก้าวร้าวทะเลาะกับเพื่อนคนอื่นไปทั่ว! ดี มาก็ดีแล้ว เพราะงั้นช่วยพาลูกหลานของคุณกลับไปด้วยเลยค่ะ! พวกเราน่ะไม่เก่งพอที่จะสอนเธอคนนี้หรอก!”

เธอผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามและไม่พอใจแบบสุด ๆ

“ใครที่มีเรื่องกับเซียวหลิง?” เซียวเฟิงไม่สนใจ เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะที่สายตานั้นไปหยุดอยู่ที่ตงเสวี่ยเหวินราวกับรู้อยู่แล้วว่าใคร

“ฉันเอง! จะทำไม?”

ตงเสวี่ยเหวินไม่หลบหนี เขายอมรับมันแต่โดยดี ซึ่งเซียวเฟิงก็ไม่ได้แปลกใจนัก เด็กคนนี้เพิ่งจะอายุ 12 ไม่ก็ 13 ปีเท่านั้น แต่ด้วยความหยิ่งผยองนั้นมันทำให้เขากล้ามองเซียวเฟิงด้วยสีหน้าหยามเหยียด

“อั่ก!?”

“กรี๊ด!!”

เสียงกรีดร้องของคุณครูสาวดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของนักเรียนคนอื่น ๆ ภายในห้องนั้น ร่างของตงเสวี่ยเหวินถูกเซียวเฟิงยกลอยขึ้นสูงจากการบีบคอด้วยมือเดียวโดยที่ใบหน้าของเซียวเฟิงเองก็ยังคงเย็นชาและไร้ซึ่งความรู้สึกผิดเช่นเดิม

การเคลื่อนไหวของเซียวเฟิงนั้นรวดเร็วมากจนไม่มีใครมองทัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เห็นร่างของเด็กชายถูกเขาบีบคอยกขึ้นสูงเหมือนลูกไก่ในกำมือเสียแล้ว ใบหน้าของเด็กน้อยผู้ไม่ทันตั้งตัวแดงไปหมดเพราะขาดอากาศหายใจ มือที่เล็กกว่ามือของเซียวเฟิงเกือบครึ่งนั้นพยายามแกะนิ้วที่บีบคอตนอยู่ควบคู่ไปกับการใช้ขาที่ลอยอยู่เหนือพื้นเตะเซียวเฟิงไปด้วย

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! วางเขาลง! ห้ามใช้กำลังกับเด็ก ๆ นะ!!”

คุณครูสาววิ่งเข้ามาพยายามหยุดเซียวเฟิงไว้พร้อมกับกรีดร้องไปด้วย

ในที่สุด เซียวหลิงก็ลุกขึ้นแล้วรีบเดินไปหาเซียวเฟิงอย่างรวดเร็ว เธอกอดแขนของเขาไว้แน่น

“พี่ชาย…กลับบ้านกันเถอะ…ปล่อยเขาไป…”

เด็กสาวพูดโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา อันที่จริงเธอไม่กล้าจะเงยหน้าไปมองเสียมากกว่า เซียวหลิงพยายามปัดผมบลอนด์ที่ยุ่งเหยิงนั้นให้ลงมาปิดบังใบหน้าส่วนหนึ่งไว้ด้วยความจงใจ แต่รอยช้ำบนใบหน้าก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของเซียวเฟิงไปได้

โครม!

แววตาของเซียวเฟิงเรืองแสงขึ้นมาด้วยความเหี้ยมโหด เขาโยนร่างของเด็กหนุ่มในมือเข้าปะทะกับกระจกหน้าต่างจนมันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่างของตงเสวี่ยเหวินลงไปนอนแน่นิ่งที่พื้นด้านนอกราวกับถุงขยะ ไม่มีใครรู้เลยว่าร่างนั้นยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่

“นายกล้าดียังไงมาทำร้ายตงเสวี่ยเหวินน่ะ! หาเรื่องตายแท้ ๆ เลย! รู้หรือเปล่าว่าพ่อของเขาเป็นใคร? พ่อของเด็กคนนี้น่ะ คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณภัยแห่งเมืองเฉิงไห่เลยนะ! พ่อของเซียวหลิงอย่างเซี่ยกวงเหว่ยน่ะก็ตายไปแล้ว เพราะงั้นพ่อของตงเสวี่ยเหวินได้ตามฆ่านายแน่!”

ใบหน้าของคุณครูสาวซีดเผือดราวกับไร้ซึ่งเลือดเนื้อไปแล้วขณะที่ชี้ไปยังเซียวเฟิงและเซียวหลิง

“นั่นเป็นเหตุผลให้เธอลำเอียงเหรอ? ถ้างั้นฉันก็คงจะมองข้ามเธอไม่ได้แล้ว เพราะเธอขาดคุณธรรมที่พึงมีเช่นกัน”

แม้ว่าเซียวหลิงจะพยายามรั้งตัวพี่ชายของเธอไว้เพียงใด แต่เซียวเฟิงก็ยังคงเดินเข้าไปหาคุณครูสาวอย่างเยือกเย็น

“นายจะทำ…”

ไม่ทันได้ถามจบประโยค ร่างของเธอก็ถูกยกลอยขึ้นสูงด้วยการบีบคอไปอีกคน แรงที่บีบลงไปที่ลำคอเพรียวบางนั้นมากพอที่จะทำให้เกิดเสียง ‘กร๊อบ’ ออกมา

เสียงนั้นชัดเจนมาก

เซียวเฟิงยังคงบีบคอเธออยู่เช่นนั้นจนกระทั่งดวงตาที่ไร้ซึ่งความหวังของสาวเจ้าจะหลับลง เขาถึงได้ปล่อยให้ร่างของเธอล้มลงไปบนพื้น

“กลับบ้านกันเถอะ”

ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นของคุณครูสาวถูกมองข้ามโดยไม่ใยดี เซียวเฟิงจูงมือเซียวหลิงไว้แล้วพูดกับเธอด้วยเสียงที่นุ่มนวล

จริง ๆ แล้วเซียวเฟิงไม่ได้ฆ่าทั้งสองคนนี้แต่อย่างใด แต่ถึงทั้งเด็กหนุ่มและคุณครูผู้นี้จะมีชีวิตรอด ทั้งสองก็ยังต้องอยู่ในโรงพยาบาลอยู่อีกเป็นเวลานาน เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการลงโทษในสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไปอย่างสาสมแล้ว

“อื้อ…”

เซียวหลิงจับมือของเซียวเฟิงกลับ เธอพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องนั้นไปกับเขา

ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงภายในห้องเริ่มพากันได้สติหลังจากที่เหตุการณ์มันเริ่มสงบลง พวกเขารีบโทรเรียกทั้งตำรวจและรถฉุกเฉินกันด้วยความตื่นตระหนก จะมีก็เพียงบางคนเท่านั้นที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีนอกเสียจากยืนมองร่างของเซียวเฟิงเดินจากไปด้วยความหวาดกลัว

ขณะที่เดินอยู่ข้างถนน เซียวเฟิงก็คอยสางผมให้เซียวหลิงด้วยมือไปด้วย และเมื่อกลับมาถึงห้อง เซียวหลิงก็รีบปลีกตัวไปอาบน้ำในทันที

หลิวเฉียงเหว่ยไม่อยู่แล้ว ซึ่งมันทำให้เซียวเฟิงค่อยสบายใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก เขาตรวจดูความเรียบร้อยภายในห้องให้ดีก่อนจะเดินเข้าครัวไปเงียบ ๆ

“พี่เซียว…”

ไม่นานนักหลังจากที่เธอหายไปอาบน้ำ เด็กสาวผมสีบลอนด์ทองก็เดินออกมาจากห้องอาบน้ำด้วยผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิง ผ้าขนหนูผืนพอดีตัวที่ห่อเล็กนั้นไว้เผยให้เห็นไหล่ที่ขาวนวลและดูนุ่มนิ่มของหญิงสาวควบคู่มากับเรือนร่างที่ผอมบาง นัยน์ตากลมโตสีฟ้าสว่างไสวจ้องมองไปยังเซียวเฟิงด้วยความเป็นห่วง

“มานี่เร็ว กินข้าวก่อน จากนั้นเราจะไปเก็บข้าวเก็บของแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นกัน”

ชายหนุ่มยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนแล้วเข้าไปช่วยเธอเช็ดทำความสะอาดผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนูอีกผืน

“โอเค!”

เซียวหลิงพยักหน้าแล้วรีบเข้าไปกินข้าวในทันทีเมื่อผมแห้งแล้ว ท่าทีรีบร้อนของเธอนั้นราวกับว่ากินเสร็จจะวิ่งหนีไปเลยเสียอย่างนั้น

ทันทีที่เด็กสาวกินข้าวเสร็จแล้ว เธอก็เดินตรงไปยังห้องของตนเองแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะเก็บเสื้อผ้าบางส่วนลงไปในกระเป๋า ครั้งนี้ เซียวหลิงไม่ได้สนใจเสื้อกระโปรงตัวสวยที่เธอรักนักรักหนาเลย เจ้าตัวเล็กเดินออกมาอีกครั้งพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ

เธอคิดว่าเซียวเฟิงน่ะ ต้องกำลังอยากจะลี้ภัยเพราะเรื่องในวันนี้แน่ ๆ