อวี้ถังที่กลับมาถึงห้องเซียงฟางสงบความเดือดดาลได้อย่างรวดเร็ว
เดิมเผยเยี่ยนเป็นคนออกแรง เขาก็ต้องมีความคิดของตัวเองอยู่แล้ว นางขอร้องแกมบังคับให้เผยเยี่ยนจัดการกับสกุลหลี่ตามวิธีนาง เผยเยี่ยนจึงเกรี้ยวกราด มิได้มีสิ่งใดน่าตำหนิ
นางไม่ได้เป็นอะไรกับเผยเยี่ยน แล้วทำไมเผยเยี่ยนต้องคอยมาสนใจความรู้สึกนางด้วย?
ตรงกันข้าม นางติดหนี้บุญคุณเผยเยี่ยนมากมาย ไม่ว่าอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่สมควรตอบแทนนางก็ต้องตอบแทนถึงจะถูก
อวี้ถังเริ่มกังวลว่าเผยเยี่ยนจะถูกเอาเปรียบ
ที่องค์ชายสามกล้าเรียกเก็บเงินโดยมิชอบในแถบเจียงหนาน มีเหตุผลหลักเพราะฮ่องเต้มีโอรสน้อย เคยแต่งตั้งฮองเฮาไปทั้งหมดสามพระองค์ ให้กำเนิดองค์ชายทั้งสิ้นเจ็ดพระองค์ มีเพียงองค์ชายรองกับองค์ชายสามที่รอดชีวิตมาได้ ฮ่องเต้เชื่อฟังคำของนักพรตเต๋า คิดว่าตนมีดวงพิฆาต ไม่ควรใช้ชีวิตร่วมกับเหล่าโอรสธิดา ไม่สมควรแต่งตั้งรัชทายาทเร็วเกินไป ดังนั้นหลายปีมานี้ องค์ชายทั้งสองจึงใช้ชีวิตอยู่นอกวังหลวง ฮ่องเต้ก็ไม่ยอมเลือกรัชทายาทเสียที แม้องค์ชายรองจะเป็นพี่ชายคนโต แต่ก็ไม่มีโอรส ทำให้คนมากมายคิดจะเคลื่อนไหวก่อหวอด
ชาติก่อน สามปีให้หลัง ก็เกิดวิกฤติฉากหนึ่งขึ้น…ฮ่องเต้จู่ๆ ก็ประชวรหนัก จึงเตรียมจะแต่งตั้งรัชทายาท ผลปรากฏว่าเหล่าขุนนางต่างคิดว่าองค์ชายสามมีพระราชนัดดาที่ปราดเปรื่อง เหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทมากกว่า องค์ชายสามเองก็คิดเห็นเช่นนั้น ช่วงที่ฮ่องเต้ประชวรหนักก็ลอบนัดพบกับเหล่าขุนนางเป็นการส่วนตัวหลายต่อหลายหน ทว่าองค์ชายรองกลับคอยเฝ้าอาการป่วยอยู่ข้างกายฮ่องเต้อย่างสงบ สุดท้ายกลายเป็นเรื่องให้ตกอกตกใจเล่น ขนาดขันทีสำนักยี่สิบสี่ยังเตรียมข้าวของจัดงานพระศพแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอฮ่องเต้ได้กิน ‘ยาวิเศษ’ ของนักพรตเขาหลงหู่ ก็อาการดีขึ้นอย่างน่าประหลาด
ภายหลังพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ต่ออีกสี่ปี
และองค์ชายรองกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด
เรื่องนี้ย่อมส่งผลกระทบถึงสกุลเผย
แน่นอน สกุลเผยชาติก่อนก็ยืนหยัดได้อย่างมั่นคงและยืนยาวยิ่งกว่าอายุนางเสียอีก แต่หากว่าเผยเยี่ยนสามารถล่วงรู้ผลลัพธ์ได้แต่แรก ย่อมจะโอนอ่อนหรือแข็งกร้าวกว่านี้ เพราะรู้แล้วว่าต้องเลือกทางใดจึงจะดีต่อสกุลเผยที่สุด
นางต้องบอกเรื่องนี้ให้เผยเยี่ยนรู้
แต่นางจะบอกเผยเยี่ยนได้อย่างไรล่ะ?
บอกว่านางกลับมาเกิดใหม่รึ?
นางกลัวว่าเผยเยี่ยนจะคิดว่านางเป็นคนบ้าน่ะสิ
หรืออาจมองว่านางถูกผีร้ายสิงร่าง แล้วเชิญนักพรตหรือพระอาจารย์มาทำพิธีสวดไล่
อวี้ถังปวดศีรษะตึบ เดิมที่ตั้งใจจะไปคัดหนังสือสวดมนต์กับมารดา แต่อย่างไรก็ทำให้ใจสงบลงไม่ได้
คนสกุลเฉินไม่รู้ว่านางกำลังวิตกเรื่องใด จึงถามนางว่า “เจ้าเป็นอะไร? ถ้าไม่อยากคัดหนังสือก็อย่าเพิ่งคัดก็ได้ ท่านแม่เฒ่าเป็นคนใจดีมีเมตตา ไม่มีทางเก็บเรื่องพวกนี้มาคิดมากหรอก”
อวี้ถังพยักหน้ารับอย่างขืนๆ นางยังไม่เลิกเค้นสมองค้นหาความทรงจำในชาติก่อน หวังว่าอาจหาบางอย่างไปกล่าวเตือนเผยเยี่ยนได้ ดังนั้นนางจึงนอนไม่หลับเลยทั้งคืน พอถึงเช้าวันใหม่ คนไม่เพียงสะลึมสะลือ ตอนที่ไปคารวะท่านแม่เฒ่าสกุลเผย ยังเกือบจะเดินชนจี้ต้าเหนียงเข้า
จี้ต้าเหนียงเห็นนางเหมือนคนกันเอง ไม่เพียงไม่ตำหนิ ยังประคองนางไว้แล้วถามอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือไม่? หากไม่สบายก็ไม่ต้องมาหรอกเจ้าค่ะ นายหญิงสามสกุลหยางบอกว่าเมื่อวานตอนบ่ายๆ ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว กลับไปเริ่มมีอาการไอและตัวร้อน วันนี้จึงส่งหญิงรับใช้มาแจ้งต่อท่านแม่เฒ่า คุณหนูสวีทางนั้นจะคอยดูแลนายท่านสามสกุลหยางอยู่ที่ห้องเซียงฟางเอง”
หมายความว่า นางก็อาจจะไม่มาเช่นกัน
อวี้ถังชะงักไป
เมื่อวานตอนที่ตนแยกกับคุณหนูสวีไม่เห็นว่านางจะพูดอะไร เหตุใดเช้ามานายหญิงสามสกุลหยางก็ป่วยเสียแล้ว?
จี้ต้าเหนียงเห็นว่ารอบข้างไม่มีใคร จึงกระซิบข้างหูนางว่า “วันนี้สกุลซ่ง สกุลเผิง สกุลอู่และเหล่าคหบดีหลินอันจำนวนหนึ่งจะมารวมตัวกันที่โถง นายหญิงสามอาจรู้สึกว่าเสียงดังจอแจมากเกินไปเจ้าค่ะ”
อวี้ถังรับรู้ได้ถึงการปกป้องของจี้ต้าเหนียง จึงพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าทราบแล้ว” รอจนเข้าไปคารวะท่านแม่เฒ่าเสร็จแล้ว จึงได้แสร้งไอแค่กๆ สองที ท่านแม่เฒ่ากังวลมาก รีบถามอาการว่านางเป็นอะไร ทัั้งยังให้คนไปเชิญท่านหมอมาตรวจอาการอีก “อย่าได้ป่วยเหมือนนายหญิงสามสกุลหยางเชียว ได้ยินว่าหลายวันนี้พวกเจ้าไปเดินเล่นด้วยกันอยู่”
คนสกุลเฉินค่อนข้างเป็นห่วง จึงพาอวี้ถังกลับไปที่ห้องเซียงฟาง
อวี้ถังรีบปลอบมารดาว่า “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แค่ไม่อยากอยู่ทักทายพวกสกุลใหญ่เท่านั้นเอง”
คนสกุลเฉินคิดว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่ไม่พอใจที่อวี้ถังแสร้งป่วย
อวี้ถังบอกว่า “ก็ข้าไม่มีทางอื่นแล้วนี่เจ้าคะ รอท่านหมอมาก็รู้หมดว่าข้าไม่ได้ป่วย ข้าได้แต่อ้างว่าจะกลับมาพักที่ห้องเซียงฟางแล้ว”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ คนสกุลเฉินได้แต่เออออไป
ท่านหมอมาถึงตรวจอาการเสร็จ บอกว่านางไม่ได้เจ็บป่วย อาจเพราะหลายวันนี้เหนื่อยเกินไป จึงสั่งยาลูกกลอนบำรุงให้ แล้วสั่งให้เล่ยจือนำข่าวไปแจ้งต่อท่านแม่เฒ่า
คนสกุลเฉินรู้สึกผิด จึงตามเล่ยจื่อออกไปเพื่อขอบคุณท่านแม่เฒ่า แต่คล้อยหลังนางไม่เท่าไร อาฝูก็เข้ามาบอกว่าคุณหนูสวีได้ข่าวว่านางไม่ค่อยสบาย จึงอยากจะมาเยี่ยมไข้
อวี้ถังหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมพร้อมคำขอบคุณ แต่คุณหนูสวีก็ยังจะมาอยู่ดี
“ไอหยา เจ้าสมควรจะพักผ่อนให้ดีสิ” นางหันมากะพริบตาใส่อวี้ถัง “ข้างนอกคนตั้งมาก วุ่นวายไปหมด มิสู้อยู่ในห้องของตัวเองดีกว่า”
อวี้ถังหัวเราะพลางรับคำ
คนสกุลเฉินกลับมาแล้ว นางเอ่ยว่า “ท่านแม่เฒ่าเห็นว่าเจ้าไม่เป็นอะไรมากก็ถอนหายใจโล่งอก ให้เจ้าพักผ่อนอยู่แต่ในห้อง วันนี้ไม่ต้องไปร่วมด้วยแล้ว ส่วนพิธีบรรยายธรรมพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก
คุณหนูสวีกระตุกแขนเสื้อคนสกุลเฉินเอ่ยว่า “เช่นนั้นให้น้องอวี้ไปอยู่เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ? นายหญิงสามไม่สบาย ส่วนใหญ่ก็เอาแต่นอนพัก ข้าอยู่คนเดียวน่าเบื่อจะตาย ให้น้องอวี้ไปอยู่เป็นเพื่อนข้านะเจ้าคะ”
คุณสกุลเฉินเดิมก็ชอบความสดใสร่าเริงของคุณหนูสวี นางตอบอนุญาตทันที ทั้งสั่งอวี้ถังว่า “เจ้าไปอยู่กับคุณหนูสวีทางนั้น อย่าได้วิ่งไปทั่ว เดี๋ยวจะไปชนกับแขกเหรื่อของสกุลเผยเข้า เดี๋ยวสกุลเผยจะยุ่งยากอีก”
อวี้ถังมองหน้ายิ้มแย้มเจ้าเล่ห์ของคุณหนูสวี ได้แต่ตอบตกลง แต่ระหว่างทางที่เดินไปยังเรือนพักของคุณหนูสวีกลับเปลี่ยนสีหน้าทันที “ท่านบอกความจริงข้ามา ว่าท่านคิดจะทำอะไรแน่? ไม่อย่างนั้นข้าจะไปพบท่านแม่เฒ่าเดี๋ยวนี้ นางเป็นห่วงสุขภาพข้า เชิญท่านหมอมาตรวจอาการให้ ข้ายังไม่ได้ไปขอบคุณท่านแม่เฒ่าต่อหน้าเลย!”
“เหตุใดเจ้าถึงเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยนักนะ!” คุณหนูสวีบ่นอย่างเคืองๆ “ข้าแค่อยากให้เจ้าอยู่อย่างสงบๆ เจ้าอย่ามองข้ามความหวังดีของข้าสิ นายหญิงน้อยสกุลเผิงคนนั้น ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นเสียเหลือเกิน ที่นายหญิงใหญ่สกุลเผยไม่ได้โผล่หน้า เจ้าไม่คิดว่าแปลกรึ? ได้ยินว่านายหญิงน้อยสกุลเผิงผู้นั้นแต่ก่อนเป็นสหายสนิทกับนายหญิงใหญ่สกุลเผยมาก่อน นางย่อมจะไปเยี่ยมนายหญิงใหญ่สกุลเผยแน่ และอาจจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมา แล้วเจ้าจะต้องเข้าไปอยู่กลางสงครามทำไมเล่า?”
นี่ก็เป็นจุดที่อวี้ถังสงสัยเช่นกัน นางเอ่ยว่า “นายหญิงใหญ่สกุลเผยนี่อย่างไรกัน? นางตั้งหน้าตั้งตาคิดอยากจะไปจากสกุลเผย วางท่าว่าต้องการขีดเส้นแบ่งกับสกุลเผย หรือนางวางแผนว่าต่อไปจะไม่ให้คุณชายใหญ่กับคุณชายรองยอมรับบรรพบุรุษแล้ว?”
ไม่อย่างนั้น ต่อให้นายหญิงใหญ่สกุลเผยจะขีดเส้นแบ่งกับสกุลเผยอย่างไร แต่ในสายตาผู้อื่น นามสกุลเผยก็มิอาจเขียนแยกเป็นสองตัวได้ พวกเขาก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน ทำเช่นนี้มีความหมายใดเล่า?
คุณหนูหัวเราะหึๆ “เจ้าขาดข้าไม่ได้จริงๆ”
อวี้ถังค้อนคุณหนูสวีไปทีหนึ่ง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าไม่คิดจะออกจากเมืองหลินอันเสียหน่อย จะมีท่านหรือไม่แล้วเป็นอย่างไรเล่า?”
คุณหนูสวีโมโห แต่ก็เล่าเรื่องของนายหญิงใหญ่สกุลเผยให้อวี้ถังฟังอย่างอดไม่ไหว “บิดานางอาศัยพึ่งพาสกุลฝั่งมารดามาก ดังนั้นสกุลของนางจึงสนิทกับญาติๆ ฝั่งมารดามากกว่า นายหญิงใหญ่สกุลเผยก็เช่นกัน มักรู้สึกว่าใกล้ชิดกับสกุลฝั่งมารดาของตนมากกว่าฝั่งสามี คิดว่าสกุลฝั่งมารดามีอำนาจมากกว่าสกุลฝั่งสามี บวกกับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยมิใช่คนที่ใครจะตบตาได้ง่ายๆ ความสัมพันธ์ของแม่สามีกับลูกสะใภ้จึงตึงเครียดมาก ข้าว่าเผยสยากวงทำถูกแล้ว นายท่านใหญ่สกุลเผยสิ้นไป ในเมืองหลวงกำลังวุ่นวายหนัก สกุลเผยในเวลานี้ควรก้มตัวให้ต่ำ จัดการเรื่องราวอย่างเงียบเชียบ ไม่ใช่กระเสือกกระสนดึงดัน เร่งเร้าจะให้ลูกหลานไปสอบชิงชื่อเสียงตำแหน่ง ตอนที่นายท่านใหญ่สกุลเผยมีชีวิตอยู่เคยล่วงเกินคนไว้มาก คนตายก็เหมือนตะเกียงที่ดับมอด บางเรื่องทุกคนย่อมไม่อยากสืบสาว แต่ลูกหลานรุ่นหลังของบางสกุลกลับไม่ยอมถอยให้ ดันทุรังจะชิงความสูงต่ำกับพวกเขาให้ได้ เหตุใดผู้อื่นถึงไม่ยอมถอนรากถอนโคนเล่า? หรือจะให้โอกาสได้เติบโตงอกเงยอีก! ดังนั้นถึงได้บอกว่าท่าทีสกุลฝั่งมารดาของนายหญิงใหญ่ใช้ไม่ได้ วิธีของนางรุนแรงเกินไป”
แล้วสกุลเผยก็ไม่เหมือนกับสกุลหยาง
สกุลหยางไม่มีรากฐาน หากไม่ชิงโอกาสนี้มุมานะ ต่อไปคงไม่มีที่ว่างให้สกุลพวกเขายืนอยู่แล้ว
ส่วนสกุลเผยร่ำรวยมาตั้งกี่ชั่วอายุคนแล้ว บัดนี้นายท่านสามยังมีความดีความชอบติดตัว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนปานนั้น
อวี้ถังคิดว่าคุณหนูสวีพูดได้มีเหตุผลนัก
คุณหนูสวีเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นข้าถึงบอกว่าที่นางเห็นเรื่องชื่อเสียงตำแหน่งของบุตรชายมาเป็นอับดับแรกคือสิ่งผิด หากต้องทุ่มเทเวลาและกำลังในตอนนี้ มิสู้ให้คุณชายทั้งสองกับเหล่าท่านอาสนิทสนมกันไว้ อย่างไรความสัมพันธ์ของพวกลุงๆ ฝั่งมารดาก็มีอยู่แล้ว ยังไม่ยอมเชื่อมให้ดีอีก มีท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินอยู่ อย่างไรก็คงไม่ตัดขาดแน่ แต่กับท่านอาฝั่งบิดานั้นไม่เหมือนกัน คุณชายทั้งสองเดิมก็ไม่ได้เติบโตในสกุลเผย ซ้ำพวกเขามิใช่ลูกหลานที่โดดเด่นเก่งกาจที่สุดของสกุลเผยด้วย บิดาไม่อยู่แล้ว มารดาไม่เป็นที่ต้อนรับ แล้วพวกท่านอาท่านลุงทั้งหลายต้องถือสิทธิ์อันใดไปดูแลพวกเขาเล่า?”
อวี้ถังพูดขึ้นบ้างว่า “ใครคือลูกหลานที่เก่งกาจที่สุดของสกุลเผย?”
“เผยฉาน เผยปัวอย่างไรล่ะ!” คุณหนูสวีตอบได้โดยไม่ต้องคิด “มารดาของเผยฉานเหมือนกับท่านแม่เฒ่า มาจากสกุลเฉียนแห่งเฉียนถัง ส่วนมารดาของเผยปัวนั้นเป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกับมารดาของนายหญิงรอง ล้วนแต่เป็นคนของสกุลหลินแห่งจินหลิง สกุลเฉียนคงไม่ต้องเล่าแล้ว สกุลจินก็เป็นครอบครัวชาวนาทว่ามีความรู้ หลายปีก่อนโน้น ตอนที่สกุลสวียังอยู่ที่จินหลิง สองสกุลก็เคยดองกัน ข้ามีย่าสะใภ้น้อยนามสกุลจินคนหนึ่ง แต่ต่อมาลูกหลานของสกุลจินมีน้อย จึงไม่ค่อยไปมาหาสู่ เผยปัวเป็นบัณฑิตที่เก่งกาจมาก แต่เพราะสกุลเผยเก็บตัวเงียบ จึงไม่ค่อยได้ยินชื่อเท่านั้น”
เผยปัวเก่งกาจหรือไม่อวี้ถังไม่รู้ แต่เผยฉานจะสอบจิ้นซื่อได้พร้อมกับเผยถงตอนห้าปีหลังจากนี้ นี่คือสิ่งที่นางรู้
อย่างน้อยนี่ก็พิสูจน์ว่าคุณหนูสวีไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อย
สองคนมาถึงเซียงฟางที่คุณหนูสวีกับนายหญิงสามสกุลหยางพักอยู่
นายหญิงสามสกุลหยางออกมาเจออวี้ถังด้วยสีหน้ามีเลือดฝาด ทั้งยังแต่งหน้าอย่างประณีต
อวี้ถังอดจะประหลาดใจมิได้
ต่อให้นายหญิงสามสกุลหยางแกล้งป่วย ก็ต้องสวมบทบาทให้สมจริงหน่อย แต่ท่าทางของนางตอนนี้ คล้ายว่าไม่กลัวคนอื่นรู้โดยสิ้นเชิง ออกจะ…อวดดีไปหน่อยกระมัง
นายหญิงสามสกุลหยางเหมือนอ่านใจอวี้ถังออก นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มองให้ขาดแต่อย่าพูดให้ชัด คนที่มาไม่มีสักคนเป็นคนโง่ ข้าไม่อยากยุ่งยาก ทั้งไม่ต้องการสร้างความลำบากให้คนอื่น!”
นิสัยซื่อตรงเปิดเผยเช่นนี้ ทำให้อวี้ถังได้เปิดหูเปิดตา ใจตระหนักได้ถึงบางสิ่ง และได้คำตอบสำหรับบางเรื่อง
นางพลันตัดสินใจได้ในทันที
พอออกจากห้องเซียงฟางของนายหญิงสามสกุลหยาง อวี้ถังก็ไปที่ห้องด้านในของคุณหนูสวี
คุณหนูสวีลากนางไปดูน้ำปรุงของตน “วันก่อนบอกให้เจ้าเลือกไปสักหลายกลิ่น สุดท้ายมีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามา จนพาให้เรื่องสำคัญต้องล่าช้าไป เจ้ารีบดูเร็วเข้าว่าชอบกลิ่นไหนหรือว่าขวดไหน ข้าจะมอบให้เจ้า”
————————————————————-