ตอนที่ 199 ยามราตรี

ปฏิญญาค่าแค้น

พวกนางฮานทั้งสามคนถูกจับมัดมือมัดเท้าและปิดตา นอกจากนี้ยังมีผ้าหนึ่งก้อนยัดไว้ในปากแล้วถูกจับโยนเข้าไปในรถม้าอีกคัน

ยามที่นางลงจากรถเมื่อครู่นี้ จึงพบว่าพวกนางถูกจี้บนถนนเส้นทางเปลี่ยวเส้นหนึ่ง คนเลวพวกนี้พบนางโดยบังเอิญ หรือว่าเป็นการจงใจมุ่งมาที่นางโดยเฉพาะ ว่ากันตามเหตุและผล แม้แต่ตัวนางเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองจะต้องออกจากบ้านในค่ำคืนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่รู้ว่าตนเองจะวิ่งผ่านถนนสายนี้ ทว่าคนชั่วเหล่านี้หากมิใช่เพื่อจี้ปล้นทรัพย์สินเงินทอง แล้วเหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่ค้นตัวนางหรือให้นางนำสิ่งมีค่าที่พกติดตัวไว้ออกมา…นางอดรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้านไม่ได้ หรือว่าคนชั่วพวกนี้จับตามองนางอยู่แต่แรกแล้ว จนกระทั่งยามที่ออกจากจวนหลี่มาจึงสะกดรอยตามก่อนจะลงมือบริเวณนี้เช่นนั้นหรือ

นางฮานรู้สึกได้ว่าเรือนร่างของหมิงจูที่เอนเข้ามาสั่นระริกด้วยความกลัว นางฮานใช้ศีรษะแนบเข้าหาใบหน้าของหมิงจูด้วยอยากปลอบประโลมนาง อยากบอกให้นางอย่าได้หวาดกลัวไป ทว่าปากถูกเศษผ้านั่นอุดไว้อยู่จึงทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ออกไป

ทันใดนั้นเสียงตะคอกก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก “เชื่อฟังเข้าไว้ มิเช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปพบยมบาล”

นางฮานไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมาอีก นางเอนกายเข้าหาหมิงจู หวังว่าจะปลอบขวัญหมิงจูได้สักเล็กน้อย และเป็นการปลอบขวัญตนเองด้วยเช่นกัน

รถม้าโคลงเคลงขึ้นมากะทันหัน จากความรู้สึก ยามนี้คงพ้นตัวเมืองแล้วเป็นแน่ เพราะเส้นทางภายในเมืองไม่ขรุขระเพียงนี้ นางฮานเกิดความหวาดกลัวยิ่งขึ้น จนกระทั่งยามราตรีอันแสนดึกดื่น ประตูเมืองสี่ทิศล้วนปิดสนิท ไม่อนุญาตให้เข้าออกได้ตามอำเภอใจ ทว่ารถม้ากลับไม่พบอุปสรรดใดๆ ในการออกจากตัวเมืองหลวง เห็นได้ชัดว่าคนชั่วกลุ่มนี้มีหัวนอนปลายเท้าที่ไม่ธรรมดาทีเดียว

ไม่รู้เช่นกันว่าเวลาล่วงเลยไปเนินนานเพียงใด ในที่สุดรถม้าถึงเป็นอันหยุดนิ่งลง นางฮานพร้อมคนอื่นๆ ต่างถูกคนปลดเชือกที่พันธนาการไว้ พวกนางโดนกระชากลงจากรถม้าแล้วผลักเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง

นางได้ยินเพียงเสียงคนสนทนากัน “จับตาดูไว้ให้ดีๆ อย่าให้นางหนีไปได้”

“หัวหน้า ท่านวางใจได้ขอรับ หนีไปไหนมิได้อยู่แล้วขอรับ…”

สิบห้านาทีต่อมา นางฮานรู้สึกถึงสิ่งที่พันธนาการอยู่ที่มือคลายออก นางจึงเริ่มสะบัดเชือกนั่นออกทันทีแล้วดึงผ้าสีดำที่ปิดตารวมไปถึงเศษผ้าที่อุดปากอยู่ออก ภายในห้องปรากฏเพียงแสงมืดสลัวรำไร ผนวกกับดวงตาของนางหลังถูกผู้เป็นสามีตบตี จึงบวมเป่งขึ้นเรื่อยๆ หลังนางหรี่ตามองอยู่สักพักถึงมองเห็นผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าได้ชัดเจน

ชายฉกรรจ์รูปร่างผอมสูงสวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อกำลังยืนกอดอกมองนางลงมาจากด้านบน มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยภายใต้สีหน้าหยามเหยียด

นางฮานกวาดสายตามองโดยรอบ พบว่าภายในบ้านหลังนี้มีเพียงความวางเปล่า ไม่มีเครื่องเรือนหรือสิ่งของใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่มีให้เห็นคือตะเกียงน้ำมันซึ่งทำหน้าที่ให้แสงสว่างรำไร

“นี่…นี่มันที่ไหนกัน พวกเจ้าเป็นใคร จับตัวข้ามาทำไม” นางฮานเอ่ยถามด้วยความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอก

ชายฉกรรจ์จ้องมองนางอย่างไม่แยแส

“ข้าเป็นภรรยาของราชเลขากรมคลัง พวกเจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นหากสามีข้ารับรู้เข้า จะต้องจับพวกเจ้าไปตัดหัวอย่างแน่นอน” นางฮานวางอำนาจข่มขู่

ชายฉกรรจ์แสร้งทำท่าทางหวาดกลัวอย่างยิ่งแล้วย่อตัวคุกเข่าลง “ราชเลขากรมคลังเช่นนั้นหรือ ข้ากลัวเสียเหลือเกิน!” ทันใดนั้น เขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นดูหมิ่นแล้วตบใบหน้าชราของนางฮานซึ่งดูไม่ต่างจากหัวหมูบวมเป่งอย่างแรง “ข้าขอแนะนำให้เจ้าตาสว่างได้แล้ว ช่วยสงบปากสงบคำไว้ หากทำให้ข้ารำคาญใจละก็ เจ้าได้เจ็บตัวแน่” คนผู้นั้นลุกขึ้นทันทีที่เอ่ยจบประโยค ตามมาด้วยเสียงปิดประตูดัง ‘ปัง’

ขณะนี้เองนางฮานถึงนึกขึ้นมาได้ว่าหมิงจูและแม่เจียงหายไป นางตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วพุ่งตัวไปยังบานประตูก่อนส่งเสียงตะโกน “ลูกสาวข้าล่ะ พวกเจ้าจับตัวหมิงจูไปไว้ที่ไหน”

มีคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นจากด้านนอกประตู “เจ้ามิต้องเป็นห่วงลูกสาวเจ้าไปหรอก พี่ๆ น้องๆ ของพวกเราจะช่วยปรนนิบัตินางอย่างดี รับประกันว่าจะปรนนิบัตินางให้มีความสุขสุดๆ ไปเลย…”

นางฮานตระหนกตกใจอย่างยิ่ง นางออกแรงทุบประตูแล้วตะโกนสุดเสียงทั้งน้ำตา “พวกเจ้ามันไอ้กลุ่มสัตว์เดรัจฉาน อย่าริอ่านแตะต้องหมิงจูของข้านะ มิเช่นนั้น ข้าฮานชิวเยว่ผู้นี้ต่อให้เป็นวิญญาณไปแล้วก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้เช่นกัน…”

“ขืนยังแหกปากอีก ข้าจะปล่อยหมาตัวผู้สักสามสี่ตัวมาปรนนิบัติเจ้าเสียเลย” คนที่อยู่ด้านนอกบานประตูกล่าวข่มขู่

นางฮานตื่นกลัวจึงไม่กล้าส่งเสียงโวยวายอีก ทันทีที่คิดว่าหมิงจูจะถูกคนเลวทรามพวกนี้ย่ำยี ภายในใจของนางรู้สึกเจ็บปวดจนอยากเอาหัวโขกกำแพงให้ตายๆ ไปเสียสิ้นเรื่อง

นางฮานทรุดตัวลงกองบนพื้นและแผดเสียงดังลั่นทั้งน้ำตา “นี่ข้าไปทำเวรทำกรรมอันใดไว้ ห๊า”

ภายในโถงหนิงเฮ๋อ หลินหลันเอนหลังพิงอยู่บนเก้าอี้ด้วยความอ่อนเพลีย หยินหลิวจึงกล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใย “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านไปพักผ่อนสักประเดี๋ยวเถอะเจ้าค่ะ! ข้าน้อยจะคอยเฝ้าดูอยู่ที่นี่ หากมีเรื่องอันใด ข้าน้อยค่อยไปเรียกท่านก็ได้นะเจ้าคะ”

หลินหลันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ หญิงชราล้มป่วยเช่นนี้ นางในฐานะหลานสะใภ้ ทั้งยังเป็นหมอ จะให้ปลีกตัวไปได้อย่างไรกัน แต่นั่นไม่ใช่เพราะนางต้องการทำตัวเป็นผู้กตัญญู แต่เป็นเพื่อชื่อเสียงของตนเอง ก่อนหน้านี้กลับมองข้ามประเด็นนี้ไป มัวแต่มองดูละครด้วยความสะใจ กลายเป็นว่าภาระงานที่ต้องตามเก็บกวาดภายหลังกลับไม่ง่ายดายเสียเลย!

“เอ้อร์เส้าเหยียล่ะ” หลินหลันเอ่ยถาม

หยินหลิ่วเผยสีหน้าลังเลใจเล็กน้อย อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล่าเอ่ยออกมา

“พูดมาออกเถอะ!” หลินหลันเร่งเร้า

หยินหลิ่วกล่าวตะกุกตะกัก “เอ้อร์เส้าเหยีย กำลังดื่มสุราตามลำพังอยู่ภายในห้องเจ้าค่ะ สีหน้าไม่สู้ดีจนชวนให้รู้สึกหวาดกลัวด้วยซ้ำ เลยไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปเกลี้ยกล่อมเจ้าค่ะ”

หลินหลันนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนถอนหายใจออกมาอย่างเงียบๆ “ให้เขาดื่มไปเถอะ! บอกให้อวี้หลงและหรูอี้คอยปรนนิบัติให้ดีๆ ก็พอ”

หมิงอวินรอคอยมาเนิ่นนานหลายปีเพียงนี้ ในที่สุดวันนี้ก็ได้เห็นคนเลวทรามต่ำช้ารับบทลงโทษ ได้รับสิ่งตอบแทนที่ควรได้รับ จึงควรดื่มฉลองสักหน่อย ทว่านางรู้ดีว่าหมิงอวินดื่มสุรานี้ไม่ใช่เพราะความสุขใจ แต่เป็นเพราะรู้สึกแย่ รู้สึกแย่มาก น่าเสียดายที่ตอนนี้นางไม่อาจปลีกตัวไปดื่มสุราเป็นเพื่อนเขาได้

ไม่ง่ายเลยกว่าหลี่หมิงเจ๋อจะเกลี้ยกล่อมบิดาให้กลับไปพักผ่อนได้ หลังจากนั้นตนเองจึงเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ภายในห้องปีกตะวันตก แม้กายใจจะรู้สึกอ่อนล้ามากแล้วก็ตาม แต่กลับไม่รู้สึกง่วงนอนเลยสักนิด

ติงหลั้วเหยียนผลักประตูเปิดเข้ามา ในมือนางถือถาดเครื่องเคลือบลายใบบัวเอาไว้

หลี่หมิงเจ๋อได้ยินเสียงบานประตูเปิดออกจึงเงยหน้าขึ้นมอง ปรากฏว่าเป็นหลั้วเหยียน “เหตุใดเจ้าถึงยังไม่ไปพักผ่อนอีก” เขากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

ติงหลั้วเหยียนวางถาดลงแล้วยกถ้วยโจ๊กรังนกให้หมิงเจ๋อแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กินอะไรหน่อยเถอะ! อาการป่วยของท่านย่ามิใช่จะดีขึ้นได้ในวันสองวัน อย่าปล่อยให้ตนเองเหนื่อยล้าเลย เดี๋ยวจะเสียสุขภาพตามไปด้วยเปล่าๆ”

หลี่หมิงเจ๋อได้ยินเสียงอ่อนโยนอันแสดงถึงความห่วงใยของนาง ภายในดวงตาจึงคล้ายกับปรากฏหมอกบางเคลือบขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เขาเอื้อมมือไปรับถ้วยโจ๊กรักนกแล้ววางมันไว้ด้านข้าง คว้ามือหลั้วเหยียนมากอบกุมไว้ เขาสะกดกลั้นความทุกข์ระทมก่อนเอ่ยออกไป “หลั้วเหยียน ขอโทษเจ้าด้วยที่ทำให้เจ้าต้องพบเห็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมากเพียงนี้”

ติงหลั้วเหยียนไร้คำพูดใดๆ เพราะมันเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากจริงๆ ทว่า สิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวข้องอย่างไรกับหมิงเจ๋อหรือ สิ่งที่นางสนใจมากที่สุดคือความทุกข์ของหมิงเจ๋อ ตนเองในฐานะบุตร ได้แต่มองดูบิดามารดาจงเกลียดจงชังกันและกัน ถึงขั้นจะเอาชีวิตกันให้ได้ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ แม้ว่าหมิงเจ๋อมีเรื่องแย่ๆ อยู่มาก เช่นเขาไม่มีความสุขุมอ่อนโยนอย่างหมิงอวิน ไม่มีความเก่งกาจล้ำเลิศอย่างหมิงอวิน ทว่าความทุกข์ใจของเขา ความจนปัญญาของเขา หยาดน้ำตาของเขา ส่งผลให้นางรู้สึกปวดใจไม่แพ้กัน นี่คงเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดใจของเขาอย่างแท้จริง

“หมิงเจ๋อ นี่มิใช่ความผิดของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดไปหรอก ทุกคนกระทำความผิดอะไรไว้ต่างต้องได้รับโทษของมันทั้งนั้น” ติงหลั้วเหยียนเอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง

หมิงเจ๋อเผยสีหน้าเศร้าโศก “ข้ารู้ ทว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นท่านพ่อท่านแม่ของข้า เดิมทีข้าอยากไปพบน้องรอง ไปปลอบใจเขา ทว่า…ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดกับเขาอย่างไรดี ข้าไม่มีหน้าไปพบเขาจริงๆ”

หลั้วเหยียนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “น้องรองมิใช่คนประเภทไม่รู้จักแยกแยะ แต่อย่างไรก็รออีกสักพักเถอะ! ให้เขาสงบจิตสงบใจเสียก่อน ข้าให้หงซานไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของของท่านแม่และน้องหมิงจูแล้ว ทั้งยังเตรียมเครื่องประดับไว้ให้อีกเล็กน้อย สิ่งที่พวกเราทำได้ก็คงมีเพียงเท่านี้เช่นกัน” หลั้วเหยียนกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

หมิงเจ๋อพยักหน้าด้วยความทุกข์ใจ “ขอบคุณเจ้ามาก เจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ เจ้าเองก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย”

หลั้วเหยียนอมยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นไรหรอก เจ้าดื่มโจ๊กสักหน่อยแล้วนอนพักผ่อนเสีย ข้าจะนำอาหารอย่างเดียวกันนี้ไปส่งให้น้องสะใภ้และแม่จู้รับประทานกันหน่อย พวกนางเหน็ดเหนื่อยยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

แม่จู้มองดูนายหญิงชราที่กำลังหมดสติ อดยกมือขึ้นปาดน้ำตาไม่ได้ ตอนแรกพากันมาเมืองหลวงด้วยความดีอกดีใจ ยามนี้…เกรงว่าคงเป็นการยากที่จะได้กลับไปบ้านเกิดเสียแล้ว

“แม่จู้ พี่สะใภ้นำมื้อดึกมาส่งให้ ท่านไปกินสักหน่อยเถอะ” หลินหลันเข้ามาบอกกล่าวด้วยเสียงบางเบา

แม่จู้ปาดน้ำตาที่ไหลรินแล้วเอ่ยด้วยความเศร้าโศก “บ่าวกินไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ เห็นเหล่าไท่ไทเป็นเช่นนี้ บ่าว…”

หลินหลันแม้ไม่มีความประทับใจใดๆ ในตัวหญิงชรา ทว่าสำหรับแม่จู้นางกลับให้ความเคารพอยู่ไม่น้อย แม่จู้เป็นคนมีคุณธรรมอย่างยิ่ง ไม่เหมือนแม่เจียงบ่าวต่ำทรามผู้นั้นที่รู้จักแต่ยุยงส่งเสริม ช่วยผู้เป็นนายกระทำเรื่องเลวทรามอย่างลับๆ ขณะที่แม่จู้กลับช่วยนางหลุดพ้นสถานการณ์คับขันอยู่หลายต่อหลายครั้ง น้ำใจนี้ นางล้วนจดจำไว้ในใจไม่เคยลืมเลือน

“แม่จู้ ต่อให้ท่านรู้สึกแย่เพียงใดก็ต้องดูแลร่างกายของตนเองเอาไว้ด้วย ภายในบ้านนี้มีเพียงท่านที่เข้าใจเหล่าไท่ไทมากที่สุด และก็มีเพียงท่านเท่านั้นที่คอยปรนนิบัติได้อย่างละเอียดรอบคอบมากที่สุด หากเหล่าไท่ไทหายดีแล้ว ตัวท่านเองกลับล้มป่วยขึ้นมาแล้วผู้ใดจะมาช่วยปรนนิบัติเหล่าไท่ไทล่ะ” หลินหลันเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี

แม่จู้กล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย บ่าวรับรู้มาโดยตลอดว่าท่านเป็นผู้มีน้ำจิตน้ำใจงามและเป็นผู้มีจิตใจอันเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมผู้หนึ่ง…”

หลินหลันครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ประโยคดังกล่าวที่ท่านพูดมาถูกต้องเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ความมีน้ำใจงามของหลินหลันมีให้สำหรับคนดีเท่านั้น หากสำหรับคนจิตใจต่ำทราม นางไม่มีทางยอมใจอ่อนให้ความเมตตาอย่างแน่นอน ร้ายมาอย่างไรก็ได้กลับไปเช่นนั้น

“บ่าวกล้าสาบานต่อฟ้าดิน ตอนนั้นเหล่าไท่ไทไม่รู้เรื่องความจริงภายในนี้จริงๆ เจ้าค่ะ หากรู้แต่แรก ก็คงเฆี่ยนตีเหล่าเหยียจนตายไปแล้ว และคงไม่ให้เขาไปหลอกหลวงนางเยี่ยเด็ดขาด ที่เหล่าไท่ไทจงเกลียดจงชังตระกูลเยี่ยเพียงนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะได้ยินคำบอกเล่าจากเหล่าเหยีย จึงคิดว่านางเยี่ยใช้มารยาบีบบังคับให้เหล่าเหยียหย่าขาดกับภรรยาที่ถูกต้องแล้วไปแต่งงานกับนาง เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านช่วยไปอธิบายกับเอ้อร์เส้าเหยียทีนะเจ้าคะ เหล่าไท่ไทมิได้ตั้งใจจริงๆ เจ้าค่ะ…” แม่จู้กล่าวอ้อนวอน

หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “แม่จู้มิจำเป็นต้องเป็นกังวลเกินไปหรอก เอ้อร์เส้าเหยียเป็นคนมีเหตุมีผลผู้หนึ่ง”

ต่อให้เหล่าไท่ไทถูกหลอก แต่จะพูดว่านางไม่มีความผิดด้วยเลยก็คงไม่ใช่เช่นกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ นางก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย เรื่องก่อนหน้าให้มันแล้วไป เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง นางแสดงตนว่าเป็นผู้มีความยุติธรรมมาโดยตลอด ทว่าสิ่งที่นางกระทำคืออย่างไรหรือ มีส่วนใดบ้างหรือที่เรียกได้ว่าเป็นความยุติธรรม นางรู้ในสิ่งที่นางฮานกระทำ รู้ว่านางฮานบีบบังคับหมิงอวิน แล้วเหตุใดนางถึงไม่คัดค้าน ไม่คัดค้านแล้วยังเห็นดีเห็นงามไปด้วยอีก นางฮานถึงได้จองหองเพียงนี้ แม้ว่าการที่นางฮานด่าทอจะฟังดูรุนแรงไปหน่อย แต่คงต้องบอกว่า ที่นางฮานด่านั้นมีเหตุมีผลไม่น้อยทีเดียว ที่เลี้ยงปากท้องเป็นของตระกูลเยี่ย ที่สวมใส่เป็นของตระกูลเยี่ย ที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็เป็นของตระกูลเยี่ย แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรไปเหยียดหยามตระกูลเยี่ย ใครๆ ต่างเอ่ยว่าเมื่อเป็นหนี้บุญคุณต่อใครเขา ก็ควรรู้จักให้ความเกรงอกเกรงใจเขาบ้าง ทว่านางกลับเป็นผู้ที่ติดหนี้บุญคุณคนเขาแล้ว ยังดูหมิ่นหยามเหยียดคนเขาอีก นอกจากคำว่าไร้ยางอายก็คงไม่มีคำอื่นใดคู่ควรอีกแล้ว

หลังจากเกลี้ยกล่อมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผนวกกับแม่จู้ที่อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ท้ายที่สุดจึงไม่อาจฝืนทนต่อไปไหว นางจึงออกไปพักผ่อนอีกห้องด้านนอกตามคำเกลี้ยกล่อมของหลินหลัน

หลินหลันบอกให้หยินหลิ่วไปนอนพักเช่นกัน ทว่าหยินหลิ่วไม่ยินยอม หลินหลันจึงกล่าว “ค่ำคืนนี้เป็นช่วงที่เสี่ยงมากที่สุด ไม่ว่าอย่างไรข้าจำเป็นต้องคอยเฝ้าดูอาการด้วยตนเอง มิเช่นนั้นคงวางใจไม่ได้ ไว้รอเหล่าไท่ไทอาการดีขึ้นแล้วพวกเราค่อยสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันพักผ่อนอีกที”

หยินหลิ่วถึงได้ยอมไปงีบหลับบนเก้าอี้เอนกายตัวหนึ่ง

หลินหลันนั่งอยู่หน้าเตียงนอนอย่างเงียบๆ แสงเทียนบนโต๊ะให้แสงริบหรี่รำไร ช่างเสมือนกับชะตาชีวิตของหญิงชราผู้นี้ที่อ่อนแอจนอาจดับสูญไปได้ทุกเมื่อ

ตามจริงนางอยากรู้อย่างยิ่งว่าตอนนั้นหญิงชรารู้สึกเช่นไร เพราะโกรธเกรี้ยว? หรือเพราะเกิดความรู้สึกละอายแก่ใจ? น่าเสียดายที่นางคงไม่มีวันรับรู้ได้ เพราะนางรู้ดีว่าต่อให้หญิงชราฟื้นแล้วก็ไม่อาจกลับมาพูดคุยได้อีก

ทันใดนั้น เรือนร่างภายใต้แสงมืดสลัวเคลื่อนเข้ามาโอบกอดนางไว้ หลินหลันรู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้ใดกันที่มาเยือนแม้ไม่ได้หันหลังไปมอง เพราะนางได้กลิ่นสุราเตะจมูกเข้าอย่างจัง