ขวดน้ำปรุงของคุณหนูสวีแต่ละขวดล้วนวิจิตรงดงาม มีทั้งขวดใหญ่เท่าขวดสุราไปจนถึงเล็กเท่าเล็บนิ้วมือ ด้านในมีสีทองอ่อนไม่ก็สีทองเข้มไหลวนอยู่ ดูเปล่งประกายแวววาวคล้ายสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง
คุณหนูสวีลากอวี้ถังมานั่งบนเตียง แล้วชี้ไปที่ขวดน้ำปรุง “เจ้าลองดมดูสิ”
อวี้ถังไม่ได้เกรงใจนาง หยิบขึ้นมาดมทีละขวด ยังถามอีกว่า “เจ้าคิดว่าขวดไหนหอมที่สุด?”
คุณหนูสวีเลือกหนึ่งขวดส่งให้นาง “กลิ่นดอกไป่เหอ[1] ข้าคิดว่ากลิ่นนี้หอมที่สุด”
อวี้ถังกลับชอบกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้มากกว่า
คุณหนูสวียกทั้งสองขวดให้อวี้ถังอย่างใจกว้าง “ความจริงข้าเตรียมไว้มอบเป็นของขวัญให้เหล่าคุณหนูสกุลเผยน่ะ”
อวี้ถังเห็นด้วยอย่างยิ่ง
คุณหนูสวีจึงสั่งให้อาฝูห่อขวดน้ำปรุงที่เหลือให้เรียบร้อย
อวี้ถังรู้สึกว่าน่าสนุก จึงช่วยอาฝูห่อขวดน้ำปรุงด้วย
คุณหนูสวีก็เป็นผู้ช่วยอยู่ข้างๆ ทางหนึ่งช่วยห่อของ ทางหนึ่งก็พูดกับนางว่า “วันนี้เจ้าคิดจะอยู่ในห้องทั้งวันเลยรึ? ถ้าไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นก็มาอยู่เป็นเพื่อนข้าดีกว่า ข้าได้ยินว่าเจ้าทำดอกไม้ผ้าเก่งมาก เจ้าสอนข้าบ้างสิ ถึงเวลานั้นข้าจะได้ทำออกมาสักหลายดอกไว้ไปเอาใจท่านแม่ข้าบ้าง”
แผนเดิมของอวี้ถังคือการคัดลอกหนังสือสวดมนต์
คุณหนูสวีอาจเพราะต้องการลากนางมาอยู่เป็นเพื่อน คิดว่าไม่เป็นปัญหาอะไร จึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเราคัดลอกหนังสือสวดมนต์สักสองสามหน้าดีไหม อย่างไรข้าก็ว่างอยู่แล้ว”
อวี้ถังเม้มปากแล้วหัวเราะ
คุณหนูสวีสั่งให้อาฝูไปส่งขวดน้ำปรุง จากนั้นก็งับประตูปิดแล้วเข้าประชิดตัวนาง พลันกระซิบถามทันทีว่า “เจ้ากับเผยสยากวงนี่อย่างไรกัน? ข้าว่าเจ้ากับเขาดูสนิทกันไม่น้อย!”
อวี้ถังมองหน้าคุณหนูสวีทีหนึ่ง
ที่เอาแต่ยื้อนางไว้ไม่ยอมปล่อย ที่แท้เพราะมีหลุมพรางรอนางอยู่นี่เอง
นางตอบว่า “พวกเราสองสกุลไปมาหาสู่กัน รู้จักกันตั้งนานแล้ว มีอะไรให้น่าแปลกใจ?”
แต่การไปมาหาสู่ที่ว่านี้หมายถึงสกุลอวี้รู้จักสกุลเผยแค่ฝ่ายเดียว ส่วนที่ว่ารู้จักกันตั้งนานก็เริ่มนับตั้งแต่ชาติก่อน
ดวงตาไข่มุกของคุณหนูสวีกลอกไปมา “แต่พวกเจ้าสองคนออกจะสนิทกันเกินไปหน่อยกระมัง? เจ้าไม่เห็นว่าพอเจ้าเดินกลับไป ท่าทางของเผยสยากวงนั้น… เหอะๆ คล้ายว่าจู่ๆ ก็ถอดหน้ากากโยนทิ้งอย่างนั้น บนหน้ามีทุกอารมณ์ตีกันวุ่น ทั้งยังเตะต้นการบูรเก่าแก่ต้นนั้นอย่างไร้มารยาท เหมือนพวกจับกังที่คลุ้มคลั่งไม่มีผิด ทำลายชื่อเสียงอันสง่างามของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี”
อวี้ถังมองคุณหนูสวีอย่างเคลือบแคลง “เจ้าไปเห็นข้ากับนายท่านสามที่ใดกัน? นายท่านสามถึงกับเตะต้นการบูรด้วย เป็นไปไม่ได้หรอก”
ในสายตานาง นางไม่มีค่าพอให้เผยเยี่ยนเดือดดาลได้
นึกถึงตอนแรก นางแอบอ้างใช้ชื่อของสกุลเผย เผยเยี่ยนยังแค่อบรมนางนิดหน่อยแล้วโยนเรื่องนี้ทิ้งอย่างไม่ไยดี
ที่คุณหนูสวีพูดถึงคงไม่ใช่เรื่องเมื่อวานตอนบ่ายกระมัง?
คุณหนูสวีเห็นทุกอย่างเลยรึ? ทำไมนางถึงไปอยู่ที่นั่น? ในเมื่ออยู่ตรงนั้น ทำไมถึงไม่ยอมออกมาทักทายนาง?
คุณหนูสวีหน้าไม่แดงใจไม่สั่น ไร้ซึ่งท่าทีละอายของคนแอบมองโดยสิ้นเชิง “เมื่อวานข้ามิใช่มีเรื่องอยากจะเตือนเจ้าหรอกรึ? คิดไม่ถึงว่าจะเจอเจ้ากับเผยสยากวงคุยกันอยู่ ข้ากำลังลังเลต้องต้องเข้าไปทักทายพวกเจ้าหรือไม่ แต่พวกเจ้าก็เริ่มทะเลาะกัน ข้ายิ่งไม่กล้าโผล่ออกไป ได้แต่ยืนรออยู่ข้างๆ สุดท้ายเจ้ากับเผยสยากวงแยกย้ายไปด้วยความโมโห เผยสยากวงเดินหนีเลือดขึ้นหน้า เจ้าก็ปิดประตูเสียงดัง ‘ปัง’ ต่อให้ข้าอยากเจอเจ้าแต่จะทำอะไรได้! จึงต้องมาถามเจ้าวันนี้แทนอย่างไรล่ะ”
พูดได้น่าสงสารเสียเหลือเกิน
ความจริงเมื่อวานพอนางเห็นเผยเยี่ยนกับอวี้ถังยืนคุยกันก็รีบหลบไปด้านข้าง…
อวี้ถังมองคุณหนูสวีด้วยความระแวง
คุณหนูสวีรีบร้องหาความเป็นธรรมว่า “ข้ามิใช่พวกลิ้นยืดยาวเสียหน่อย เห็นพวกเจ้าสองคนทะเลาะกันมีอะไรให้เอาไปพูดต่อได้?”
อวี้ถังไม่เชื่อนางสักนิด
คุณหนูสวีเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง เพราะอยากรู้ว่าเผยเยี่ยนหน้าตาเป็นอย่างไร นางถึงขนาดตามนายหญิงสามสกุลหยางมาที่วัดเจาหมิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เห็นตนกับเผยเยี่ยนทะเลาะกัน?!
อวี้ถังไม่มีทางบอกอะไรนางแน่!
แต่นางคิดว่าตนต้องรีบไปเจอเผยเยี่ยนอีกสักครั้ง แล้วบอกเรื่องที่ว่าสุดท้ายองค์ชายพระองค์ใดเป็นผู้ชนะให้เผยเยี่ยนฟัง
น่าเสียดาย นางไม่รู้จะใช้ข้ออ้างไหนในการเอ่ยเตือนเขา
อวี้ถังค่อนข้างผิดหวัง
คุณหนูสวียังติดใจเรื่องที่เผยเยี่ยนกับอวี้ถังทะเลาะกัน นางลดเสียงแล้วกระซิบข้างหูอวี้ถังว่า “เจ้าบอกข้ามาตามจริง เจ้ากับเผยสยากวงสนิทกันมากเกินปกติใช่หรือไม่? เจ้าอย่าหาว่าข้าปากมาก คนอย่างเขา เลือดเย็นไร้น้ำใจจะตายไป หรือเขาทำสิ่งใดล่วงเกินเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องข่มกลั้นเอาไว้ ยิ่งอดทน คนประเภทเขาก็จะยิ่งดูถูกเจ้ากว่าเดิม เจ้าต้องพูดคุยและถกเถียงกับเขาซึ่งๆ หน้า…”
อวี้ถังรีบตัดบทนางทันที “เจ้าต้องการจะบอกอะไรกันแน่? นายท่านสามมีบุญคุณต่อสกุลข้า ทั้งเขายังเป็นผู้อาวุโสกว่าข้า เวลาเขาพูดข้าต้องหยุดฟังอยู่แล้ว จะให้ตีฝีปากกับเขาเหมือนอย่างที่เจ้าบอกได้อย่างไร?” พูดถึงตรงนี้ นางก็โพล่งไปว่า “เจ้าคงไม่ได้เข้าใจผิดคิดว่าข้ากับนายท่านสามมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันใช่หรือไม่?”
สิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ส่วนตัว เป็นวิธีการพูดให้น่าฟัง มิสู้เรียกตรงๆ ว่าคบหา
คุณหนูสวีคิดเชื่อเช่นนั้นอยู่จริงๆ เสียด้วย
แต่นางคิดว่าสกุลของอวี้ถังอ่อนแอเกินไป ต่อให้เผยเยี่ยนจะชอบพออวี้ถัง ทว่าเมื่ออวี้ถังแต่งเข้าสกุลเผยก็ต้องถูกเอาเปรียบแน่ มิใช่คู่หมายที่ดีเท่าไรนัก
อีกอย่างเผยเยี่ยนไม่แน่ว่าจะต้องการแต่งกับอวี้ถังจริงๆ
นางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าคิดว่าเผยเยี่ยนผู้นี้มิใช่คนดี สกุลเจ้าจำเป็นต้องให้บุตรเขยแต่งเข้าอย่างเดียวรึ? ความจริงพวกเราสกุลสวีกับสกุลหยางมีเด็กชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าตั้งหลายคน หากว่าเจ้าแต่งออกได้ ข้าจะไปพูดกับนายหญิงสามให้เอง นางชอบเป็นแม่สื่อที่สุดแล้ว!”
อวี้ถังอายจนหน้าซับสีเลือด ร้อง ‘เหอะ’ ออกมาเสียงหนึ่ง “ข้าไม่คุยเรื่องเหลวไหลกับเจ้าแล้ว เจ้าจะยังคัดหนังสือสวดมนต์อยู่หรือไม่? ถ้าเจ้าไม่คัด ข้าก็จะกลับแล้ว ข้าวางแผนจะคัดบทที่สองวรรคที่สามของ ‘อาหมีถัวจิง[2]’ ให้จบ”
คุณหนูสวีได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจ รีบดึงแขนเสื้อของอวี้ถังไว้ “น้องอวี้ ข้าชอบเจ้ามาก คิดว่าเจ้าเป็นคนสบายๆ ตรงไปตรงมา ไม่เหมือนกับเด็กผู้หญิงคนอื่น ดังนั้นจึงได้พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ชีวิตของเราเราต้องเป็นคนใช้เอง จะตามใจใครไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้เป็นบิดามารดาก็เถอะ มีบางเรื่อง หากต้องออกไปต่อสู้เจ้าก็ต้องไปแย่งชิงมา ไม่มีทางที่เราจะได้สิ่งใดมาโดยง่ายดายแน่”
คำพูดนี้ของนาง ไม่เพียงบอกอวี้ถังว่าสามารถต่อสู้เรื่องออกเรือนได้ ทั้งยังบอกนางเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเผยเยี่ยน…หากว่าเผยเยี่ยนไม่จริงใจต่อนาง นางก็สามารถออกไปต่อสู้เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการเช่นกัน
นี่เป็นวาจาจากใจ
“แน่นอนว่างานแต่งของข้ากับอินหมิงหย่วนนั้น สกุลข้าต่างก็เห็นชอบ” คุณหนูสวีเอ่ยอย่างจริงจัง “ตอนแรกข้าไม่ยินยอม ยืนกรานจะให้ถอนหมั้นอย่างเดียว ภายหลังข้าเห็นว่าอินหมิงหย่วนจริงใจต่อข้า คิดว่าแต่งให้เขาก็คงไม่แย่เท่าไร สุดท้ายมารดาข้ากลับบอกว่าไม่ดี เลือกโน่นบ่นนี่สารพัด ตอนแรกข้าก็เอนเอียงเหมือนกัน แต่ต่อมาข้าพบว่า สิ่งที่มารดาข้าต้องการมิใช่สิ่งที่ข้าต้องการทั้งหมด ข้าจึงดึงดันจะเข้าพิธีกับอินหมิงหย่วนให้ได้ ข้ารู้ว่าลูกต้องกตัญญูต่อบิดามารดา แต่อย่ากตัญญูอย่างโง่เง่าเด็ดขาด พวกเขาอยากให้เขยชายแต่งเข้าเรือน ก็แค่กลัวว่ากิจการของสกุลจะไม่มีคนสืบต่อ ไม่มีใครเลี้ยงดูพวกเขายามแก่เฒ่า แต่ถ้าเจ้าอยากจะรั้งตัวอยู่ที่บ้านก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเจ้าไม่ต้องการ ก็ต้องคิดหาทางแก้ปัญหาสองข้อนี้ให้ได้ ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังพ่อแม่ทั้งหมด”
“ยังมีอีกนะ บางคนชอบเอาคำว่า ‘คู่ควร’ กับ ‘ไม่คู่ควร’ มาตัดสิน แต่ในสายตาข้า ไม่ว่าจะ ‘คู่ควร’ หรือ ‘ไม่คู่ควร’ ก็ตาม อันดับแรกต้องดูว่าเจ้าต้องการมันหรือไม่ หากว่าเจ้าต้องการ ก็อย่าได้ยอมแพ้เพียงเพราะ ‘ไม่คู่ควร’ แต่ตอนที่เจ้าต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มา ก็มิใช่ว่าจะดื้อดันทุกทางจนไม่สนใจความรู้สึกผู้อื่น ไม่อย่างนั้นตนเองก็จะเจ็บช้ำน้ำใจ ผู้อื่นก็พลอยลำบากไปด้วย!”
“ที่ข้าพูดมานี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
คุณหนูสวีร้อนรนจนเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก สีหน้าบอกชัดว่าอยากจะสลักคำเหล่านี้ไว้ในสมองนางให้จงได้
คำพูดเช่นนี้อวี้ถังเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
นางนึกถึงเรื่องที่นายหญิงสามสกุลหยางแกล้งป่วยอย่างองอาจเปิดเผย
ใช่หรือไม่ว่าหญิงสาวในสกุลใหญ่มักมีความมั่นใจเช่นนี้?
อวี้ถังมองไปที่คุณหนูสวี
ดวงตานกการเวกของคุณหนูสวีเบิกกว้าง ความจริงมันก็ไม่ได้กลมโตสักเท่าไร แต่นัยน์ตากลับล้นเปี่ยมด้วยความกังวลและร้อนใจ เห็นชัดถึงความห่วงใยและซื่อตรงของนาง
ไม่ใช่
กู้ซีไม่ได้เป็นคนแบบนี้
คุณหนูสวี นายหญิงสามสกุลหยาง ต่างเป็นสตรีสูงศักดิ์จากสกุลใหญ่ที่ต่างออกไป
หัวใจของอวี้ถังอุ่นวาบ นางอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้าเพิ่งเคยได้ยินคนพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่เจ้าวางใจได้ คำของเจ้าข้าจะเก็บเอาไปคิดอย่างละเอียดเลย”
คุณหนูสวีถอนหายใจเฮือก
นางปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจยิ่ง แต่บางครั้งผู้อื่นก็ไม่แน่ว่าจะต้องการความจริงใจนี้
อวี้ถังสามารถรับรู้ความหวังดีของนางได้ นางรู้สึกดีใจนัก
นางเอ่ยย้ำหนักๆ อีกครั้งว่า “เจ้าก็ไม่ต้องฝืนตัวเองมากหรอก หากว่างานแต่งของเจ้าไม่ราบรื่น เจ้าสามารถเขียนจดหมายถึงข้าได้ ข้าจะช่วยเจ้าหาผู้อื่นที่เหมาะสมให้เอง”
คุณหนูสวีวางท่าเหมือนแม่สื่อแม่ชัก จนอวี้ถังต้องปล่อยเสียงหัวเราะดังๆ ออกมา
คุณหนูสวีอับอายจนพาลโมโห แกล้งจั๊กจี้ที่รักแร้ของอวี้ถัง “ดูสิว่าเจ้ายังจะกล้าหัวเราะข้าอีกไหม”
อวี้ถังหลบไม่พ้น ได้แต่ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปด้านนอก
คุณหนูสวีมีหรือจะปล่อยนางไป จึงวิ่งไล่ตามอยู่ข้างหลัง ทั้งตะโกนว่า “อย่าให้ข้าจับได้เชียวนะ ไม่อย่างนั้นจะลงโทษเจ้าให้ช่วยข้าคัดหนังสือสวดมนต์สามหน้าเลย”
สองคนวิ่งไล่กันรอบเรือนเสียงเอะอะ ด้านหน้าพลันเผชิญกับกลุ่มสตรีที่อ้าปากค้าง
หัวใจของอวี้ถังสะท้านวูบ รีบกระแอมเสียงในลำคอ และหยุดกึกพลางวางท่าสงบเสงี่ยมเรียบร้อย นางจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมด้วยท่วงท่าสง่างาม ทว่าในใจกร่นด่าไม่หยุดว่า ‘คนมาจากไหนเป็นโขยง มาเยือนเรือนผู้อื่นมิรู้จักส่งเทียบเชิญหรือให้สาวใช้ไม่ก็หญิงรับใช้ข้างกายมาแจ้งล่วงหน้าหรือ เดินดุ่มๆ เข้ามาเยี่ยงนี้ ออกจะไร้การอบรมเกินไปหน่อยกระมัง’
ส่วนทางคุณหนูสวีนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น
นางก็ไม่ต่างกับอวี้ถัง รีบจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ สายตากวาดมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างว่องไว
คนที่อยู่หน้าสุดคือพี่สาวในสกุลของนางเอง หลานสะใภ้รองสกุลเผิงตามอยู่ด้านหลัง นอกจากคุณหนูสองคนจากสกุลซ่งกับคุณหนูสกุลเผิงแล้ว ยังมีอีกสองคนที่นางไม่รู้จัก
หนึ่งในนั้นเป็นคนที่มีอายุไล่เลี่ยกับนาง สวมเสื้อคลุมตัวนอกสีเขียวหยก ติดเครื่องประดับผมไข่มุก กิริยางดงามเคร่งขรึม สุขุมใจเย็น อีกคนอายุน่าจะพอๆ กับอวี้ถัง สวมเสื้อคลุมตัวนอกสีฟ้าขลิบทอง ปักผมด้วยปิ่นหยก ดูสูงศักดิ์เยือกเย็นเฉกดอกโบตั๋น นับเป็นโฉมงามคนหนึ่ง
คุณหนูสวีก้าวขึ้นไปหลายก้าวเพื่อยืนเคียงข้างอวี้ถัง “ท่านพี่ มาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ? เหตุใดไม่ให้สาวใช้หรือหญิงรับใช้มาแจ้งก่อน ข้าจะได้เตรียมขนมน้ำชาไว้รับรองพวกท่าน!”
แฝงนัยตำหนิเล็กๆ ว่านางมาเยือนโดยมิได้รับเชิญ
สีหน้าของหลานสะใภ้รองสกุลเผิงค่อนข้างขาวซีด เปิดปากอย่างไม่เกรงใจว่า “ข้าได้ยินว่านายหญิงสามป่วย จึงตั้งใจมาเยี่ยมไข้ ดูจากท่าทางของน้องสาวแล้ว คิดว่านายหญิงสามคงไม่เป็นอะไรมาก ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก พวกเราคงไม่ลำบากรีบร้อนมาถึงนี่ ไม่สู้คอยกตัญญูท่านแม่เฒ่าและนายหญิงทั้งหลายอยู่ทางโน้นดีกว่า”
ลำบากนางต้องมาเห็นหน้าสวีเซวียนผู้นี้อีก
แต่เมื่อคนมาแล้ว จะให้ไล่ออกไปก็คงไม่ได้
คุณหนูสวีไม่ต้องการให้ชื่อเสียงเหม็นเน่า จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านพี่มาช้าไปหน่อย นายหญิงสามนอนพักแล้ว” ก่อนจะร้องเรียกสาวใช้แล้วสั่งว่า “ไปเตรียมน้ำชาของว่างด้วย”
—————————————-
[1]ไป่เหอ คือ ดอกลิลลี่
[2]อาหมีถัวจิง คือ สุขาวดีวยูหสูตร บางครั้งเรียกว่าพระสูตรน้อย หลักการสำคัญของพระสูตรนี้คือคำ 3 คำ นั่นคือการตั้งจิตให้มีศรัทธา ปณิธาน ปฏิบัติในพระอมิตาภะและความตั้งใจมั่นที่จะไปเกิดในสุขาวดี