ตอนที่ 180 ท่านเจวี้ยนหน้าเนื้อใจเสือ เจียงตงเย่อยากตายตอนนั้นเลย

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“ลู่จ้าวอิ่ง พวกนายสองคนเป็นอะไร”

 

 

เจียงตงเย่มาหาพ่อเฉิงและถือโอกาสให้สองคนนี้ปลอบใจตัวเอง ไม่คิดเลยว่า เฉิงเจวี้ยนไม่สนใจเขายังพอว่า เพราะปกติน้อยครั้งที่ท่านเจวี้ยนจะสนใจเขา

 

 

แต่เฉิงมู่มันอย่างไรกัน เมื่อวานตอนเช้าพวกเขายังเป็นพวกเดียวกันอยู่เลย

 

 

วันนี้เปลี่ยนไปเสียแล้ว

 

 

สุดท้ายเฉิงมู่ก็ได้สติ เขามองท่าทางเกาหัวอย่างสับสนของเจียงตงเย่ ก็รู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง

 

 

“ที่จริง…” เฉิงมู่กระแอมทีหนึ่ง เขาอยากเตือนเจียงตงเย่

 

 

เรื่องของกู้ซีฉือไปหาคนอื่นอาจจะไม่มีประโยชน์แล้ว ไม่ว่าจะไปหาผู้บัญชาการเฉียนหรือต้องการสืบข่าวของกู้ซีฉือ ต้องรีบกอดขาอ้อนวอนฉินหร่านต่างหากที่สำคัญที่สุด

 

 

“ที่จริงก็ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกว่าฉินหลิงดูหน้าคุ้นๆ” ลู่จ้าวอิ่งพูดแทรกเจียงตงเย่ จากนั้นลูบต่างหู กลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง และถามเจียงตงเย่อย่างจริงจังว่า “นายไม่คิดว่างั้นเหรอ”

 

 

“พอนายพูดแบบนี้ ก็เหมือนจะคิดนิดหน่อย” เจียงตงเย่พยักหน้า

 

 

แต่คุยเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีความหมาย ตอนนี้เจียงตงเย่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด

 

 

เขามาห้องพยาบาลก็เพื่อมาหาเฉิงเจวี้ยน ตอนนี้เฉิงเจวี้ยนไม่อยู่ เขาจึงไม่อยู่ต่อ

 

 

“ฉันต้องไปหาผู้บัญชาการหน่วยอาชญากรรมอีกครั้ง อยู่ในทีมของพวกเขา ไม่ไปที่อื่นแล้ว” เจียงตงเย่ลุกขึ้น ตบแขนเสื้อของตัวเองพลางถอนหายใจ “ท่าทาง ชื่อเสียงของอาเล็กจะใช้ไม่ได้ในเมืองอวิ๋นเฉิง”

 

 

เขาออกจากห้องพยาบาล

 

 

เฉิงมู่กับลู่จ้าวอิ่งถึงได้สบตากัน

 

 

ที่จริงแล้วเมื่อคืนตอนแรกพวกเขาก็สงสัยเหมือนกัน ตามหลักแล้วไม่ว่าอย่างไรผู้บัญชาการเฉียนก็น่าจะไว้หน้าเจียงหุยสักหน่อยสิ

 

 

ไม่พูดถึงสกุลเจียง ในฐานะอธิบดีเจียงของสำนักงานอัยการสูงสุด เจียงหุยก็นับว่าเป็นบุคคลอันดับต้นๆ ของเมืองอวิ๋นเฉิงเช่นกัน

 

 

แต่เจียงตงเย่ยังคงดูอนาถมากอยู่ดี ผู้บัญชาการเฉียนไม่มีทีท่าว่าจะไว้หน้าเขาเลยสักนิด

 

 

แต่หลังจากเมื่อคืน ทั้งคู่ถึงรู้แจ้งกระจ่างใจทันที ไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของเจียงหุยใช้ไม่ได้ กู้ซีฉืออยู่ฝั่งฉินหร่านชัดๆ!

 

 

แค่ฉินหร่านพูดประโยคเดียว อย่าว่าแต่อธิบดีเจียงเลย อธิบดีเจียงสิบคนก็ไม่มีประโยชน์!

 

 

“คุณชายลู่” เฉิงมู่ละสายตาอย่างเห็นใจ “เมื่อกี้ทำไมคุณไม่ให้ผมบอกเรื่องของกู้ซีฉือ”

 

 

“บอกอะไร” ลู่จ้าวอิ่งพลิกแฟ้มประวัติคนไข้นิ่งๆ ไม่เงยหน้า ฮึดฮัดในลำคอเบาๆ “ให้เขาไปงานไหว้ครูของฉินเสี่ยวหร่าน เขาไม่ไปจะโทษใครได้ ตอนนั้นถ้าเขาไป อย่าว่าแต่ผู้บัญชาการเฉียนเลย ไม่แน่ฉินเสี่ยวหร่านอาจจะหลุดข้อมูลของกู้ซีฉือออกมาก็ได้”

 

 

เฉิงมู่ “…”

 

 

ไม่พูดเรื่องนี้ยังดี พอพูดแล้วดูเหมือนเจียงตงเย่จะน่าสมเพชกว่าเดิม…

 

 

ดีมาก ช่างเป็นผู้ชายที่น่าอนาถจริงๆ

 

 

…ร้านหม้อไฟ

 

 

“มา อาจะดื่มกับนายอีกแก้ว!” ฉินฮั่นชิวดื่มจนหน้าแดงก่ำ ใต้ฝ่าเท้ามีขวดเบียร์จำนวนมาก เขากับเฉิงเจวี้ยนเหมือนรู้จักกันมานาน ทั้งคู่ดื่มจนถึงตอนนี้

 

 

ชายหนุ่มคนนี้มีมารยาท คุณอาอย่างนั้นคุณอาอย่างนี้ พูดจาก็ไพเราะ

 

 

เขาเปิดเบียร์อีกขวดอย่างใจป้ำ

 

 

วางลงบนโต๊ะดังปึก

 

 

โจวต้าเจี้ยนนั่งอยู่กับฉินหลิง กำลังคุยอยู่กับฉินหร่าน

 

 

โจวต้าเจี้ยนถามเรื่องเรียนกับเรื่องการใช้ชีวิตกับเธอ และพูดถึงฉินหลิงกับฉินฮั่นชิวบ่อยๆ อีกด้วย

 

 

“พ่อเธอมีรูปของเธอ มีคนแตะต้องตอนอยู่ในไซต์งาน เกือบจะชกต่อยกันแล้ว” โจวต้าเจี้ยนล้วงเนื้อหลายชิ้นขึ้นจากหม้อไฟ กินไปคำหนึ่งแล้วพูดว่า “แต่เธอสวยกว่าในรูปจริงๆ ฉันเกือบจำไม่ได้แน่ะ”

 

 

ฉินหร่านมองสองคนที่ดื่มเบียร์กันอย่างครึกครื้นแวบหนึ่ง เอนตัวไปด้านข้างเล็กน้อย ผมตรงหน้าผากลู่ลงมา พยักหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อย

 

 

เมื่อคืนฉินฮั่นชิวเพิ่งดื่มเหล้าไป ไม่รู้ว่าวันนี้สร่างดีแล้วหรือยัง แต่ก็จะลากเฉิงเจวี้ยนที่สนิทตั้งแต่แรกเห็นมาดื่มอีกให้ได้

 

 

ฉินหร่านกินไปพอสมควรแล้ว จึงนั่งมองทั้งคู่ดื่มอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

 

 

สภาพของฉินฮั่นชิวไม่ค่อยปกติ ฉินหร่านคิดว่าเฉิงเจวี้ยนก็น่าจะมองออก

 

 

มือข้างหนึ่งเท้าคาง อีกข้างถือมือถือค้นดูข้อความ กู้ซีฉือยังศึกษารายงานฉบับนั้นอยู่ ไม่ส่งข้อความมาสักที

 

 

แต่ดูจากท่าทางของเขาเมื่อคืนที่ตื่นเต้นขนาดนั้นแล้ว ฉินหร่านคิดว่าครั้งนี้เขาน่าจะได้ผลลัพธ์แล้ว

 

 

ขณะที่คิดจะกดปิดวีแชทแล้วเปิดเกม ข้อความของผู้บัญชาการเฉียนก็เข้ามา

 

 

ฉินหร่านก็อยากถามเรื่องของสมาคมแฮกเกอร์กับเจ้าหน้าที่ไอทีคนนั้นพอดี จึงให้เขามาหาเธอที่ห้องพยาบาลหลังเลิกงาน

 

 

เธอสวมหูฟัง เปิดเกมขึ้นมาอีกครั้งแล้วนั่งหันข้างเล่นเกม

 

 

หน้าหนาวร้านหม้อไฟเปิดฮีตเตอร์ เธอถอดเสื้อนอกออกนานแล้ว สวมแค่เสื้อมีฮู้ดสีดำ อาจเป็นเพราะรำคาญที่เสียงของฉินฮั่นชิวดังเกินไป เธอเลยสวมฮู้ดเสียเลย เผยให้เห็นแค่คางขาว

 

 

ลองหลอกตัวเองดูหน่อย

 

 

สุดท้ายก็เป็นโจวต้าเจี้ยนที่ทนไม่ไหว “เหล่าฉิน พอได้แล้ว!”

 

 

เขากับฉินหลิงหิ้วปีกฉินฮั่นชิวออกไป

 

 

ฉินฮั่นชิวยังพึมพำว่าคิดเงิน

 

 

ปรากฏว่าเมื่อทั้งสามเดินไปที่เคาน์เตอร์ แคชเชียร์ก็พูดกับพวกเขาอย่างสุภาพอ่อนโยนว่า “คิดบัญชีในนามของคุณเฉิงแล้ว”

 

 

ฉินฮั่นชิวพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแล้ว

 

 

ณ ห้องวีไอพี

 

 

ฉินหร่านเก็บมือถือแล้ว เฉิงเจวี้ยนยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ไม่ขยับเขยื้อน

 

 

เธอลุกขึ้น ใช้มือถือเคาะโต๊ะ “ไปกันได้แล้ว”

 

 

เหมือนจะได้ยินเสียง เฉิงเจวี้ยนจึงเงยหน้าขึ้น มองฉินหร่านแวบหนึ่ง ไม่ขยับ

 

 

ใบหน้าของเขาซีดเผือด ใบหน้าเย็นชา ท่าทางนิ่งไม่ไหวติง เหมือนกับภาพวาดที่เกิดจากริ้วคลื่นกระเพื่อม มีเพียงสายตาที่แลดูไม่ค่อยปกติมากนัก

 

 

ฉินหร่านชะงักไปครู่หนึ่ง เธอวกกลับมา นั่งลงตรงข้ามเขา “ดื่มเยอะไปเหรอ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองเธอแวบหนึ่ง ตอบอย่างนิ่งเฉยว่า “ฉันเปล่า”

 

 

“งั้นเรากลับกันได้หรือยัง” ฉินหร่านนิ่งไปพักหนึ่งแล้วถามเสียงเบา

 

 

กลิ่นอายเย็นเยือกนิรนามคละเคล้าด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์โชยมา

 

 

ดื่มแอลกอฮอล์แล้วหน้าไม่แดง ถึงจะดูเหมือนคนปกติ แต่เขาเมาแล้วจริงๆ

 

 

เฉิงเจวี้ยนยังคงมองเธอ หนึ่งนาทีผ่านไปแล้วถึงได้พยักหน้าอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ใช้มือยันโต๊ะแล้วลุกขึ้น

 

 

ฉินหร่านเห็นเขาไม่หยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยซ้ำ จึงย้อนกลับมาอีกครั้งเพื่อหยิบกุญแจ

 

 

วันนี้เฉิงเจวี้ยนขับรถมา รถจอดอยู่ใต้ตึก ยังคงเป็นฟ็อลคส์วาเกินคันนั้น

 

 

ฉินหร่านคิดๆ แล้วก็เปิดประตูหลังก่อน ให้เขานั่งข้างหลัง

 

 

มือของเธอพาดอยู่บนประตูรถ โยนเสื้อนอกของตัวเองเข้าไป มืออีกข้างล้วงกระเป๋าอย่างสบายๆ จากนั้นพยักพเยิดให้เฉิงเจวี้ยน “ขึ้นรถ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ขยับ

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองที่นั่งข้างคนขับ ยังคงนิ่งไม่ไหวติง

 

 

“นายจะนั่งตรงนี้เหรอ” ฉินหร่านชี้ที่นั่งข้างคนขับ

 

 

เฉิงเจวี้ยนพยักหน้าในที่สุด

 

 

ได้เลย คุณชาย

 

 

ฉินหร่านปิดประตูหลังดังปัง

 

 

จากนั้นอ้อมไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ หันมองเฉิงเจวี้ยนเล็กน้อย ใบหน้าฉายความผ่อนคลาย “คุณชายเฉิง พอใจหรือยัง”

 

 

ปลายเสียงหยอกล้อ ฟังดูเหมือนเหน็บแนม

 

 

ในที่สุดคุณชายเฉิงก็ได้นั่งข้างคนขับสมใจ

 

 

ฉินหร่านไม่มีใบขับขี่ แต่เธอคิดว่าป้ายทะเบียนของเฉิงเจวี้ยนคงไม่มีใครในอวิ๋นเฉิงกล้าโบก

 

 

ตอนที่บิดกุญแจ ฉินหร่านก็เหลือบมองข้างๆ แวบหนึ่ง

 

 

จากนั้นผละมือจากกุญแจ เอี้ยวตัวเล็กน้อย “คุณชาย ช่วยยกแขนอันสูงส่งของคุณขึ้นหน่อย เข็มขัดนิรภัยของคุณ…”

 

 

เธอเงยหน้าขึ้น ปอยผมตรงหน้าผากลู่ลงมาอีกครั้ง อยากจะพูดบางอย่างกับเขา เฉิงเจวี้ยนเองก็ก้มหน้าลงเช่นกัน

 

 

ก้มถึงระดับไหนกัน

 

 

ลำคอของฉินหร่านสัมผัสได้ถึงลมหายใจเจือกลิ่นแอลกอฮอล์ของเขา สมองของเธอขาวโพลนไปหลายวินาที ลมหายใจรดใบหน้าของเธอ เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก็เห็นใบหน้าที่แทบจะห่างไม่ถึงคืบของเฉิงเจวี้ยน

 

 

อากาศรอบข้างเริ่มเบาบางลง

 

 

เฉิงเจวี้ยนยื่นมือออกมา ปลายนิ้วเขี่ยปอยผมตรงหน้าผากของเธอ “ฉินหร่าน?”

 

 

ปลายนิ้วร้อนผ่าว

 

 

ดวงตาคู่นั้นยังคงดำสนิท บัดนี้แวววาวจนน่ากลัว ศีรษะก้มต่ำ เสียงทั้งต่ำและแหบพร่า แทบจะพึมพำแล้ว

 

 

ฉินหร่านได้สติ รีบคาดเข็มขัดนิรภัยทันที จากนั้นนั่งตัวตรง บิดกุญแจรถแล้วหันหน้า “นาย นั่งให้ดี”

 

 

ถึงห้องพยาบาลในยี่สิบนาทีต่อไป

 

 

ฉินหร่านมองเฉิงเจวี้ยนที่นั่งบนที่นั่งข้างคนขับ หลับตาพริ้ม คล้ายว่าจะหลับไปแล้ว แพขนตายาวลู่ลง ใบหน้ายังคงขาวปลอด

 

 

ลักษณะยังคงเป็นคุณชายหน้าตาหล่อเหลาสง่างามเช่นเดิม มองไม่ออกว่าเมามายเลยแม้แต่นิด

 

 

ฉินหร่านวางมือลงบนพวงมาลัย มองดูท่าทางของเขาด้วยความหงุดหงิดใจเล็กน้อย

 

 

เธอลงจากรถ

 

 

ยกขาแล้วเตะประตูห้องพยาบาลทันที

 

 

เฉิงมู่กับลู่จ้าวอิ่งอยู่กันทั้งคู่

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม “ใครยั่วโมโหเธอ บอกฉันมา”

 

 

จากนั้นก็ชะเง้อคอมองข้างหลัง “ท่านเจวี้ยนล่ะ”

 

 

ฉินหร่านเอี้ยวตัวมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นยกฮู้ดขึ้นสวม “บนรถ ดื่มเยอะจนหลับไปแล้ว ฉันจะกลับไปเรียน”

 

 

เธอพูดจบก็กระชับฮู้ดตรงไปทางอาคารเรียน

 

 

เย็นชาไร้น้ำใจ

 

 

ทั้งสองคนในห้องพยาบาลสบตากัน

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉิงมู่ก็พูดช้าๆ ว่า “เหมือนผมจะจำได้ว่า…ท่านเจวี้ยนของเรา…”

 

 

ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่นิด พันแก้วไม่เมาไม่ใช่เหรอ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเงียบไป “…”

 

 

เคร่งขรึมจริงจัง!

 

 

หน้าเนื้อใจเสือ!

 

 

หมาป่าห่มหนังแกะ!

 

 

 

 

ณ โรงพยาบาล ในห้องพักผู้ป่วยของหนิงเวย

 

 

“ทำไมแกถึงไม่บอกฉันเลย” หนิงฉิงมองขาของหนิงเวย นัยน์ตาแดงระเรื่อ “แม่รู้หรือเปล่า”

 

 

“ไม่รู้ พี่ห้ามไปบอกนะ” หนิงเวยส่ายหน้า “พี่ ฉันไม่เป็นไร แค่ผ่าตัดเล็ก ไม่กี่ตังค์หรอก”

 

 

หนิงฉิงไม่สบายใจ จึงไปสอบถามพยาบาล

 

 

ตอนแรกกังวลว่าเงินของหนิงเวยจะไม่พอ แต่เมื่อถามพยาบาลก็ได้รู้ว่าค่าผ่าตัดกับค่ารักษาพยาบาลจ่ายครบหมดแล้ว ถึงได้เบาใจลง

 

 

แต่ในใจก็หนักอึ้งเช่นกัน ถึงว่าก่อนหน้านี้ไม่เห็นหนิงเวยกับเฉินซูหลานเลย

 

 

อยู่กับหนิงเวยหนึ่งชั่วโมง หนิงฉิงเตรียมจะกลับไปเอาของบำรุงที่สกุลหลินมา ให้เงินหนิงเวยต้องไม่รับแน่นอน สู้เอาของกินมาให้หน่อยก็แล้วกัน

 

 

เมื่อเธอออกไป หนิงเวยก็หยิบกระดาษซีดเหลืองแผ่นหนึ่งออกจากใต้หมอน

 

 

กระดาษยับยู่ยี่

 

 

เธอมองกระดาษแผ่นนี้อยู่นาน จากนั้นก็โทรหามู่หนาน

 

 

ข้างนอก หลังมู่หยิงส่งหนิงฉิงกลับไปแล้วก็เข้ามา “แม่ ไม่ต้องให้หนูดูแลจริงๆ เหรอ”

 

 

หนิงเวยยัดกระดาษใส่ใต้หมอนอย่างไม่แสดงอารมณ์ “ไม่ต้อง”

 

 

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

 

บริษัทของหลินฉี

 

 

“หลี่ซวงหนิงถามเรื่องพวกฉินฮั่นชิวกับนายงั้นเหรอ” หลินฉีมองเลขาอย่างตกใจ

 

 

ผู้เฒ่าหลินที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง กำลังหารือเรื่องในเมืองหลวงกับหลินฉีก็มองมา

 

 

เลขาตอบอย่างนอบน้อมว่า “ใช่ครับ ได้ยินว่าเข้าใจเด็กคนหนึ่งผิด จะขอโทษเขา”

 

 

“อืม” หลินฉีสั่งให้เลขาออกไป

 

 

จากนั้นก็มองผู้เฒ่าหลิน พูดเสียงเบาว่า “คุณพ่อ ทำไมผมรู้สึกแปลกๆ”

 

 

หลี่ชิว ผู้จัดการของหลี่ซวงหนิงแค่มองก็รู้ว่าเป็นคนแข็งกร้าว เธออยากให้เรื่องนี้จบๆ ไปเสียให้สิ้นเรื่อง จะกระตือรือร้นมาขอโทษได้อย่างไร

 

 

ผู้เฒ่าหลินดื่มชาไปคำหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไปลองถามอวี่เอ๋อร์ ให้เบอร์โทรของฉินฮั่นชิวกับเธอไปซะ”

 

 

ข้อมูลของฉินฮั่นชิวเขารู้ดี หากไม่ขนอิฐในไซต์งาน ก็ทำงานในโรงงานไม้ ไม่มีอะไรน่าสืบสาว

 

 

ทางด้านหลี่ซวงหนิง เธอออกจากเซี่ยงไฮ้ตรงกลับเมืองอวิ๋นเฉิงแต่เช้า

 

 

เสียดายที่ไม่ว่าหลี่ชิวจะตามหาอย่างไรก็หาฉินหร่านไม่เจอ

 

 

โรงแรมอวิ๋นติ่ง…

 

 

ผู้จัดการหวังคนนั้นใช่ว่าเธอจะไปหาได้ตามใจชอบ

 

 

สุดท้ายพวกเธอทำได้แค่ใช้แผนต่อไป เริ่มลงมือจากฉินฮั่นชิว

 

 

วันนี้เป็นวันที่เหยียนซีเริ่มถ่ายทำ หากชาวเน็ตพบว่าหลี่ซวงหนิงถูกถอดแล้ว ถึงตอนนั้นหลี่ชิงไม่อยากจะนึกถึงฟีดแบคในอินเทอร์เน็ตเลย!

 

 

เธอต่อสายหาฉินฮั่นชิวทันที

 

 

 

 

เลิกเรียนตอนบ่าย

 

 

ฉินหร่านหลับตลอดทั้งบ่าย ทำเอาไม่มีใครกล้ามายุ่มย่ามกับบิ๊กบอสคนนี้

 

 

เกาหยางก็รู้สึกผ่อนคลายยามสอนคาบบ่ายขึ้นมาทันที

 

 

เมื่อกริ่งเลิกเรียนคาบสุดท้ายดังขึ้น ฉินหร่านถึงได้ลุกขึ้นจากโต๊ะ ถอดเสื้อกันหนาวยูนิฟอร์มบนตัวออก

 

 

“หรานหร่าน ไปโรงอาหารด้วยกันไหม” หลินซือหรานเท้าคางถามเธอ

 

 

เฉียวเซิงยืนถือลูกบาสอยู่หลังห้องกำลังเลิกคิ้วมองมาทางนี้

 

 

ฉินหร่านสูดจมูก หลุบตาน้อยๆ ตอบอย่างเชื่องช้าว่า “อ่า ไม่ไป”

 

 

คืนนี้ผู้บัญชาการเฉียนจะมาหาเธอที่ห้องพยาบาล

 

 

วันนี้ลืมเสื้อนอกไว้บนรถของเฉิงเจวี้ยน ฉินหร่านขี้เกียจกลับหอ จึงหยิบเสื้อกันหนาวยูนิฟอร์มขึ้นคลุมไว้ข้างนอก ตรงดิ่งไปทางห้องพยาบาล

 

 

ในห้องพยาบาลมีฮีตเตอร์

 

 

เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียงของเจียงตงเย่

 

 

เจียงตงเย่กำลังลากเก้าอี้ยาวมานั่งข้างโซฟาของเฉิงเจวี้ยน เมื่อได้ยินเสียง เขาก็เงยหน้าขึ้น ทักทายฉินหร่านแล้วยิ้ม “มาแล้วเหรอ”

 

 

ฉินหร่านมองเขาแวบหนึ่ง ทักทายเขาลวกๆ จากนั้นเอี้ยวตัวปิดประตู

 

 

เจียงตงเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็บ่นกับเฉิงมู่ต่อว่า “ฉันนั่งอยู่ที่หน้าประตู ฉันคิดว่าครั้งนี้จะได้เจอผู้บัญชาการเฉียน แต่นายรู้อะไรไหม คนที่เฝ้าประตูบอกกับฉันว่า พวกเขามีประตูหลัง”

 

 

เขาอยากตายตอนนั้นเลย

 

 

เฉิงมู่ฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

ขณะนั้นเอง นอกห้องพยาบาล มีคนเคาะประตู