มือทั้งสองข้างของซือคงอวี้กำหมัดแน่น แทบจะฉีกเอกสารในมือเป็นชิ้นๆ มองดูคนในรูปที่ทำให้เขาคิดถึงจนแทบจะล้มป่วย แทบอยากจะทะลุมิติ จับตัวเธอกลับมา
รอบตัวเขาเริ่มมีพายุก่อตัวขึ้น พลังการทำลายล้าง เขาอยากจะกักขังเธอไปชั่วชีวิต อยากจะใช้วิธีที่เหี้ยมโหดที่สุดในการฆ่าหนานกงเยี่ย
หมาป่าสีเทาติดตามซือคงอวี้มากนานกว่ายี่สิบปี เขาอ่อนไหวกับอารมณ์ของซือคงอวี้ เขารับรู้ได้ถึงพลังสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของซือคงอวี้ อดไม่ได้ที่จะหนาวสั่น ดูท่าฉู่หนิงซยาและเหลิ่งรั่วปิงคงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันจริงๆ!
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง พายุรอบตัวซือคงอวี้ค่อยๆ อ่อนกำลังลง สีหน้าของเขานิ่งสงบ จากนั้นวางเอกสารลง ดวงตาฟีนิกซ์เฉียบคม กวาดมองไปยังใบหน้าหมาป่าสีเทาด้วยความเย็นยะเยือก “หมาป่าสีเทา…” เสียงของเขาเหน็บหนาวราวกับน้ำแข็งพันปี “รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่ฆ่านายสักที”
ตัวของหมาป่าสีเทาสั่นเทา รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ซือคงอวี้รู้ทุกอย่างมานานแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเอาแต่คิดว่าตนเองโชคดีที่ไม่ถูกจับได้ แต่ความเป็นจริงดวงตาเฉียบแหลมของซือคงอวี้รู้และเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นมานานแล้ว
“เจ้าวิหาร…ผมสมควรตาย!” หมาป่าสีเทาที่กำลังคุกเข่าอยู่นั้นสั่นเทาไปทั้งตัวเหมือนใบไม้ร่วงโรยท่ามกลางลมหนาวพัดผ่าน ซือคงอวี้เกลียดการถูกหักหลังเป็นที่สุด เรื่องนี้เขารู้ดีกว่าใคร
ซือคงอวี้นิ่งเฉย ยังคงเย็นยะเยือกไร้ซึ่งอุณหภูมิ “ตลอดแปดรุ่นที่ผ่านมา ตระกูลชังของนายมีทายาทแค่คนเดียว ทุกรุ่นของตระกูลชังล้วนภักดีต่อวิหาร วันนี้นายยังไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีลูก ถ้าฉันฆ่านาย ตระกูลชังก็จะหมดสิ้นทายาท ฉันเห็นแก่ความจงรักภักดีของตระกูลชังรุ่นก่อนๆ อยากจะให้โอกาสนายอีกครั้ง”
“ขอบคุณครับเจ้าวิหาร หมาป่าสีเทาจะจำเอาไว้เป็นบทเรียน” เวลานี้ เขาควรดีใจใช่ไหมที่ตนมีบรรพบุรุษที่ซื่อสัตย์
ซือคงอวี้ดึงสายตากลับมา หันไปมองหน้าต่างวิหารขนาดใหญ่ แสงแดดใกล้เที่ยงกำลังเจิดจ้า “ฉู่หนิงซยาคือเหลิ่งรั่วปิง นายพาคนไปที่เมืองหลง ไปจับตัวเธอกลับมาให้ฉัน” สายตาเหี้ยมโหดทอดไปยังหมาป่าสีเทาอีกครั้ง “ถ้าครั้งนี้นายทำภารกิจไม่สำเร็จ หรือกล้าปล่อยให้เธอหนีไป ฉันจะทำให้ตระกูลชังของนายหายไปจากซีหลิง!”
“ครับ เจ้าวิหารวางใจได้ครับ หมาป่าสีเทาจะไม่ทำเรื่องโง่เขลาแบบนั้นอีก” หมาป่าสีเทาคุกเข่าบนพื้น สาบานว่าจะจงรักภักดี ความเป็นจริงเขาไม่เคยคิดจะหักหลังซือคงอวี้มาก่อน สำหรับเขาแล้ว ซือคงอวี้เป็นทั้งเจ้านาย และเป็นทั้งญาติมิตรคนหนึ่งของเขา พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ผูกพันกันมาก เหตุที่ซือคงอวี้ไม่ฆ่าเขา น่าจะเป็นเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์นี้ด้วย ตอนที่เขาเห็นซือคงอวี้บ้าคลั่งจนควบคุมตนเองไม่ได้เพราะเหลิ่งรั่วปิง เขาเองก็เสียใจมาก ถึงแม้เขาจะสงสารเหลิ่งรั่วปิง แต่เขาเห็นใจซือคงอวี้มากกว่า
“อื้ม ไปเถอะ พาหลินมั่นหรูไปด้วย ให้เธอช่วยนายในตอนที่จำเป็น” ซือคงอวี้แสร้งหลับตาลงด้วยความอิดโรย “จำเอาไว้ ห้ามทำร้ายเหลิ่งรั่วปิงแม้เพียงปลายเล็บ”
ความเป็นจริงเขาไม่ได้รู้สึกอิดโรย เขากระวนกระวายใจ กลัวเหลิ่งรั่วปิงจะไม่ยอมกลับมา และกลัวเธอจะหนีไปอีกครั้ง เขาคือเจ้าวิหารของซีหลิง เขาไม่มีอิสระ ไม่อาจไล่ตามหาเธอทั่วทุกมุมโลกด้วยตนเองได้ ทว่าหนานกงเยี่ยทำได้ บางทีนี่อาจจะเป็นข้อได้เปรียบของหนานกงเยี่ย ไม่อย่างนั้น หนานกงเยี่ยไม่มีวันเจอเธอก่อนตนอย่างแน่นอน
หลังจากหมาป่าสีเทาเดินออกไป ซือคงอวี้ลืมตาขึ้นช้าๆ แววตาเย็นยะเยือกทอดมองไปยังหน้าต่าง ราวกับทะลุมิติ ก้าวไปถึงเมืองหลง ‘เหลิ่งรั่วปิง ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้งหนึ่ง กลับมาอยู่เคียงข้างผม ผมจะมอบความรักที่ดีที่สุดให้คุณ ไม่อย่างนั้น…’
*****
เหลิ่งรั่วปิงหลับฝันเธอนอนหลับไม่สนิทเท่าไร เธอรู้สึกเหมือนมีมือหนึ่งพยายามเข้าใกล้ตลอดเวลา มือนั้นอัดแน่นด้วยความโมโห ต้องการที่จะควบคุมหัวใจของเธอ กักขังเธอไปตลอดชีวิต
เหลิ่งรั่วปิงกลัวมาก อยากจะตื่นขึ้นมา ทว่าทำอย่างไรก็ไม่ตื่นสักที
ในฝันเธอพยายามดิ้นรนต่อสู้ ขมวดคิ้วเป็นปม หนานกงเยี่ยที่นอนหลับไม่สนิทจึงถูกปลุกตื่นอย่างรวดเร็ว เขาเหยียดตัวลุกขึ้น มือใหญ่จับใบหน้าของเธอที่เวลานี้มีเหงื่อผุดขึ้นเล็กน้อย ร้องเรียกเสียงเบา “ฉู่หนิงซยา ตื่นๆ”
เหลิ่งรั่วปิงที่ดิ้นรนต่อสู้อยู่นั้นคล้ายพบเจอกับความหวังสุดท้าย เธอรีบคว้ามือหนานกงเยี่ย ลืมตาขึ้น เวลานี้ เหงื่อเย็นไหลอาบไปทั่วทั้งตัว
“ฝันร้ายหรอครับ หืม?” หนานกงเยี่ยเกลี่ยผมตรงหน้าผากของเหลิ่งรั่วปิงด้วยความอ่อนโยน พยายามขับไล่ความหวาดกลัวไปจากเธอ
เหลิ่งรั่วปิงหลับตาลงด้วยความทรมาน เธอพลิกตัวหันหลังให้หนานกงเยี่ย เธอรู้ดีว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เธอฝันร้าย เพราะวันนี้คนของวิหารสะกดรอยตามเธอ ซือคงอวี้สนใจในตัวฉู่หนิงซยา มีเพียงแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น เขาคิดว่าฉู่หนิงซยาและเหลิ่งรั่วปิงต้องเกี่ยวข้องกัน และต้นเหตุทั้งหมดก็เป็นเพราะหนานกงเยี่ย ถ้าฉู่หนิงซยาไม่เกี่ยวข้องกับหนานกงเยี่ย ชั่วชีวิตนี้ซือคงอวี้ไม่มีวันสนใจเธออย่างแน่นอน
ในฝัน เธอเห็นท่าทีโหดร้ายของซือคงอวี้อีกครั้ง ส่วนลึกในจิตวิญญาณที่หวาดกลัวเขาของเธอ ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เธอหักหลังซือคงอวี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาต้องไม่มีวันปล่อยให้เธอมีความสุขอย่างแน่นอน
การตีตัวออกห่างกะทันหันของเหลิ่งรั่วปิง ทำให้หนานกงเยี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ขยับไปหาเธอด้วยความอ่อนโยน ยื่นมือไปคล้องผมของเธอทัดข้างหู จ้องมองใบหน้าของเธอ พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เป็นอะไรไปครับ หืม?”
เหลิ่งรั่วปิงลืมตาขึ้นช้าๆ สีหน้าของเธอนิ่งสงบไร้ความรู้สึก “คุณหนานกงเยี่ย คุณปล่อยฉันไปเถอะค่ะ”
“…” หนานกงเยี่ยไม่ได้พูดอะไร เมื่อตอนเที่ยงดูเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่าง ยอมอยู่กับเขาเงียบๆ รับความรักจากเขา แต่ตอนนี้เธอกลับตีตัวออกห่างกะทันหัน ต้องเป็นเพราะฝันร้ายเมื่อกี้อย่างแน่นอน อะไรทำให้เธอกลัวขนาดนี้ องค์กรที่อยู่เบื้องหลังของเธอหรือ
เหลิ่งรั่วปิงลุกขึ้นนั่ง มองหน้าหนานกงเยี่ยด้วยความจริงจัง “คุณหนานกงเยี่ย คุณบอกว่าคุณรักเหลิ่งรั่วปิงมากไม่ใช่เหรอคะ เวลานี้คุณทำแบบนี้กับฉัน ถ้าเหลิ่งรั่วปิงโผล่มากะทันหัน คุณจะทำยังไงกับเราสองคนคะ คุณจะทิ้งฉัน หรือว่าจะทิ้งเหลิ่งรั่วปิง”
หนานกงเยี่ยลุกขึ้นนั่ง ยิ้มอ่อนโยนให้กับผู้หญิงตรงหน้า “พอแล้วครับ เราอย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้กันเลย เราฉลองวันสิ้นปีกันอย่างมีความสุขเถอะ พรุ่งนี้ตอนไปเที่ยว ผมจะบอกคำตอบกับคุณ หืม?”
เขารู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เธออยากให้เขาปล่อยเธอไป ดูเหมือนการที่เธอกลับมาอยู่กับเขา ทำให้องค์กรที่อยู่เบื้องหลังให้ความสนใจ เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกกลัว เขาต้องสืบรู้ให้ได้ว่าองค์กรที่อยู่เบื้องหลังของเธอคือองค์กรอะไร ใครกันที่ทำให้เธอกลัวมากขนาดนี้ กลัวจนแม้แต่เขาหนานกงเยี่ยก็ไม่อาจให้ความรู้สึกปลอดภัยกับเธอได้?
เหลิ่งรั่วปิงมองลึกเข้าไปในแววตาของหนานกงเยี่ยเงียบๆ เหมือนอยากจะอ่านอะไรบางอย่าง แต่ในแววตาของเขานอกจากความรักก็ไม่มีสิ่งอื่นปะปนอีก เธอรู้สึกว่าเขามีความลับบางอย่าง แต่เธอเตะต้องความลับนั้นไม่ได้
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว มีเสียงพลุดังขึ้นเป็นครั้งคราว
หนานกงเยี่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วถอนสายตากลับมา มองหน้าเหลิ่งรั่วปิงด้วยความอ่อนโยน “คืนส่งท้ายปีแล้ว พวกเราไปห่อเกี๊ยวกันเถอะครับ กินเกี๊ยวในคืนสิ้นปีเสร็จ ไปจุดพลุกัน แล้วค่อยกลับมาโต้รุ่ง หืม?”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ขยับ เธอยังไม่ตื่นจากภวังค์ฝันร้ายที่ผ่านมา
หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วจับมือเธอลงมาจากเตียง “พอแล้วครับ เป็นแค่ฝันเท่านั้น ไม่ต้องใส่ใจมาก ต่อให้ฝันนั้นจะเป็นจริง คุณก็ต้องเชื่อมั่นว่า ผมหนานกงเยี่ยปกป้องผู้หญิงของตนเองได้”
หนานกงเยี่ยเหมือนกำลังดูแลลูก เขาเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้เหลิ่งรั่วปิง “ให้ผมช่วยคุณเปลี่ยนไหม หืม?”
เหลิ่งรั่วปิงทำหน้านิ่ง “คุณออกไปรอข้างนอก!” เธอยังไม่ทันได้ต่อว่าที่เขามานอนข้างๆ ตนได้อย่างไร
“ฮ่าๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะ “ครับ ผมรอคุณในห้องรับแขกนะ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วลงมา”
เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า ก้มหน้าลงเตรียมจะเปลี่ยนชุด ขณะที่เธอก้มหน้าลงนั้น แก้มของเธอกลับมีจูบอุ่นๆ ประทับลงมา ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมาจะระเบิดอารมณ์ หนานกงเยี่ยหัวเราะพร้อมกับเดินออกไปแล้ว ทิ้งให้เธออารมณ์เสียอยู่คนเดียว ถึงแม้จะบอกว่าอารมณ์เสีย ทว่าภายในใจของเธอรู้สึกว่าจูบนี้หอมหวานมาก
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เหลิ่งรั่วปิงเดินลงไปชั้นล่าง หนานกงเยี่ยไม่ได้อยู่ในห้องรับแขก แต่เขายื่นหน้าออกมาจากห้องครัว “มาห่อเกี๊ยวกันครับ”
เหลิ่งรั่วปิงเดินลงบันได เดินเข้าไปในห้องครัว พบว่าหนานกงเยี่ยเหมือนพ่อบ้านมาก เขาสวมผ้ากันเปื้อน มือทั้งสองข้างมีแต่แป้ง ยิ้มอย่างมีความสุข “ไปล้างมือ แล้วมาห่อเกี๊ยวด้วยกัน เดี๋ยวผมรีดแป้งเกี๊ยวเอง”
เขาทำถึงขั้นนี้ ถ้าเธอไม่ให้ความร่วมมือ คงจะเป็นการทำลายความสุข ดังนั้นเหลิ่งรั่วปิงจึงไปล้างมืออย่างว่าง่าย จากนั้นนั่งลงที่โต๊ะ หยิบแผ่นแป้งขึ้นมาแล้วห่อเกี๊ยวด้วยความตั้งใจ คิดดูแล้วเธอไม่ได้ห่อเกี๊ยวมานานหลายปี ตอนเด็กๆ เธอจะห่อเกี๊ยวกับพ่อทุกปี ตั้งแต่พ่อล้มป่วยเธอก็ไม่ได้ห่อเกี๊ยวอีกเลย ดังนั้น เธอจึงห่อไม่เก่ง ทั้งยังห่อออกมาได้น่าเกลียด
หนานกงเยี่ยรีดแป้งได้จำนวนหนึ่ง เขาเองก็นั่งลงแล้วเริ่มห่อเกี๊ยว มองดูเกี๊ยวหน้าตาน่าเกลียดที่เหลิ่งรั่วปิงห่อ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ฉู่หนิงซยา คุณห่อเกี๊ยวได้น่าเกลียดจริง””
เหลิ่งรั่วปิงเบ้ปาก “แล้วคุณห่อสวยมากเหรอคะ”
หนานกงเยี่ยหัวเราะแต่ไม่ยอมพูดอะไร เขาหยิบแผ่นเกี๊ยวออกมาหนึ่งแผ่น ความเป็นจริงเขาเองก็ห่อได้น่าเกลียดมาก ท่าทางในการห่อก็เงอะงะ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเรียนมาใหม่ ถึงแม้จะน่าเกลียด แต่เขาก็วางเกี๊ยวที่ตนเองห่อรวมกับเกี๊ยวของเหลิ่งรั่วปิงด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อเทียบกันแล้ว เขาห่อได้น่าเกลียดยิ่งกว่า
“ฮ่าๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะ “คุณก็ห่อไม่เป็นเหมือนกันนี่คะ”
หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วยักไหล่ “เฮ้อ อย่าทำให้ผมเสียหน้าสิครับ ผมเพิ่งเรียนมาจากหนังสือ ทำได้แบบนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
“ได้ยินว่าคุณเป็นอัจฉริยะด้านการเรียนรู้ไม่ใช่เหรอคะ แต่ทำไมถึงห่อเกี๊ยวได้แย่แบบนี้”
“คุณกล้าหาว่าผมโง่เหรอ” หนานกงเยี่ยแกล้งโมโหแล้วมองหน้าเหลิ่งรั่วปิง เงียบอยู่สองวินาที จู่ๆ เขาก็เอามือลูบแก้มของเธอ สาวสวยหน้า “เปื้อน” ไปหมด
เหลิ่งรั่วปิงหลบไม่ทัน ทั้งโมโหทั้งโกรธ คว้าแป้งขึ้นมาแล้วปาไปที่หน้าหนานกงเยี่ย เสี้ยววินาที หนุ่มหล่อกลายเป็น “แป้ง”
หนานกงเยี่ยไม่โมโหแม้แต่น้อย เขายิ้มร่าราวกับแสงสนธยา มือใหญ่ลูบจับไปที่หน้าของเหลิ่งรั่วปิง “เอาให้เปื้อนมากกว่าเดิม”
เหลิ่งรั่วปิงไม่พอใจ มือทั้งสองข้าง คว้าจับแป้งแล้วโรยไปที่ตัวเขา ราวกับนางฟ้ากำลังโปรยดอกไม้
สุดท้าย เกี๊ยวไม่ได้ห่อ ทั้งสองทำสงครามแป้ง หนานกงเยี่ยทำใจไม่ได้ที่จะเอาแป้งโรยผู้หญิงของตนเอง เขาจึงเพียงแค่เอาแป้งลูบหน้าเธอสองสามทีเท่านั้น แต่เหลิ่งรั่วปิงกลับไม่ออมมือแม้แต่น้อย คว้าแป้งมาแล้วโรยไปที่เขา ไม่นานหนานกงเยี่ยกลายเป็น “มนุษย์แป้ง” ทั้งผม ทั้งหน้าและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยแป้ง