ตอนที่ 69 ฉินอี้เฟย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ชีวิตในช่วงเวลานี้ของฉินอี้เฟยนั้นยุ่งมากเหลือเกิน  ภารกิจและงานที่เขาต้องรับผิดชอบกองท่วมหัวจนแทบจะรับมือไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เขาสละเวลาอันมีค่าและวางแผนจะกลับไปยังจวนตระกูลฉิน ซึ่งเหตุผลก็เป็นเพราะเมื่อหลายเดือนก่อนเขาได้รับข่าวจากทางตระกูลว่ามีผู้พบตัวน้องสาวของเขา*–ฉินอวี้โม่* ภายในป่าแสงจันทร์  และยังบอกอีกด้วยว่านางจะมาที่ตระกูลฉินในนครไป๋อวิ๋นในเร็ว ๆ นี้

ฉินอี้เฟยไม่ได้กลับไปที่เมืองหลิงซีนานกว่าห้าปีแล้ว และนั่นก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากกลับไปแต่เป็นเพราะเหตุผลบางประการที่ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปได้

หลังจากได้ทราบข่าวคราวของนางสาว ฉินอี้เฟยก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง คุณชายตระกูลฉินดีใจมากอย่างที่ในหลายปีมานี้ไม่เคยเป็นมาก่อน

นั่นก็เพราะว่าฉินอี้เฟยรักและเป็นห่วงน้องสาวผู้นี้มากเหลือเกิน  เมื่อครั้งยังเด็ก ในสมัยอยู่ในเมืองหลิงซี หากพี่ชายอย่างเขายังอยู่ก็จะไม่มีผู้ใดกล้ารังแกฉินอวี้โม่ ทว่าด้วยเหตุผลจำเป็นบางอย่างทำให้เขาต้องพลัดพรากจากนาง แต่ถึงแม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาตัวเขาจะอยู่ในนครไป๋อวิ๋นทว่าจิตใจก็ยังคงเป็นห่วงน้องสาวในเมืองหลิงซีอยู่ตลอด

อันที่จริงไม่มีผู้ใดทราบว่าน้องสาวของเขาจะเดินทางมาถึงไป๋อวิ๋นเมื่อใด แต่เพราะรู้ว่าการสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า ฉินอี้เฟยจึงคาดเดาเอาว่าอาจจะได้เวลาที่ฉินอวี้โม่จะมาที่นี่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะไปที่ตระกูลฉินเพื่อถามข่าว

ทว่าไม่คิดเลยว่าเมื่อออกจากสมาคมโอสถมาได้ไม่นานนัก เขาจะบังเอิญพบเจอกับสตรีผู้ยืนอยู่ข้างกายในเวลานี้

สตรีเลอโฉมผู้นี้คือหลานสาวของประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร นางมีนามว่า หวังรั่วอี และบุรุษหนุ่มเจ้าของหมูป่าอสูรที่นางกล่าวว่าเป็นน้องชายของตนนั้น มีนามว่า หวังรั่วจวิน

ฉินอี้เฟยไม่ชอบสตรีผู้นี้เท่าใดนัก แม้ว่าหวังรั่วอีจะมีรูปโฉมงดงาม กิริยามารยาทดูสุภาพอ่อนหวาน ช่างเจรจา และมีอัธยาศัยดี ทว่านั่นก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น

แต่แท้จริงแล้วนิสัยโดยเนื้อแท้ของคนผู้นี้คือสตรีหยิ่งยโส อีกทั้งนางยังเห็นแก่ตัวมากอีกด้วย

คนประเภทหนึ่งที่ฉินอี้เฟยเกลียดที่สุดก็คือคนกลับกลอก หน้าไหว้หลังหลอก และหวังรั่วอีผู้นี้ก็มีคุณสมบัติดังเช่นที่เขาไม่ชอบครบทุกประการ  หากไม่ใช่เพราะสมาคมโอสถของเขาถือเป็นพันธมิตรที่ดีและมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรแล้ว  เขาก็จะคงไม่ขอข้องเกี่ยวหรือเข้าใกล้สตรีผู้นี้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นั้น เกิดจากการที่หวังรั่วจวินไม่ฟังคำเตือนของเขาและผู้เป็นพี่สาวของตัวเอง คุณชายแห่งสมาคมยิ่งใหญ่ที่โตแต่ตัวผู้นั้นขี่อสูรมายาตัวยักษ์แล้วควบทะยานไปตามท้องถนนอย่างน่าหวาดเสียว

เดิมทีฉินอี้เฟยต้องการจะเข้าไปหยุดเด็กหนุ่มผู้ซุกซน ทว่ากลับถูกหวังรั่วอีดึงตัวไว้เสียก่อน เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง หวังรั่วจวินก็ควบหมูป่ายักษ์พุ่งออกไปไกลแล้ว

เมื่อพวกเขาเดินไล่ตามมาทัน ฉินอี้เฟยก็พบว่าเกือบมีเด็กน้อยได้รับบาดเจ็บจากความคึกคะนองของคุณชายตระกูลหวังเสียแล้ว ทว่ายังโชคดีที่มีคนผู้หนึ่งช่วยเหลือไว้ได้ นั่นทำให้ฉินอี้เฟยรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก   แต่คล้ายสวรรค์กลั่นแกล้งเพราะเรื่องยุ่งก็เกิดขึ้นมาอีกจนได้ เมื่อหนุ่มน้อยตัวเล็กผู้มากับชายหนุ่มผู้ช่วยชีวิตเด็กน้อยกลับไปทำร้ายหวังรั่วจวินเข้า

อันที่จริงฉินอี้เฟยมาทันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แน่นอนว่าเขาย่อมมีโอกาสจะเข้าไปหยุดหนุ่มร่างเล็กเพื่อช่วยหวังรั่วจวิน อย่างไรก็ตาม เพราะรู้สึกว่าคนอย่างหวังรั่วจวินก็สมควรจะถูกสั่งสอนเสียบ้างเผื่อว่าจะได้หลาบจำและไม่ทำสิ่งเอาแต่ใจอีก

ในตอนนั้น ฉินอี้เฟยจึงเลือกยืนดูอยู่เฉย ๆ และเขายอมรับว่าตนเองก็แอบรู้สึกสะใจอยู่บ้าง

หลังจากจัดการสั่งสอนหวังรั่วจวินเสร็จแล้ว บุรุษสองคนนั้นก็ต้องการจะจากไป ทว่ากลับถูกหวังรั่วจวินยื้อเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นหวังรั่วอียังลากเขาเข้าไปยุ่งแล้วเอ่ยประโยคเมื่อสักครู่กับเขาอีก

ในคราแรก ฉินอี้เฟยมองเห็นใบหน้าของบุคคลผู้มีเรื่องกับคุณชายตระกูลหวังจากระยะไกลได้ไม่ชัดเจน และด้วยชุดบุรุษที่พวกนางสวมใส่ เขาจึงคิดว่าคนทั้งสองนั้นเป็นบุรุษ จนกระทั่งในตอนที่พวกนางหันกลับมาหลังด้วยเสียงเรียกของหวังรั่วอี เขาจึงได้เห็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคยและโหยหาอีกครั้ง เมื่อแรกเห็นฉินอี้เฟยก็ตกตะลึงไม่น้อย ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่นานความปีติยินดีก็เข้ามาแทนที่

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ? เสี่ยวโร่ว ?” ฉินอี้เฟยโพล่งวาจาออกมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันมานานเกือบหกปีแล้ว ทว่าฉินอี้เฟยยังคงจดจำใบหน้าของน้องสาวตัวเองได้ขึ้นใจ ซึ่งก็รวมถึงสาวน้อยเสี่ยวโร่วด้วย

ในตอนที่ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างชัดเจน พวกนางก็ชะงักงันไป นั่นก็เพราะมันเป็นใบหน้าแสนคุ้นตาของคนที่เคยใกล้ชิด แม้ว่าจะจากกันไปนานแต่พวกนางก็ยังจำฉินอี้เฟยได้

“คุณชายใหญ่ ?”

เสี่ยวโร่วอดไม่ได้ที่จะเอามือขึ้นมาขยี้ตาตัวเอง นางไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ

“พี่ใหญ่ !”

คำคำนี้อดีตคุณหนูไม่ได้เอ่ยมานานมากแล้ว ในตอนนี้หัวใจของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยความตื้นตันปนตื่นเต้นยินดี แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คุณหนูสี่ตัวจริง ทว่าความทรงจำของคุณหนูสี่แห่งหลิงซีทั้งหมดนั้นแจ่มชัดอยู่ในหัว ดังนั้นความรู้สึกรักและผูกพันต่อบุคคลตรงหน้าจึงคงมีอยู่อย่างเข้มข้นเสมือนว่าเธอคือน้องสาวของบุคคลผู้นี้จริง ๆ  ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าความรัก ความคิดถึง และความอาทรทั้งหมดของคุณหนูสี่คนก่อนส่งต่อมาถึงตัวเธอ นี่สินะความผูกพันทางสายเลือด

ยิ่งกว่านั้นภายในความทรงจำนี้ ฉินอี้เฟยยังแสนดีกับนางเสมอมา เขาตามใจนางทุกอย่างราวกับว่าหากนางอยากได้ดาวบนท้องฟ้า ผู้เป็นพี่ชายอย่างเขาก็จะพยายามปีนขึ้นไปเก็บมันมามอบให้

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เป็นเจ้าจริง ๆ”

เมื่อได้ยินคำเรียกขานจากปากของฉินอวี้โม่ และได้มองใบหน้าของนางอย่างชัดเจน ฉินอี้เฟยก็ฉีกยิ้มกว้าง

คุณชายตระกูลฉินรีบโผเข้าไปหาน้องสาวของตนอย่างรวดเร็ว ฉินอี้เฟยคว้ามือบางของน้องสาวขึ้นพลางมองสำรวจไปทั่วร่างกายเล็ก ๆ ก่อนจะสวมกอดนางอย่างแสนคะนึงหา ริมฝีปากของเขาฉีกกว้างเต็มหน้าจนเกือบจะถึงใบหู

เมื่อเห็นความปลื้มปีติและแววตาห่วงหาอาทรของผู้เป็นพี่ชาย ฉินอวี้โม่เองก็จิตใจสั่นไหวตามไปด้วย นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างให้เขาเช่นกัน วันนี้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นมากจริง ๆ

หวังรั่วอีได้แต่ยืนนิ่งค้างและมองภาพตรงหน้าอย่างโง่งม นางกำลังรอดูฉากที่ฉินอี้เฟยสั่งสอนเด็กหนุ่มโง่เง่าไม่เจียมตัวสองคนนั้น ทว่าไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์มันจะกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้ สองคนที่นางคิดว่าเป็นผู้ชายดันกลับกลายเป็นผู้หญิงไปเสียได้ !

และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ บุรุษที่นางไม่เคยเห็นว่าจะแสดงความใกล้ชิดหรือสนิทสนมกับผู้ใดเลยอย่างฉินอี้เฟยจะเข้าไปสวมกอดสาวงามที่เพิ่งจะพบเจอกันอย่างสนิทชิดเชื้อได้ถึงเพียงนั้น !

เมื่อเห็นภาพเช่นนั้น หวังรั่วอีก็กัดฟันกรอด นางมีความรู้สึกที่ดีให้ฉินอี้เฟยมาตลอด และในตอนนี้นางก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ผ่านมาที่คนผู้นี้ไม่เคยสนใจนางอาจเป็นเพราะสตรีที่เขาสวมกอดคนนี้หรือไม่ ?

“เสี่ยวโร่ว เจ้าโตขึ้นเยอะเลยนะ”

ฉินอี้เฟยปล่อยฉินอวี้โม่ก่อนจะหันมาลูบศีรษะเสี่ยวโร่วน้อยที่กำลังยืนตื่นเต้นอยู่ข้าง ๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อสัมผัสได้ไม่นานนักก็ราวกับว่าฉินอี้เฟยคิดบางอย่างได้ เขารีบดึงมือกลับมาด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน

อาการเช่นนั้นของพี่ชาย ฉินอวี้โม่พอจะเข้าใจอยู่บ้าง ในตอนที่พวกนางยังเล็ก ๆ ฉินอี้เฟยมักจะแสดงความรักต่อนางและเสี่ยวโร่วด้วยวิธีนี้อยู่บ่อยครั้งจนเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เสี่ยวโร่วโตขึ้นมากแล้ว นั่นคงทำให้ฉินอี้เฟยรู้สึกว่าการทำเช่นนี้อาจจะไม่เหมาะสม

ทว่าโชคดีที่เสี่ยวโร่วน้อยไม่มีปฏิกิริยาผิดแปลก นางยังคงเหมือนเดิม ซึ่งก็ช่วยให้ฉินอี้เฟยยิ้มเต็มหน้าได้อย่างมีความสุข

ขณะที่หวังรั่วจวินที่นั่งอยู่บนพื้นนั้น เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็รู้สึกน้ำท่วมปาก คุณชายผู้เอาแต่ใจรู้สึกว่าร่างกายของเขาเจ็บปวดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“พี่อี้เฟย คนพวกนั้นมันรังแกข้า ท่านต้องช่วยข้าสิถึงจะถูก”

หวังรั่วจวินกล่าวออกไปด้วยความโมโห เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้

“เสี่ยวจวิน หุบปากเดี๋ยวนี้”

ในตอนนั้นเองหวังรั่วอีก็รีบดุน้องชายก่อนจะค่อย ๆ เดินนวยนาดเข้ามาด้วยรอยยิ้ม

“พี่อี้เฟย สองคนนี้คือ…?”

หวังรั่วอีแสร้งมองฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วด้วยสายตาอ่อนโยน ทว่าอดีตนักฆ่าสาวดูความจริงใจของผู้หญิงคนนี้ออก แววตาของอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความริษยาและเกลียดชังอยู่หลายส่วน

“นี่คือน้องสาวของข้าเอง*–ฉินอวี้โม่* ส่วนสาวน้อยคนนี้คือเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกัน*–เสี่ยวโร่ว*”

ฉินอี้เฟยเอ่ยปากแนะนำด้วยเสียงเบา ทว่าน้ำเสียงที่เขาใช้ดูจะแปลกไปสักเล็กน้อย

“คุณหนูหวัง อย่างไรวันนี้ข้าจะไปที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรและพูดกับท่านประธานสมาคมเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในนี้เอง แต่ข้าคงต้องขอไปส่งน้องสาวที่ตระกูลฉินก่อน”

หลังจากกล่าวจบ ฉินอี้เฟยก็จูงมือฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินจากไป

ในตอนแรกที่ได้ยินว่าฉินอวี้โม่คือน้องสาวของฉินอี้เฟยหวังรั่วอีก็ชะงักไปเล็กน้อย ทว่าไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้านวลของนาง

ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นน้องสาว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใด เรื่องนี้นางควรจะรู้สึกยินดีด้วยซ้ำ ส่วนเด็กสาวอีกคนผู้มีนามว่าเสี่ยวโร่วที่เขาบอกว่าเป็นสหายยามเด็กนั้น  หวังรั่วอีไม่เห็นอยู่ในสายตา สาวน้อยนั่นยังเด็กเกินกว่าจะเป็นคู่แข่งของนางได้จึงไม่จำเป็นที่นางจะต้องใส่ใจนัก

“อย่าเลย พี่อี้เฟย เรื่องนี้เป็นความผิดของเสี่ยวจวินน้องชายข้าเอง ข้าจะให้เขาขอโทษอวี้โม่เดี๋ยวนี้”

หวังรั่วอีเรียกฉินอี้เฟยเพื่อตัวยื้อเขาไว้

“สวัสดีอวี้โม่ ข้าหวังรั่วอีเป็นหลานสาวของประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร เจ้าเรียกข้าว่าพี่รั่วอีก็ได้ ส่วนนี่ก็น้องชายของข้า เขาเพียงแต่ซุกซนไปบ้าง หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาหาความเขา”

หวังรั่วอีเดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่ก่อนจะยิ้มอ่อนหวานส่งให้ วาจาหวานหูของนางฟังดูเป็นมิตรไม่น้อย

ทว่าเมื่อดูจากท่าทางและได้ฟังคำพูดของหวังรั่วอีแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจเจตนารมณ์และสิ่งที่สตรีตรงหน้ากำลังคิดอยู่ในทันที

ไม่ว่าอย่างไรแม่ดอกบัวขาวผู้นี้ก็ไม่เหมาะสมกับพี่ชายของนางแม้แต่น้อย

“คุณหนูหวังช่างสุภาพอ่อนหวานยิ่งนัก ในอนาคตข้าหวังว่าท่านจะอบรมน้องชายหยาบคายต่ำช้าของท่านให้ดีขึ้น  หากครั้งหน้าเขายังทำตัวเหมือนอย่างวันนี้ ข้าอาจจะไม่ละเว้นเขาอีกแล้ว”

ฉินอวี้โม่เอ่ยปากขึ้นมา น้ำเสียงของนางฟังดูไม่รับแขกแม้แต่น้อย

ที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะว่านางไม่ชอบผู้หญิงดอกบัวขาว ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายดูสนิทสนมกับพี่ชายของนาง นางคงจะไม่ยอมเสียเวลาสนทนาด้วยซ้ำไป

“ข้าจะทำตามที่อวี้โม่พูด เมื่อข้ากลับไปแล้ว ข้าจะไปบอกให้ท่านปู่ลงโทษเขา”

หวังรั่วอีไม่ได้โกรธ นางพยายามไม่ถือสาคำพูดของอีกฝ่าย นางคิดว่าอาจจะเป็นเพราะฉินอวี้โม่ไม่ชอบติดต่อกับผู้คนจึงไม่รู้จักการวางตัวต่อหน้าคนอื่น

“ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าจากปากของพี่อี้เฟยอยู่บ่อย ๆ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าน้องอวี้โม่จะงดงามเสียยิ่งกว่าที่พี่อี้เฟยบรรยายไว้”

วาจาหวานหยดย้อยของหวังรั่วอีทำให้ฉินอวี้โม่หมดคำพูด

“พี่อี้เฟย ในเมื่อวันนี้เสี่ยวจวินไปหาเรื่องก่อกวนน้องอวี้โม่ เหตุใดเย็นนี้พวกเราทั้งหมดถึงไม่ไปทานอาหารกันที่ตึกเต๋อเยว่ล่ะ จะได้เป็นการขอโทษน้องอวี้โม่ด้วย”

ในขณะที่กล่าวออกไป สายตาของหวังรั่วอีก็จับจ้องอยู่ที่ฉินอี้เฟยราวกับรอให้เขาพยักหน้า

“ข้าว่าอย่าดีกว่า เสี่ยวโม่เอ๋อร์เพิ่งจะมาถึงนครไป๋อวิ๋น พวกเรายังมีธุระหลายอย่างที่ต้องทำ”

ฉินอี้เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมเอ่ยปากปฏิเสธอย่างรวบรัดตัดความ ก่อนจะรีบจูงมือฉินอวี้โม่ออกเดินตรงไปยังทิศทางที่จวนตระกูลฉินตั้งอยู่

เสี่ยวโร่วสาดสายตาสมน้ำหน้าเข้าใส่หวังรั่วจวินที่อยู่บนพื้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะรีบไล่ตามเจ้านายทั้งสองของนางไป

เมื่อมองเห็นแผ่นหลังของสองพี่น้องตระกูลฉินเดินจากไป หวังรั่วอีก็กระตุกยิ้มมุมปาก  ตอนนี้นางเกิดความคิดดี ๆ ขึ้นมาแล้ว นางจะตีสนิทกับฉินอวี้โม่เพื่อพิชิตใจฉินอี้เฟย นางจะใช้หญิงสาวคนนั้นเป็นสะพานข้ามไปหาบุรุษที่นางหมายปอง

“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงได้เข้าข้างพวกเขาล่ะ ?”

หวังรั่วจวินลุกขึ้นมาจากพื้นและมองหวังรั่วอีด้วยความไม่พอใจ

“เหอะ ! เจ้าเด็กดื้อด้าน  วันนี้เจ้าเกือบจะทำให้ข้าต้องขายหน้าต่อหน้าพี่อี้เฟย กลับไปข้าจะฟ้องท่านปู่ให้ลงโทษเจ้า !”

หวังรั่วอีดุน้องชายเสียงเข้ม นางหันหลังเดินจากไปโดยไม่หันไปมองเขาอีก สาวงามตระกูลหวังเดินตรงไปยังที่ตั้งของสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร

หวังรั่วอีได้แต่คิดว่าเหตุใดน้องชายของนางถึงได้โง่งมและไม่เอาไหนมากมายขนาดนี้ ชาตินี้ทั้งชาตินางคงไม่มีหวังได้เห็นน้องชายตัวดีประสบความสำเร็จเป็นแน่

เมื่อได้ยินวาจาของพี่สาว หวังรั่วจวินก็ทำได้เพียงเกาหัวอย่างงุนงง เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก เป็นเพราะตกจากหลังอสูรมายาอีกทั้งยังถูกสาวน้อยผู้นั้นซัดจนเละ เวลานี้บุรุษผู้คึกคะนองจึงปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว  คุณชายตระกูลหวังเรียกหมูป่ายักษ์แล้วออกเดินตามหลังพี่สาวไปด้วยความเหนื่อยหน่าย

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงมานครไป๋อวิ๋นกับเสี่ยวโร่วแค่สองคน ? แล้วท่านแม่ล่ะ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

ระหว่างทางไปตระกูลฉิน ฉินอี้เฟยก็ถามคำถามนี้ขึ้น น้ำเสียงของเขาฟังดูเป็นกังวลอยู่หลายส่วน

เมื่อได้ยินคำถามของพี่ชาย ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้ว นางไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี

“คุณชาย ตอนนี้พวกเราทั้งหมดออกจากตระกูลฉินที่เมืองหลิงซีแล้ว ส่วนฮูหยิน ฮูหยินหายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ไม่ยอมตอบ เสี่ยวโร่วจึงอดไม่ได้ที่จะช่วยตอบ สาวใช้น้อยกล่าวเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงที่หดหู่และเศร้าสร้อย

“อะไรนะ ท่านแม่หายตัวไป !”

ประโยคแรกที่เสี่ยวโร่วกล่าวออกมานั้น ฉินอี้เฟยไม่ได้คิดสิ่งใดเกี่ยวกับมันมากนัก ทว่าเมื่อได้ยินประโยคหลังที่นางบอกว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นหายตัวไปก็ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวอย่างตกใจในทันทีก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหม่นหมองลงด้วยความปวดร้าว

“พี่ใหญ่วางใจเถอะ ท่านแม่แค่หายตัวไปเท่านั้นแต่คงไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเราต้องพบเบาะแส”

ฉินอวี้โม่รีบกล่าวขึ้นมาก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลิงซีในตอนที่มารดาถูกจับตัวไปให้พี่ชายฟัง

แน่นอนว่านางไม่อยากจะให้ฉินอี้เฟยเป็นกังวลและรู้สึกแย่ ฉินอวี้โม่จึงไม่ได้เล่าเรื่องที่นางถูกรังแกมาตลอดหลายปีออกไป ในเวลาเดียวกันนางก็ส่งสายตาห้ามเสี่ยวโร่วที่กำลังจะเอ่ยปาก

สาวใช้น้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจ

แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องที่เยี่ยเสี่ยวตี๋เป็นต้นเหตุให้อวี้เสี่ยวอวิ๋นมารดาของพวกเขาทั้งสองต้องหายตัวไป พี่ชายของนางก็ควรได้รับรู้

“เยี่ยเสี่ยวตี๋ สตรีบัดซบ ! ข้าเสียใจจริง ๆ ที่ไม่ได้ฆ่านาง !”

เมื่อได้ฟังเรื่องที่ฉินอวี้โม่เล่า ฉินอี้เฟยก็เดือดดาลขึ้นมาจนยากจะระงับโทสะเอาไว้ได้ แววตาของเขาเต็มไปด้วยรังสีสังหาร

หากเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาก็คงจะฆ่าเยี่ยเสี่ยวตี๋ทิ้งไปตั้งแต่แรก

“พี่ใหญ่วางใจเถอะ แม้ว่าตอนนี้เยี่ยเสี่ยวตี๋จะมีชีวิตอยู่ แต่นางก็ไม่ต่างอะไรจากขยะ !”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชา ก่อนที่นางจะออกมาจากเมืองหลิงซี นางได้ลงโทษสตรีน่ารังเกียจผู้นั้นไปเรียบร้อยแล้ว