หลานสะใภ้รองสกุลเผิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่การมาเยี่ยมไข้เป็นความคิดของนาง เวลานี้ไม่สะดวกจะพาคนจากไปทันที จึงได้แต่บอกกับคนที่อยู่รอบกายเสียงเบาว่า “นางเป็นน้องเล็กสุดในสกุล ถูกตามใจจนเคยตัว ต้องลำบากพวกเจ้าช่วยอดทนนางหน่อย นายหญิงสามสกุลหยางนั้นอบอุ่นรอบคอบ ถือเสียว่าเห็นแก่หน้านางก็แล้วกัน”
ทุกคนต่างพยักหน้า คิดว่าแม้จะไม่มีวาจาประโยคนี้พวกนางก็ได้แต่อดทนอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไรได้เล่า? ให้ตีฝีปากสู้กับคุณหนูสวีรึ? นางเป็นถึงคุณหนูสกุลสวีแห่งเมืองหลวง อีกไม่นานก็จะแต่งเข้าสกุลอิน นอกจากพวกนางไม่คิดอยู่ในฐานะสังคมนี้แล้ว มิเช่นนั้นไม่ใช่เพียงต้องเจอกับคุณหนูสวี ยังมีญาติพี่น้องของสกุลสวีอีก พวกนางไม่จำเป็นต้องยั่วโมโหคุณหนูสวีเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้
อีกอย่าง ผู้อื่นก็มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น
คุณหนูที่งดงามสูงส่งดั่งดอกโบตั๋นผู้นั้นมิได้โกรธเคือง ไม่เพียงไม่ถือสา ยังฉีกยิ้มหวานแล้วก้าวเข้าไปหา เอ่ยทักทายคุณหนูสวีก่อนว่า “คุณหนูสวี ข้านามสกุลอู่ เป็นคนของสกุลอู่แห่งหูโจว ตอนที่ไปคารวะท่านแม่เฒ่าเพิ่งรู้ว่านายหญิงสามไม่สบาย จึงได้ติดตามหลานสะใภ้รองสกุลเผิงมาด้วย จะว่าไป สกุลเรากับสกุลหยางก็มิใช่คนอื่นคนไกล น้องสาวคนเล็กของน้าหญิงข้าแต่งให้กับสกุลหยาง หากไล่ลำดับแล้ว ข้ายังต้องเรียกนายหญิงสามว่าท่านอาด้วย!”
สกุลอู่พยายามซักฟอกสกุลของตนให้ขาวสะอาดตั้งนานแล้ว จึงทุ่มสินเดิมมหาศาลให้บุตรสาวแต่งออกไป แน่นอนว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคือคุณหนูใหญ่ที่แต่งให้สกุลเจียง
คุณหนูสวีนึกออกในทันทีว่าน้องสาวคนเล็กของน้าหญิงที่ว่านั้นแต่งให้ใครในสกุลหยาง
นางอดจะมองคุณหนูอู่ผู้นี้อีกหลายทีไม่ได้
พอเปิดปากก็บอกทันทีว่าติดตามนายหญิงน้อยของคุณชายรองสกุลเผิงมาด้วย ปัดเรื่องมาเยือนโดยไม่บอกกล่าวทิ้งให้นายหญิงน้อยของคุณชายรองสกุลเผิงทันที น่ากลัวจะไม่ใช่คนน่าคบหาสักเท่าไร
เมื่อมองไปยังญาติผู้พี่คนนั้นของนางอีกที สีหน้านางไม่ค่อยจะน่ามองนัก
คงคาดไม่ถึงว่าคุณหนูอู่จะกล้าหาญเพียงนี้กระมัง?
นี่นับว่าย้ายก้อนหินมาทับเท้าตนเองจริงๆ!
คุณหนูสวีคิดแล้วก็อดสะใจไม่ได้ มองคุณหนูอู่แล้วสบายลูกตาขึ้นเยอะ ท่าทางเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นมา แล้วเอ่ยกับคุณหนูอู่ด้วยรอยยิ้มแฉ่งว่า “ช่างบังเอิญนัก!” จากนั้นก็ย้ายสายตาไปอยู่ที่หญิงสาวแปลกหน้าอีกคนซึ่งมาพร้อมกับคุณหนูอู่
คุณหนูอู่รีบร้อนแนะนำทันที “ท่านนี้คือคุณหนูกู้ คนของสกุลกู้แห่งหังโจว พี่ชายนางคือใต้เท้ากู้ที่เป็นเจ้ากรมอยู่สำนักตรวจการอย่างไรเล่า”
“น้องสาวของกู้เจาหยาง?!” คุณหนูสวีค่อนข้างประหลาดใจ หลังจากใคร่ครวญไม่นานก็คิดว่าสมเหตุสมผล
สกุลกู้เพิ่งจะหมั้นหมายกับสกุลเผย ถือโอกาสนี้ให้สองฝ่ายได้เห็นหน้าค่าตากัน บ่มเพาะความรู้สึก ไม่เพียงคุณหนูกู้ที่มาด้วย คุณชายใหญ่ของสกุลเผยนามว่าเผยถงผู้นั้นก็คงปรากฏตัวที่พิธีสนทนาธรรมเช่นกัน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเผยถงผู้นั้นจะมีหน้าตาเหมือนคนสกุลเผยหรือค่อนไปทางสกุลหยางกันแน่…สกุลเผยกับสกุลหยางล้วนขึ้นชื่อเรื่องชายงาม แต่ว่าบุรุษของสกุลหยางแม้เครื่องหน้าจะงดงาม ทว่าแต่ละคนกลับมีลักษณะท่าทางต่างกันไป ไม่เหมือนบุรุษสกุลเผยที่ล้วนสง่างาม ใจเย็นสูงส่ง น่ามองน่าพิศกว่ามากนัก
ในใจนางคิดไปเรื่อยเปื่อย สีหน้ากลับไม่ได้แสดงออก แล้วทักทายกู้ซีด้วยรอยยิ้ม
กู้ซีมองคุณหนูอู่ทีหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มถามคุณหนูสวีว่า “ท่านรู้จักพี่ชายข้า?”
คุณหนูสวีเอ่ยว่า “อินหมิงหย่วนกับพี่ชายเจ้ารู้จักกันเป็นการส่วนตัว”
นางคล้ายจะวางตัวใกล้ชิดกับกู้ซีมากกว่าคุณหนูอู่เล็กน้อย
กู้ซีฉีกยิ้มแล้วเอ่ยทักทายอวี้ถัง “คิดไม่ถึงว่าจะเจอคุณหนูอวี้ที่นี่? เจ้ามากับเหล่าสตรีสกุลเผยรึ? แล้วธูปหอมของเจ้าทำออกมาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดหรือไม่?”
อวี้ถังคาดไม่ถึงว่ากู้ซีเพิ่งจะมาถึงก็สนิทสนมกับเหล่าคุณหนูสกุลใหญ่แล้ว แต่ก่อนนางเป็นพวกเย่อหยิ่ง ไม่คบหากับใครง่ายๆ ทว่า อาจเพราะชาติก่อนคนที่ไปมาหาสู่ด้วยล้วนเป็นคุณหนูของคหบดีเมืองหลินอัน ไม่เหมือนตอนนี้ ล้วนเป็นคุณหนูจากสกุลใหญ่อันดับหนึ่งสองในแถบเจียงหนานทั้งสิ้น
ทว่า กู้ซีก็ยังเหมือนกับชาติที่แล้ว เจอหน้าก็ชอบพูดจาเสียดสีนาง ราวกับว่าหากไม่เหยียบนางให้จมดินไว้คนจะไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขได้แบบนั้น
ได้ยินกู้ซีเอ่ยเช่นนั้น สายตาของเหล่าสตรีทั้งหลายจึงพุ่งไปที่ร่างของอวี้ถังทันที
คุณหนูสกุลซ่งคาดว่าจะรู้จักเครือญาติของสกุลเผยเป็นอย่างดี นางรู้ว่าอวี้ถังมิใช่ญาติที่มาจากการเกี่ยวดองของสกุลเผยแต่อย่างใด บวกกับสกุลซ่งแต่ไรก็เป็นมองสูงเย่อหยิ่ง พูดจาก็ไม่เคยสนใจสีหน้าใครทั้งสิ้น คุณหนูหนึ่งคนในนั้นโพล่งถามกู้ซีทันทีว่า “คุณหนูอวี้เป็นคุณหนูจากสกุลใดรึ? และเรื่องธูปหอมนี่มันคือเรื่องอะไร? หรือว่าคุณหนูอวี้เป็นคนที่สกุลเผยเชิญมาให้ทำธูปหอม?”
กู้ซีรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มิใช่ๆ” จากนั้นก็เล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวให้ฟังรอบหนึ่ง เผยฐานะภูมิหลังของอวี้ถังให้เหล่าสตรีที่อยู่ตรงนั้นได้ฟังราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจ
คุณหนูจากสกุลใหญ่ทั้งหลาย รวมทั้งหลานสะใภ้รองสกุลเผิงต่างก็มองอวี้ถังด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม
ราวกับมองคุณหนูของพวกคหบดีที่ดำรงอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาสกุลใหญ่ของพวกนาง คุณหนูสกุลเผิงถึงกับทำท่ามองไม่เห็นอวี้ถัง เพียงเดินขึ้นไปคารวะทักทายคุณหนูสวีเท่านั้น
คุณหนูสวีเห็นทุกอย่างในสายตา ในใจไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด
คิดว่าชื่อเสียงที่ได้ยินมาของกู้ซีไม่อาจเทียบตัวจริงที่ได้พบ หาได้มีน้ำใจดีงามแม้เพียงครึ่งหนึ่งของกู้เจาหยางไม่
ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถูกเลี้ยงออกมาให้มีนิสัยเช่นนี้
นางเอื้อมมือไปคล้องแขนอวี้ถังทันที เอ่ยกับทุกคนว่า “ทุกคนเข้าไปนั่งในเรือนเถอะ! ยืนคุยกันตรงนี้ก็มิใช่เรื่อง”
คุณหนูและนายหญิงน้อยทั้งหลายได้ฟังก็หัวเราะยกใหญ่
ทุกคนเดินตามกันเข้าไปที่ห้องโถง
สาวรับใช้ของคุณหนูสวียกน้ำชาเข้ามา ทุกคนแยกย้ายกันนั่งตามลำดับศักดิ์
อวี้ถังกับกู้ซีนั่งลงตรงข้ามกันพอดี
กู้ซีเห็นแล้วก็รู้สึกรำคาญใจ
ทำไมไปตรงไหนก็เจอแต่คุณหนูอวี้ผู้นี้
อวี้ถังเองก็ไม่ได้อารมณ์ดีมากไปกว่ากัน
ทำไมไปตรงไหนก็เจอแต่กู้ซีอยู่เรื่อย
ต่อไปกู้ซีต้องแต่งมาอยู่ที่หลินอัน คงจะไม่เหมือนเมื่อชาติก่อน ที่ต้องพัวพันจนตัดไม่ขาดกับนางกระมัง?
สองคนมองหน้ากันแล้วนึกรังเกียจ
โดยเฉพาะอวี้ถัง คิดว่าคนพวกนี้แสดงออกชัดเจนว่าดูถูกนาง นางไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองเจ็บช้ำโดยการเข้าหาคนพวกนี้ อย่างไรเสียชั่วชีวิตนี้นางก็คงไม่ได้เจอพวกนางอีกแล้ว แต่ถ้านางเดินออกไปเช่นนี้ อาจทำให้ตนเองเจ็บคนเกลียดชอบ ทำไมนางต้องข่มกลั้นตัวเองไว้เพื่อให้ผู้อื่นสะใจด้วยเล่า?
อวี้ถังตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะอยู่ต่อ สมควรทำสิ่งใดก็จะทำสิ่งนั้น!
คุณหนูสวียังอยากถกเรื่องเผยเยี่ยนกับอวี้ถังต่อ คิดเพียงจะรีบไล่กลุ่มคนที่อ้างว่ามาเยี่ยมไข้ให้ออกไปจากที่นี่โดยเร็ว พอนั่งลงได้ก็โพล่งออกมาอย่างไร้ความเกรงใจว่า “นายหญิงสามเพิ่งจะนอนพัก พวกเราเวลานี้ก็อย่าเพิ่งไปรบกวนนางเลย ต่อให้นางตื่นแล้ว ข้าค่อยบอกนางว่าทุกคนมาเยี่ยม”
ที่คนพวกนี้มาที่นี่ก็เพราะต้องการมาเสนอหน้าให้นายหญิงสามเห็น ผูกไมตรีกับสวีเซวียนไว้สักหน่อย หากว่ากลับไปแบบนี้ มิใช่เดินมาเสียแรงเปล่าหรือ? นับว่าเปลืองแรงยั่วยุหลานสะใภ้รองสกุลเผิงไปรอบหนึ่ง
คุณหนูหกสกุลซ่งเอ่ยว่า “นายหญิงสามหลับแล้วก็ดี พวกเราจะได้สนทนากับคุณหนูสวีสักพัก”
คุณหนูเจ็ดสกุลซ่งรีบเสริมว่า “นายหญิงสามดีขึ้นแล้วหรือไม่? ท่านหมอมาตรวจอาการแล้วหรือยัง ตอนที่พวกเราเดินทางมาก็เตรียมยากับสมุนไพรมาด้วย อีกเดี๋ยวข้าให้หญิงรับใช้ข้างกายท่านย่าส่งรายการมาให้แผ่นหนึ่ง เจ้าลองดูว่ามีตัวไหนที่สามารถใช้ได้บ้าง”
วาจานี้ช่างพูดได้จับใจเหลือเกิน
คุณหนูสวีกับคุณหนูสกุลซ่งไม่เคยไปมาหาสู่กัน ทั้งไม่รู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อาจตัดสินผู้อื่นจากการพบกันเพียงครั้งเดียวได้ หากเบื้องหน้ามีมารยาทต่อกัน นางย่อมปฏิบัติต่อผู้นั้นด้วยความเกรงใจยิ่งกว่า “ขอบคุณคุณหนูเจ็ดมาก แต่แค่ถูกไอเย็นทั่วไปเท่านั้น ท่านหมอไม่ได้สั่งยาด้วยซ้ำ เพียงให้พักผ่อนดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ ทำตัวให้อุ่นสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว นายหญิงสามเมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท วันนี้ร่างกายจึงค่อนข้างเหนื่อยอ่อน เมื่อครู่เพิ่งจะหลับไปนี่เอง”
ทุกคนต่างบอกว่าโล่งอก
ในเมื่อกู้ซีติดตามมาด้วย ย่อมคิดจะสานไมตรีกับคุณหนูสวีอยู่แล้ว แต่นางฉลาดกว่าคุณหนูสกุลซ่ง รู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้นางไม่มีโอกาสกระชับความสัมพันธ์ให้คืบหน้าแน่ ที่นางได้ติดตามมาด้วยก็นับว่าเป็นความบังเอิญ เพราะเจอกันระหว่างทาง คุณหนูสกุลซ่งวางท่าเป็นห่วงเป็นใยนายหญิงสามสกุลหยาง ถ้านางไม่มาด้วยก็ไม่เหมาะสม อีกอย่างนางก็มีเจตนามาหยั่งเชิงดูก่อนว่าคุณหนูสวีผู้นี้มีนิสัยใจคออย่างไร
หากว่าอวี้ถังไม่อยู่ตรงนี้ด้วยก็คงดี
นางรู้สึกไม่ถูกชะตากับอวี้ถัง ทุกครั้งที่เจออวี้ถังมักไม่เคยมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น
กู้ซีขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายคร้านจะเห็นหน้าอวี้ถัง ก่อนกระซิบบอกคุณหนูอู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ “พวกเรากลับก่อนดีหรือไม่? มาเอะอะเสียงดังที่นี่ ไม่เป็นผลดีต่อการพักผ่อนของนายหญิงสามเลย!”
คุณหนูอู่คิดว่าควรหาโอกาสอื่นมาเยี่ยมคุณหนูสวีกับนายหญิงสามสกุลหยางเป็นการส่วนตัวใหม่ พาคนสกุลซ่งที่โง่เง่าสองคนมาด้วยเช่นนี้ ทำเรื่องใดคงไม่สำเร็จ ไม่แน่อาจถูกสองคนนี้ปากโป้งออกไป จนผู้อื่นรู้หมดว่าพวกนางมาเมืองหลินอันด้วยเจตนาใด
“เช่นนั้นพวกเราจะกลับก่อน?” นางหันไปถามกู้ซี
กู้ซีพยักหน้ารับ
คุณหนูอู่ลุกยืนขึ้นเป็นคนแรก เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไม่ขอรบกวนแล้ว”
หลานสะใภ้รองสกุลเผิงกับคุณหนูสองคนจากสกุลซ่งพลันทำหน้ามึนงง
การมาเยี่ยมคารวะนายหญิงสามสกุลหยางเป็นความคิดของคุณหนูอู่ นี่ยังไม่ทันได้ทักทายนายหญิงสามสกุลหยางเลย นางก็จะกลับเสียแล้ว…เช่นนั้นพวกนางทิ้งท่านแม่เฒ่าทั้งหลายมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน?
คุณหนูสกุลซ่งกับหลานสะใภ้รองสกุลเผิงต่างไม่ยอมจากไป
กู้ซีลุกขึ้นยืนตามคุณหนูอู่อีกคน ไม่ได้บังคับฝืนใจคุณหนูสกุลซ่งกับหลานสะใภ้รองสกุลเผิง อ้างว่าตนยังมีธุระอยู่ทางโน้น รอให้นายหญิงสามสกุลหยางดีขึ้นแล้วค่อยมาเยี่ยมใหม่ แล้วเดินออกไปเช่นกัน
หลานสะใภ้รองสกุลเผิงกับคุณหนูสกุลซ่งไม่พอใจอย่างมาก
คุณหนูหกสกุลซ่งเสียดสีคุณหนูอู่อย่างไม่ปิดบังว่า “นางคงไม่ได้อยากแต่งเข้าสกุลเผยจริงๆ หรอกนะ? ปกติก็เอาแต่เย่อหยิ่งตาสูง มองไม่เห็นใครในสายตา ครั้งนี้ไม่ทันไรก็ไปตีสนิทกับคุณหนูกู้แล้ว อู่อิงหลันนางก็เป็นคนเช่นนี้กระมัง!”
คุณหนูสวีอดจะลอบแลกเปลี่ยนสายตากับอวี้ถังไม่ได้
คุณหนูหกสกุลซ่งเห็นดังนั้น ก็ยิ่งเดือดดาลกว่าเก่า “พี่สวีท่านอย่าได้ไม่เชื่อ ก่อนที่จะมา สกุลนางส่งคนมาเชิญท่านย่าข้าให้ออกหน้าพูดเรื่องนี้ แต่ถูกท่านย่าปฏิเสธไป…สกุลอู่ของพวกนางส่งบุตรสาวแต่งเข้าสกุลเจียงได้ก็หยิ่งผยองพองขนดูแคลนผู้อื่นไปทั่ว หากว่ามีคุณหนูอีกคนแต่งเข้าสกุลเผยอีก เช่นนั้นหางคงยกโด่ชี้ฟ้าแล้ว!”
คุณหนูสวีก้มหน้าลงต่ำ
อาจเพราะสกุลซ่งขบคิดไม่รอบคอบ ถึงได้ปล่อยให้คุณหนูหกมาร่วมพิธีสนทนาธรรมด้วย
นางต้องข่มกลั้นเอาไว้ถึงจะไม่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา หางตาก็เหลือบมองไปทางอวี้ถังด้วย
คุณหนูสวีเพิ่งเห็นว่าไม่รู้อวี้ถังก้มหน้าลงตั้งแต่เมื่อไร มือกำลังประคองถ้วยชาแสร้งทำท่าว่าจิบมันอยู่ แต่มุมปากกลับกระตุกยกสูง อย่างไรก็กดไม่ลง
นางพลันทนไม่ไหว ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาในทันที
คุณหนูหกสกุลซ่งชะงักไป
หลานสะใภ้รองสกุลเผิงกับคนอื่นๆ หันมามองนางด้วยความฉงน
นับเป็นผู้โง่เง่ากลุ่มหนึ่ง!
ท่านอาผู้นั้นของนางคงมีความแค้นกับสกุลเผิงกระมัง ถึงได้ส่งบุตรสาวไปแต่งกับสกุลเผิง
คุณหนูสวีลอบประชดในใจ จากนั้นก็กระแอมคอเสียงหนึ่ง เอ่ยเสียงจริงจังว่า “สกุลอู่คิดเกินตัวไปหน่อยหรือไม่”
คุณหนูหกสกุลซ่งทำหน้าชอบใจ เอ่ยกับคุณหนูเจ็ดสกุลซ่งว่า “เจ้าเห็นไหม มิใช่ข้าคนเดียวที่คิดเช่นนี้!”
นี่กล่าวโทษว่าพี่น้องไม่ใจอ่อนรึ?
คุณหนูสวีอยากหัวเราะอีกแล้ว
สีหน้าของคุณหนูเจ็ดค่อนข้างเขียวคล้ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อว่า “เจ้าพูดให้น้อยลงหน่อย หากว่าคุณหนูอู่แต่งเข้าสกุลเผยจริงๆ เจ้าพูดถึงนางเช่นนี้ ต่อไปทุกคนจะมองหน้ากันได้หรือ”
————————————————————-