ตอนที่ 68 สาวดอกบัวขาว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

สูงขึ้นไปเหนือพื้นดินนับร้อยจั้ง กำแพงสีขาวที่ดูหรูหราตระการตาตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า กำแพงเมืองแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่ากำแพงเมืองเยว่กวางที่ฉินอวี้โม่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ถึงสิบเท่า !  ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนที่กำลังเดินทางผ่านเข้าออกประตูเมืองขนาดใหญ่นั้นก็มีจำนวนมากมายและมีความคึกคักมากกว่าอย่างเทียบไม่ได้*…ที่นี่คือนคราอันยิ่งใหญ่–นครไป๋อวิ๋น เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น*

เหล่าจอมยุทธ์ผู้มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งและทรงพลังเดินกันขวักไขว่ หลายต่อหลายคนเดินผ่านฉินอวี้โม่เพื่อเข้าสู่ประตูเมืองอย่างไม่ขาดสาย และนี่เองที่ทำให้นางรู้สึกอัศจรรย์ใจในความยิ่งใหญ่ของมหานครแห่งนี้

ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และโอวหยางชิงเฟิงเดินมุ่งหน้าเข้าไปในเมืองอย่างไม่รีบร้อน ทหารที่เฝ้าหน้าประตูตรวจสอบและสอบถามพวกเขาตามระเบียบก่อนจะปล่อยให้คนทั้งสามผ่านเข้าไป

เมื่อผ่านเข้าสู่ประตูเมืองแล้ว ภาพของถนนหนทางที่กว้างขวางงดงามเป็นระเบียบ ความอลังการของตึกรามบ้านช่องสองข้างทางผนวกกับผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่เดินผ่านไปมาก็ทำให้สาวน้อยจากเมืองไกลปืนเที่ยงทั้งสองต่างตื่นตาตื่นกับความเจริญรุ่งเรืองและความมีชีวิตชีวาของมหานครแห่งนี้อย่างมาก

ทางด้านตะวันออกของนครไป๋อวิ๋นเป็นที่ตั้งของพระราชวังขนาดใหญ่แห่งองค์จักรพรรดิผู้ปกครองจักรวรรดิไป๋อวิ๋นทั้งหมด  ในขณะที่จวนแห่งสามตระกูลเรืองอำนาจต่างก็ตั้งอยู่กระจัดกระจายในแต่ละมุมเมืองของนคร

ทางทิศใต้เป็นที่ตั้งจวนตระกูลโอวหยาง ทางตะวันตกเป็นที่ตั้งของตระกูลฉิน และทางทิศเหนือเป็นที่ตั้งของตระกูลเหล่ยซึ่งในจุดนี้ก็เป็นจุดที่อยู่ใกล้กับประตูใหญ่ของเมืองมากที่สุด

ส่วนเหล่าสมาคมมีชื่อมากมายทั้งใหญ่และเล็กนั้น ตั้งอยู่อย่างกระจัดกระจายทั่วทั้งพื้นที่ของนครไป๋อวิ๋น  อาทิเช่น สมาคมทหารรับจ้างอยู่ใกล้ ๆ กับจวนตระกูลฉิน สมาคมช่างหลอมตั้งอยู่ใกล้เคียงตระกูลโอวหยาง สมาคมโอสถอยู่ถัดจากจวนตระกูลเหล่ย  ส่วนสมาคมผู้ฝึกสัตว์จะอยู่ไม่ไกลจากพระราชวัง

นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกหนึ่งตระกูลที่มีชื่อเสียง ตระกูลนี้ถูกจัดเป็นตระกูลลับ พวกเขามีที่ตั้งไม่ชัดเจนและยากจะปรากฏตัวในที่แจ้ง อย่างไรก็ตาม พลังอำนาจของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลใหญ่ทั้งสามเลย หรืออาจเป็นไปได้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาทรงอำนาจมากยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ –ซึ่งนั่นก็คือตระกูลหานของหานโม่ฉือ

เช่นเดียวกับตระกูลหาน ในนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้ยังมีตระกูลลับอื่น ๆ อยู่อีกไม่น้อย และที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่ตระกูลหลิว

หลังจากเข้ามาในเมือง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยปากบอกลาโอวหยางชิงเฟิงเพราะนางได้สัญญากับฉินอีเฟิงผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลฉินไว้ว่าหากมาถึงนครไป๋อวิ๋นแล้วจะไปยังจวนตระกูลฉินเป็นอันดับแรก

ครั้งนี้โอวหยางชิงเฟิงเพียงพยักหน้ารับคำโดยไม่ได้เอ่ยทัดทาน เขาเองก็ไม่ได้กลับบ้านมานานมากแล้ว ถึงจะไม่เคยพูดออกมาตรง ๆ แต่ในส่วนลึกแล้ว คุณชายรองผู้หนีออกจากตระกูลก็คิดถึงครอบครัวของตัวเองมาก

ฉินอวี้โม่พาเสี่ยวโร่วมุ่งตรงไปยังจวนตระกูลฉินในทันที และตลอดทางที่พวกนางเดินผ่าน สตรีทั้งสองก็เป็นที่สนใจของผู้คนมากมายทั้งชายและหญิง

แม้ว่าฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจะสวมใส่ชุดบุรุษทั้งคู่ ทว่าก็ไม่ได้สวมใส่ผ้าคลุมปิดบังหน้าตา ดังนั้นจึงมิอาจปกปิดความงดงามอ่อนหวาน รวมถึงกลิ่นหอมเย็นราวดอกไม้ป่าจากกายของพวกนางได้

รูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ กลิ่นอายอันสูงส่ง ท่วงท่ากิริยาแสนองอาจเยี่ยงบุรุษแต่มีใบหน้าและรูปโฉมงดงามราวเทพธิดาจากแดนสวรรค์ เป็นเหตุให้ชายหนุ่มหลายคนที่ได้พบฉินอวี้โม่เห็นต่างก็เผลอมองตาม และบ้างก็กลืนน้ำลายอย่างไม่อาจควบคุม

ส่วนเสี่ยวโร่วน้อยที่อยู่ข้างกายอดีตคุณหนู  แม้ว่าจะยังไม่โตเป็นสาวเต็มตัว แต่สาวน้อยก็ฉายแววแห่งความงดงามและน่ารักสดใสออกมาจนสั่นคลอนหัวใจชายหนุ่มได้ไม่ต่างกัน

ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้สตรีในชุดบุรุษทั้งสองเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นจำนวนมาก

“ข้าไม่รู้ว่าแม่นางผู้นั้นมาจากตระกูลใหญ่ตระกูลใด แต่นางช่างดูงดงามสูงส่งมีสง่าราศียิ่งนัก หากได้ทำความรู้จักกับนางคงถือเป็นเรื่องที่วิเศษไม่น้อย”

บุรุษผู้หนึ่งถึงกับอดไม่ได้ ต้องชี้ชวนสหายในวงสนทนาให้มองดูสตรีผู้เลอโฉมแล้วกล่าวชื่นชมออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

คนอื่น ๆ เองก็พยักหน้าเห็นด้วย ความงดงามสูงส่งระดับนี้ของฉินอวี้โม่ต่างก็ทำให้ผู้คนคิดเห็นตรงกันว่านางต้องเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่โตตระกูลใดตระกูลหนึ่งเป็นแน่

ฉินอวี้โม่ไม่สนใจสายตามากมายที่กำลังจับจ้อง ทว่ากับเสี่ยวโร่วนั้นต่างออกไป เมื่อสาวใช้น้อยตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนจำนวนมากมายเช่นนี้ นางก็หน้าแดงซ่านด้วยความเขินอายจนแทบไม่อยากจะเดินต่อ

เมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองหลิงซี แม้ว่าตอนออกมาด้านนอกจวนนางและคุณหนูก็เป็นจุดสนใจเช่นกัน แต่หลิงซีนั้นเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ พื้นของตลาดและถนนก็ไม่ได้กว้างขวาง ที่สำคัญก็ไม่ได้มีคนเยอะแยะมากมายเหมือนเช่นที่นี่ นั่นจึงทำให้เสี่ยวโร่วยังพอรับมือได้บ้าง

ทว่านครไป๋อวิ๋นเป็นเมืองที่ใหญ่โตมาก  ผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนมีมากกว่าในเมืองหลิงซีหลายสิบเท่า  เสี่ยวโร่วที่ยังเป็นเพียงเด็กสาวแรกแย้ม เมื่อถูกจ้องมองขนาดนี้ก็จึงกังวลเป็นธรรมดา

“คุณหนู เราใกล้จะถึงหรือยังเจ้าคะ ?”

เสี่ยวโร่วยื่นหน้าเข้าไปใกล้คุณหนูของนาง ก่อนจะกระซิบถาม

“อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วล่ะ”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าแล้วกล่าว นางพอจะรับรู้ได้ว่าเสี่ยวโร่วกำลังรู้สึกเป็นกังวลและคงจะตึงเครียดอยู่บ้างกับสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอ ฉินอวี้โม่จึงเลือกตอบเช่นนั้นเพื่อให้กำลังใจสาวใช้น้อย

โฉมนารีทั้งสองเดินมาจนถึงหัวมุมถนนแห่งหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนทิศทาง จู่ๆ พวกนางก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น

เมื่อสิ้นเสียงตะโกนดังลั่นนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคำรามของอสูรมายาอันดังสนั่น

ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วรีบมองไปในทิศทางแห่งต้นกำเนิดเสียงก่อนจะพบอสูรมายารูปร่างคล้ายหมูป่าขนาดยักษ์ บนหลังหมูป่าตัวนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่

หากดูจากท่าทางและบวกรวมกับสัญชาตญาณของอดีตนักฆ่าแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รู้ว่าคนผู้นั้นไม่ใช่คนดีแน่  และในตอนนี้เขาก็กำลังควบหมู่ป่าตรงมาทางฉินอวี้โม่

“วู้~!”

“อู๊ดดดด~ คร่อก ๆ~”

แต่ทว่าในตอนนั้นเอง ร่างเล็ก ๆ ของหนูน้อยอายุสามถึงสี่ขวบผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและวิ่งเขามาขวางหน้าบุรุษขี่หมูป่าและอสูรมายาของเขา !

ในทันทีที่มองเห็นร่างหมูป่ายักษ์เด็กน้อยก็ตกใจจนร้องไห้จ้า

ทว่าเจ้าหมูยักษ์ก็เข้าถึงตัวเด็กน้อยเสียแล้ว ขาข้างหนึ่งของหมูป่ากำลังจะเหยียบลงบนร่างเล็ก ๆ ของเด็กคนนั้น ภาพเหตุการณ์ที่เห็นทำให้ใบหน้าของเสี่ยวโร่วซีดลงอย่างฉับพลัน

ขณะที่ฉินอวี้โม่ไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว สาวงามช้อนอุ้มหนูน้อยผู้นั้นขึ้นทันทีแล้วเบี่ยงตัวหลบออกไปได้อย่างหวุดหวิด

“โอ๋ ๆ อย่าร้องเลย ไปเถอะ รีบไปหาแม่ของเจ้า”

เมื่อรู้สึกว่าเด็กน้อยในอ้อมแขนสงบลงแล้ว ฉินอวี้โม่จึงวางตัวหนูน้อยลงแล้วบอกให้กลับไปหามารดา จากนั้นอดีตคุณหนูคนงามก็หันหลังกลับไป

ทางด้านเจ้าหมูป่ายักษ์ เป็นเพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉินอวี้โม่ทำให้มันตกใจจนก้าวพลาด เป็นเหตุให้เจ้าของหมู่ป่าตกลงมาแล้วล้มกลิ้งขลุกขลักไปบนพื้น บุรุษผู้นั้นรีบปีนกลับขึ้นหลังอสูรมายาของตนอย่างอับอาย ใบหน้าของเขาถมึงทึงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

“เฮ้ เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงได้มาขวางทางอสูรมายาของข้า ?”

บุรุษที่ดูชั่วร้ายผู้เป็นเจ้าของหมู่ป่าอสูรยืนจังก้าอยู่บนหลังเจ้าหมูยักษ์แล้วจ้องมองมาที่ฉินอวี้โม่ด้วยสายตาดุดัน  ถ้าปฏิกิริยาของเขาไม่ว่องไวพอ ป่านนี้เขาคงล้มหน้าฟาดพื้นเป็นรอยไปนานแล้ว

“เจ้าต้องเป็นคนไร้ยางอายขนาดไหนกันถึงได้กล้าขี่อสูรมายาวิ่งไปมาในเมืองจนเกือบทำให้เด็กตัวเล็ก ๆ บาดเจ็บ นี่ถ้าคุณหนูของข้าไม่เข้าไปช่วยเอาไว้เด็กคนนั้นอาจจะตายไปเลยก็ได้  แต่เจ้ากลับยังหน้าไม่อายมากล่าวหาว่าคุณหนูของข้าขวางทางเจ้า  เจ้ามันคนชั่วช้า !”

เสี่ยวโร่วรีบวิ่งเข้าไปหาฉินอวี้โม่ก่อนจะตวาดเสียงดังใส่ชายเจ้าของหมูป่า

เสี่ยวโร่วยังเด็กอยู่มาก แม้ว่านางจะไม่ใช่คนกล้าหาญมากนัก  แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคุณหนูของนางแล้ว  ความกล้าของนางจะเพิ่มขึ้นอย่างเท่าทวี  ยิ่งกว่านั้นถ้าเป็นคนที่คิดจะทำอันตรายฉินอวี้โม่  นางก็จะไม่ลังเลเลยที่จะต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวและนับเอาคนผู้นั้นเป็นศัตรู

เมื่อเห็นเสี่ยวโร่วในตอนนี้  หัวใจของฉินอวี้โม่ก็สั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้  ในยามปกติเสี่ยวโร่วไม่ใช่เด็กที่กล้าหาญเลย ตรงกันข้ามนางออกจะขี้กลัวมากด้วยซ้ำ  ทว่าเมื่อเป็นเรื่องของคุณหนูผู้เป็นที่รักของนางแล้ว เสี่ยวโร่วก็พร้อมจะกลายเป็นนางราชสีห์ที่เกรี้ยวกราด  ไล่ตวัดฟาดกรงเล็บเข้าใส่คนที่รังแกคุณหนูของนางโดยไม่เกรงกลัว  เรื่องนี้อธิบายได้เป็นอย่างดีว่าตัวฉินอวี้โม่นั้นสำคัญกับเสี่ยวโร่วมากมายเพียงใด

“เหอะ สาวน้อย เจ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ?!”

บุรุษเจ้าของหมูป่าจ้องมองเสี่ยวโร่วด้วยสายตาดุดัน  ขณะเดียวกันนั้นเองแส้ก็ปรากฏขึ้นในมือเขา แส้เส้นใหญ่ถูกตวัดฉับเพื่อฟาดลงไปที่ร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวโร่วในพริบตา

“ในนครไป๋อวิ๋นไม่มีกฎห้ามขี่อสูรมายาบนท้องถนน เจ้าเด็กคนนั้นมันดันวิ่งเข้ามาเอง เรื่องนี้ข้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ  พวกเจ้าสองคนไม่สมควรสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของข้า”

ในตอนที่ปลายแส้ของคนอันธพาลผู้นั้นกำลังจะฟาดลงบนร่างของเสี่ยวโร่ว จู่ ๆ มันก็หยุดชะงักลง และไม่ว่าบุรุษอันธพาลจะออกแรงมากเพียงใด แต่แส้ในมือของเขาก็ไม่ขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย

“ไม่มีใครทำร้ายนางต่อหน้าข้าได้”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชาพลางกำเส้นแส้ในมือแน่น ในตอนที่แส้ของคนหยาบช้าผู้นั้นตวัดลงมานางก็เตรียมพร้อมรับมันไว้อยู่แล้ว

อีกฝ่ายเป็นเพียงจมยุทธ์ขอบเขตมายารัตนะ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลยแม้แต่น้อย แม้แต่เสี่ยวโร่วก็สามารถเลาะฟันของเขาออกจากปากได้ง่าย ๆ หากสาวใช้น้อยไม่ตื่นตระหนกจนเกินเหตุ

เมื่อผู้คนตามท้องถนนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่โดยรอบมองเห็นใบหน้าของอันธพาลบนหลังหมูป่าอย่างชัดเจน พวกเขาต่างก็เงียบเสียงลงในทันที  ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเขา คนเหล่านั้นไม่กล้าแม้แต่มองใบหน้าของเขาเลยด้วยซ้ำ  มีเพียงบางคนที่ซุบซิบกันอย่างแผ่วเบาและชี้นิ้วมาทางฉินอวี้โม่ที่กำลังยึดแส้เอาไว้เท่านั้น

ดูเหมือนว่าผู้คนทั้งหลายก็ต้องการจะช่วยฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว แต่เป็นเพราะเกรงกลัวชายผู้นั้นทำให้ไม่มีใครกล้า  พวกเขาไม่กล้าเข้ามายุ่งและไม่กล้าพอที่จะเอ่ยห้ามปราม

ชายบนหลังหมูดึงแส้อยู่หลายครั้ง ทว่าอาวุธของเขาก็ไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเดือดดาล

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร ?”

— เพี๊ยะ ! —

เพียงแค่สะบัดมืออย่างง่าย ๆ ฉินอวี้โม่ก็สามารถทำให้แส้เหวี่ยงย้อนกลับไปและฟาดเข้าใส่มือของชายผู้นั้นได้แล้ว รอยแดงปรากฏขึ้นบนหลังมือเขาในทันที

“ทำไมข้าต้องรู้จักเจ้าด้วยล่ะ ?”

หลังจากกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส ฉินอวี้โม่ก็หันไปคว้าแขนของเสี่ยวโร่วแล้วเตรียมตัวพานางออกเดินต่อ

นางไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ทว่านางก็ไม่อยากจะเปลืองน้ำลายโต้เถียงกับคนโง่งมผู้นี้

“หยุดเดี๋ยวนี้ ! ทำร้ายข้าแล้วคิดจะหนีงั้นรึ ไม่มีทางซะหรอก”

ชายที่ถูกแส้ของตัวเองฟาดรู้สึกเดือดดาลมากเมื่อเห็นสตรีที่ฟาดแส้เข้าใส่เขาดึงมือสตรีน้อยปากดีและทำท่าทางคล้ายจะเดินหนีไป เขาจึงรีบเข้าไปขวางทางพวกนางไว้ทันที

“เจ้ากล้าลงมือทำร้ายข้าในนครไป๋อวิ๋น ถ้าท่านปู่และพี่สาวของข้ารู้เรื่องนี้เข้า ชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าเจ้าจะเดินได้อีกเลย !”

ดูเหมือนว่าคนอันธพาลผู้นี้คงจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ทว่าฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วก็ไม่คิดแยแส

“ไปกันเถอะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ นางไม่อยากจะเสวนากับคนโง่งมที่พูดไม่รู้เรื่องเช่นนี้ หากพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ก็จะไม่พูดนี่คือหลักการของนาง

“ถ้าเจ้าไม่ขอโทษข้า พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์จะไปไหนทั้งนั้น !”

เมื่อบุรุษคนพาลเห็นว่ามีคนกำลังเดินตรงเข้ามาจากทางด้านหลังของฉินอวี้โม่ เขาก็ดูจะมีความกล้าขึ้นมาทันที

“ทำไมเราต้องขอโทษเจ้าด้วยล่ะ ?”

น้ำเสียงของฉินอวี้โม่เย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ นางเกลียดคนประเภทนี้เป็นที่สุด คนโง่หยิ่งยโส ไร้เหตุผล

“ใช่ มันเป็นเจ้ามากกว่าที่ควรจะขอโทษ”

เสี่ยวโร่วเอ่ยปากสนับสนุนคุณหนูของตัวเอง

“เหอะ ! ทั่วทั้งนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าบอกให้ข้าต้องขอโทษ”

อันธพาลผู้ทำตัวเก่งกร่างยังคงมองสองสาวด้วยสายตาดุดัน เขาไม่คิดที่ปล่อยพวกนางให้รอดไปได้ง่าย ๆ

“เสี่ยวโร่ว แสดงผลลัพธ์ของการฝึกฝนกว่าครึ่งปีของเจ้าให้ข้าดูทีสิ”

ฉินอวี้โม่คร้านที่จะเจรจากับคนผู้นี้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมถอยออกไปดี ๆ เช่นนั้นก็คงต้องใช้วิธีถีบส่งแล้ว

“เจ้าค่ะ”

เสี่ยวโร่วพยักหน้ารับคำอย่างตื่นเต้น และรีบตรงเข้าไปหาชายผู้นั้นทันที

การฝึกฝนในครึ่งปีที่ผ่านมาทำให้นางพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนขึ้นมาเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้ว แต่กระนั้นเสี่ยวโร่วก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้ต่อสู้กับคนจริง ๆ เลยสักครั้งเพราะภายในป่าแสงจันทร์มีเพียงแต่อสูรมายาให้ต่อสู้

ในตอนนี้คุณหนูของนางคิดจะใช้คนตรงหน้าเป็นเหมือนกับกระสอบทรายให้นางได้ฝึก เมื่อรู้เช่นนั้นเสี่ยวโร่วน้อยก็ตกใจอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม เพื่อสั่งสอนคนพาลแล้วนางก็จะไม่กลัว ที่สำคัญสาวใช้น้อยจะพยายามพิสูจน์ตัวเองให้คุณหนูของนางได้เห็น

เมื่อเห็นว่าสตรีปากดีพุ่งตัวเข้ามาหา บุรุษเจ้าของหมูป่ายักษ์ก็สาดสายตามองอย่างดูถูก เขาไม่เชื่อหรอกว่าสตรีน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้จะแข็งแกร่งได้

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ดูเหมือนบุรุษจอมวางอำนาจจะพลาดเสียแล้ว

ด้วยแววตาที่เหยียดหยามนางเช่นนั้นทำให้เสี่ยวโร่วไม่สามารถควบคุมความโกรธของตัวเองได้อีก ชายตรงหน้าเกือบจะทำร้ายนาง และยังกล้ากล่าวหาคุณหนู สาวใช้น้อยจึงทุ่มสุดฝีมือเพื่อจัดการกับเขา

ทั้งดั้งจมูก ใบหน้า และท้องน้อยของชายผู้นั้นถูกหมัด เข่า ศอกของเสี่ยวโร่วกระแทกเข้าใส่จนร่วงผล็อยลงไปกับพื้น เขาเจ็บจุกจนพูดไม่ออก

เสี่ยวโร่วน้อยฟาดเท้าเตะซ้ำไปอีกหนึ่งครั้งก่อนจะสาดสายตาเหยียดหยามยิ่งกว่าเข้าใส่คู่ต่อสู้แล้วดึงฉินอวี้โม่ออกเดินต่อเพื่อตรงไปยังที่ตั้งจวนตระกูลฉิน

ผู้คนที่มุงดูอยู่โดยรอบต่างก็ได้แต่ยืนอึ้ง พวกเขาไม่คิดเลยว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีที่มีใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มจะมีฝีมือร้ายกาจได้ถึงเพียงนั้น  และนี่จึงยิ่งทำให้พวกเขาเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าสตรีทั้งสองนั้นจะต้องมาจากตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน

ทว่าหลังจากออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลัง

“เจ้าทั้งสองคน ข้ายอมรับว่าน้องชายข้ามีนิสัยซุกซน แต่เพียงแค่พวกเจ้าไม่ขอโทษเขาก็มากพอแล้ว เหตุใดถึงต้องลงมือทำร้ายเขาถึงเพียงนี้ด้วย ?”

ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วหยุดชะงัก

เมื่อได้ฟังเสียงนี้ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกขนพอง เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรี และการได้ฟังเสียงของคนผู้นี้ก็ทำให้คำคำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของอดีตนักฆ่าแห่งศตวรรษที่ 21 อย่างรวดเร็ว…ดอกบัวขาว*

*白莲花 (ดอกบัวขาว) เป็นคำสแลงที่เกิดขึ้นใหม่ ใช้ในหมู่วัยรุ่นจีน ใช้ล้อเลียนหรือเปรียบเปรยผู้หญิงที่ทำตัวภายนอกดูซื่อใสบริสุทธิ์เหมือนดอกบัว แต่ที่จริงมีพฤติกรรมมัวหมอง คิดฟุ้งแต่เรื่องไม่ดีไม่งาม หรือผู้หญิงแอ๊บแบ๊วที่ในใจไม่แบ๊ว พูดสั้น ๆ คือแอบแรด หรือแรดเงียบ

“ท่านพี่ ท่านต้องทวงความเป็นธรรมให้ข้า !”

เมื่อคนอันธพาลที่ล้มกองอยู่บนพื้นมองเห็นพี่สาวของตนเดินเข้ามาหา เขาก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งแล้วรีบฟ้องเสียงดังเหมือนเด็ก ๆ  บุรุษขี้แยจ้องมองฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วด้วยสายตาอาฆาตแค้น

“พี่อี้เฟย เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่ บุรุษต่ำช้าสองคนนั้นมาทำร้ายน้องชายข้า ท่านต้องช่วยข้าทวงความเป็นธรรม !”

ครั้งนี้สตรีดอกบัวขาวหันไปกล่าวกับบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยเสียงแหลมสูง

เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วต่างก็ทนไม่ได้ ทั้งสองหันไปมองด้วยสายตาเหยียดหยาม

ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าของบุรุษที่อยู่ข้างกายสตรีน่ารำคาญผู้นั้น ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็ตกตะลึงในทันที !