หลายปีมานี้สกุลซ่งเดินถอยหลังลงคลองอยู่บ้าง สกุลใหญ่ต่างๆ ในเจียงหนานล้วนรู้ดี แต่สกุลซ่งก็ขึ้นชื่อเรื่องโอหังอวดดี สกุลอู่เป็นสกุลหน้าใหม่ที่เพิ่งปรากฏตัว ตามหลักแล้วสกุลซ่งก็ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลพวกเขาเช่นนี้
หรืองานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ของสกุลอู่และสกุลเผยได้กำหนดตายตัวแล้ว!
คุณหนูสวีและอวี้ถังต่างก็ใจกระตุก สบสายตากัน คุณหนูสวีเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างร้อนใจ “ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ? จากที่ข้ารู้มา คุณชายใหญ่สกุลเผยและคุณหนูกู้นั้นหมั้นหมายกันแล้ว คุณชายรองและคุณชายสามยังอายุน้อย ส่วนบ้านอื่น…”
นางปิดปากเงียบ
นางไม่รู้เรื่องเผยฉาน แต่เผยปัวย่อมไม่อาจหมั้นหมายกับสกุลอู่…เผยปัวอนาคตไกลถึงขนาดนี้ อย่าพูดถึงจินหลิงสกุลจินเลย แต่สกุลสวีของพวกเขาหรือกระทั่งสกุลอินก็ย่อมแย่งชิงเช่นกัน ยามนี้เผยปัวยังเป็นเพียงซิ่วไฉคนหนึ่ง ก่อนที่ยังไม่ได้สอบจิ้นซื่อ มารดาของเผยปัวย่อมไม่จับคู่หมั้นหมายให้ลูกชาย
เห็นได้ชัดว่าคุณหนูหกสกุลซ่งหงุดหงิดกับเรื่องนี้ เอ่ยทั้งขมวดคิ้ว “คุณหนูอู่อาจจะหมั้นหมายกับนายท่านสามเผยก็ได้”
เผยเยี่ยน?
นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่จริงๆ!
คุณหนูสวีมองอวี้ถังไปแวบหนึ่ง
อวี้ถังก็มองไปทางนางพอดี
ทั้งสองคนล้วนมองเห็นความตกใจจากแววตาของกันและกัน
ก่อนหน้านี้คุณหนูสวีกลัวว่าอวี้ถังและเผยเยี่ยนจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวจึงตึงเครียดอยู่บ้าง ยามนี้จู่ๆ ก็ผ่อนคลายลงมา
ที่แท้อวี้ถังและเผยเยี่ยนไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้น แต่ก็ไม่แน่เช่นกัน อย่างน้อยที่สุดยามนี้อวี้ถังก็ไม่ถึงขั้นหลงใหล หากหลงใหล ควรจะเป็นความรู้สึกเสียใจหรือโมโห ไม่ใช่ท่าทีเช่นนี้ แต่ก็ดี หากมีความใจเย็น ย่อมสามารถปลีกตัวออกมาจากเผยเยี่ยนที่เป็นดั่งโคลนลึกได้
นางถอนหายใจอย่างโล่งอก
อวี้ถังกลับไม่สบายใจอย่างยิ่ง
ไฉนเผยเยี่ยนจึงคล้ายกับน้ำผึ้ง ใครก็ล้วนอยากชิมสักคำสองคำ ลำพังคนที่มาชิมพวกนี้ยังไม่มีใครที่ทำให้นางรู้สึกถึงความสง่างามทั้งภายนอกและภายใน รูปงามปราดเปรียว ทั้งเหมาะสมคู่ควรกับเผยเยี่ยนได้
ครั้งนี้เป็นอวี้ถังที่ทนไม่ได้
นางเอ่ยว่า “คุณหนูซ่ง ชื่อเสียงของผู้หญิงเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องนี้ผู้ใหญ่ทั้งสองสกุลได้กำหนดแล้วหรือยัง? เจ้าไม่อาจพูดจาส่งเดชได้”
อาจเป็นคำว่า ‘ส่งเดช’ ของนางจึงไปกระตุ้นโทสะคุณหนูหกสกุลซ่งเข้า ชั่วขณะนั้นคุณหนูหกสกุลซ่งก็ปะทุอารมณ์ กระโดดขึ้นมา “เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน? ข้าไปพูดจาส่งเดชตอนไหน? คุณหนูอู่ออกเรือนย่อมมีทรัพย์สินของสกุลอู่ครึ่งหนึ่งเป็นสินเดิม ทั้งคุณหนูสกุลอู่ก็หน้าตางดงามราวบุปฝา สกุลเผยไหนเลยจะปฏิเสธงานแต่งครั้งนี้? เจ้ามีชาติกำเนิดธรรมดา ไม่เข้าใจก็อย่าได้มาพูดจาส่งเดชที่นี่ดีกว่า”
อวี้ถังได้ฟัง ก็โมโหอย่างยิ่ง
ใบหน้านางแข็งทื่อขึ้นมา เอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “คุณหนูหกซ่ง แม้ข้าจะมีชาติกำเนิดธรรมดา แต่สกุลของพวกเราก็ไม่อาจแต่งภรรยาเพราะทรัพย์สิน อะไรกัน? คุณหนูหกซ่งเกิดในชาติสกุลขุนนางชั้นสูงของเจียงหนาน คาดไม่ถึงว่าจะมีมาตรฐานเรื่องแต่งงานเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าป่าวประกาศไปทั่วว่าคุณหนูอู่จะแต่งให้กับสกุลเผย สกุลเผยนั้นสู่ขอกับสกุลอู่อย่างเป็นทางการแล้วรึ? มีการเชิญแม่สื่ออย่างเป็นทางการแล้ว? มีการวางสินสอดทองหมั้นอย่างเป็นทางการแล้ว? หากมีก็ขอคุณหนูหกซ่งจริงช่วยพูดให้ข้าฟังหน่อยว่าสกุลใดเป็นฝ่ายสู่ขอสกุลใด เชิญใครมาเป็นแม่สื่อ วางสินสอดทองหมั้นกันเมื่อใด? หากไม่มี ข้าพูดว่าเจ้าพูดจาส่งเดชล้วนเป็นเพราะเห็นแก่ที่พวกเราอยู่ในฐานะของแขกสกุลเผยเหมือนกัน จึงได้เกรงใจเจ้า หากข้าพูดว่าเจ้าสร้างเรื่องเท็จก็ไม่ได้เกินไปแต่อย่างใด หรือนี่เป็นการอบรมสั่งสอนของสกุลซ่งพวกเจ้าอย่างนั้นรึ? เป็นมารยาทที่สกุลซ่งใช้รับแขก? ข้าว่าสกุลซ่งของพวกเจ้ายังเทียบกับสกุลเล็กๆ ที่มีชาติกำเนิดธรรมดาของพวกเราไม่ได้เสียด้วยซ้ำ!”
“เจ้า…” คุณหนูหกซ่งได้ฟังก็โมโหจนดวงตาแดงก่ำ ชี้มือที่สั่นระรัวไม่หยุดไปยังอวี้ถัง
“เจ้าอะไร?” อวี้ถังไม่อ่อนข้อให้แม้แต่น้อย เอ่ยด้วยยิ้มเย็น “สกุลซ่งของพวกเจ้าไม่ได้เชิญแม่นมมาคอยสั่งสอนหรอกรึ? ใครสอนให้เจ้าชี้มือที่ผู้อื่นขณะที่พูดอยู่กัน? เจ้าไม่รู้หรือว่านิ้วเดียวของเจ้าชี้ไปทางคนอื่น อีกสี่นิ้วกลับชี้เข้าตัวเอง? ไม่มีมารยาท! สองปีมานี้สกุลซ่งไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ข้าว่าล้วนเป็นเพราะคนอย่างพวกเจ้าทำพังเสียหมด!”
คุณหนูหกสกุลซ่งเอ่ยคำว่า ‘เจ้า’ อยู่ค่อนวัน ยามนี้จึงค่อยกล่าวกระอึกกระอักออกมาว่า “เจ้ากำเริบเสิบสาน”
การโต้เถียงของอวี้ถังนั้นฝึกฝนมาจากคนสกุลหลิน มารดาของหลี่ตวนในชาติก่อน คุณหนูหกสกุลซ่งทำเช่นนี้ เดิมทีก็สู้ไม่ได้
นางได้เปรียบก็ซ้ำเติมต่อ ไม่ยอมปล่อยแม้แต่น้อย เลิกคิ้วเอ่ยเหน็บแนม “อะไรนะ? คิดว่าข้ากำเริบเสิบสาน ยังต้องกลับไปฟ้องผู้ใหญ่อย่างนั้นรึ? เช่นนั้นก็ดี ข้าอยากหาสถานที่ที่สามารถพูดโดยใช้เหตุผลได้เช่นกัน อย่างอื่นไม่พูด พวกเราคุยเรื่องงานแต่งของสกุลเผยและสกุลอู่ก่อน ไฉนจึงไปขัดสกุลซ่งพวกเจ้า ต้องให้สกุลซ่งพวกเจ้าเป็นเดือดเป็นร้อน ทั้งยังป่าวประกาศไปทั่ว ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ ทั้งจะได้พูดให้สกุลอู่ฟังด้วยพอดี คุณหนูสกุลพวกเขาแต่งออกไปก็แต่งออกไป นำทรัพย์สินอีกครึ่งของสกุลอู่มาเจรจาแต่งงาน หมายความว่าอย่างไร? ยามที่คุณหนูออกเรือนไม่ใช่ว่าต้องเอาทรัพย์สินของสกุลอู่มาคำนวณก่อนรึ เพื่อให้มั่นใจว่านำทรัพย์สินไปเกินครึ่ง ลูกเขยจะได้ไม่รู้สึกเสียเปรียบ ไม่ยุติธรรมในใจ”
เมื่อพูดออกมา ไม่ว่าสกุลเผยและสกุลอู่จะเกี่ยวดองกันหรือไม่ ครั้งนี้ย่อมมีสกุลซ่งเป็นแพะรับบาป
คุณหนูเจ็ดสกุลซ่งใบหน้าหน้าซีดขาวไปหมด
หลานสะใภ้รองสกุลเผิงและคุณหนูสกุลทั้งสองของสกุลเผิงกำลังยกถ้วยชา อ้าปากค้าง ล้วนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? เดินตามมาสมทบ มารร้ายในใจคุณหนูสวีหัวเราะจนตัวโยก หากไม่ใช่กังวลว่าญาติผู้พี่ที่ทำตัวไม่เหมาะสมอยู่ตรงนี้ด้วย นางก็คงช่วยอวี้ถังโจมตีไปแล้ว
เมื่อก่อนนางเพียงรู้สึกว่าอวี้ถังวางตัวอย่างเหมาะสม คาดไม่ถึงว่านางยังสามารถทะเลาะกับคนอื่นได้
เพราะเรื่องนี้ นางก็ควรจะคบค้าสมาคมกับอวี้ถังดีๆ เสียแล้ว
คำพูดพวกนี้ทำให้คนสุขใจเกินไปแล้ว!
นางต้องช่วยเหลืออวี้ถังเสียหน่อย
เมื่อความคิดแล่น คุณหนูสวีก็ยืนขึ้นด้วยท่าทีเคร่งขรึมทันที เอ่ยว่า “คุณหนูหกซ่ง แต่ละเรื่องล้วนมีทั้งเล็กและใหญ่ ไม่ว่าคำพูดอะไรก็ไม่อาจเอ่ยส่งเดชได้ วันนี้วัดเจาหมิงมีคนมากมายขนาดนี้ หากสกุลเผยและสกุลอู่แต่งงานกันจริง ทุกคนย่อมคิดว่าเป็นคำพูดมงคล แต่หากไม่ใช่ เจ้าเคยคิดไหมว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?”
ยามนี้คุณหนูหกสกุลซ่งจึงค่อยตระหนักได้ว่าเรื่องราวบานปลายขึ้นมาแล้ว
นางอ้ำอึ้งอยู่ค่อนวัน ก็ไม่อาจพูดเหตุผลอะไรออกมาได้
คุณหนูสวีลอบหัวเราะในใจ
คุณหนูเจ็ดสกุลซ่งหวนสติกลับมา รู้ว่าคุณหนูหกสกุลซ่งถูกคนจับจุดอ่อนได้เสียแล้ว หากจัดการไม่ดี ชื่อเสียงของคุณหนูสกุลซ่งย่อมหล่นหายไปตรงนี้ เกียรติยศนับร้อยปีของสกุลซ่งก็จะถูกทำลายเพราะพวกนางเช่นกัน กลับมาสกุลซ่ง แม้ว่าคนของสกุลซ่งจะไม่จัดการพวกนาง แต่ภายหลังพวกนางก็อย่าได้คิดจะแต่งกับสกุลดีๆ เลย
นางขอความเมตตาแทนคุณหนูหกสกุลซ่งทันที “คุณหนูอวี้ คุณหนูสวี เรื่องนี้ล้วนเป็นเพราะพี่สาวทำไม่ถูก นางก็ไม่ได้มีเจตนาเช่นกัน เป็นเพราะคุณหนูอู่มักจะโอ้อวดต่อหน้านาง นางจึงโมโหไปชั่วครู่ สาเหตุที่นางพูดอย่างไม่กังวลอะไร นำเรื่องในใจพูดออกมา จะว่าไปแล้ว นั่นก็เพราะเห็นคุณหนูทั้งสองท่านเป็นคนกันเอง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่พูดอะไรหรอก อย่างไรขอคุณหนูทั้งสองอย่าได้ถือสาหาความ” พูดจบ ยังหยัดกายคำนับให้แก่อวี้ถังและคุณหนูสวีอย่างจริงจัง
อวี้ถังพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ความอัดอั้นในใจก็ค่อยๆ หายไป ยามนี้เห็นคุณหนูเจ็ดสกุลซ่งรับเคราะห์แทนพี่สาว ก็ไม่อาจคิดเล็กคิดน้อยกับนาง ฟังจบก็มองคุณหนูสวีไปที
อย่างไรคุณหนูสวีก็ช่วยนางพูด จะปล่อยไปหรือซักไซ้ต่อ ก็ควรจะดูความต้องการของคุณหนูสวี
คุณหนูสวียิ่งรู้สึกว่าอวี้ถังน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ
ไม่คิดทอดทิ้งเพื่อน
มีเรื่องอะไรก็เดินหน้าถอยหลังไปพร้อมๆ กัน
นางยิ่งอยากช่วยอวี้ถังขึ้นไปอีก
คุณหนูสวีสั่นศีรษะเบาๆ ให้อวี้ถัง ทั้งส่งสายตาเป็นนัยว่าอย่าได้เลยเถิดมากไป มีเรื่องอะไรค่อยพูดทีหลัง
อวี้ถังจึงเข้ามาพยุงคุณหนูเจ็ดสกุลซ่ง เอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ลำบากเจ้าที่เป็นน้องสาวแล้ว ยังต้องมาช่วยพี่สาวเก็บกวาดเรื่องราวอีก”
คำพูดประโยคเดียวทำให้คุณหนูเจ็ดสกุลซ่งแทบหลั่งน้ำตาออกมา
คุณหนูหกซ่งและนางเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่บิดาของคุณหนูหกซ่งมีความสามารถ เป็นขุนนางอยู่ข้างนอก ส่วนบิดาของนางเป็นเพียงคนที่อาศัยกินข้าวในเรือน แม้ว่านางจะเป็นน้อง แต่ก็ต้องยอมทุกเรื่องให้กับพี่สาวคนนี้
“ขอบคุณคุณหนูอวี้อย่างยิ่ง!” นางพึมพำราวกับเสียงแมลงหวี่
คุณหนูหกสกุลซ่งได้ยินกลับไม่พอใจ เดินเข้าไปเตรียมจะถกเรื่องนี้กับอวี้ถังต่อ กลับถูกหลานสะใภ้รองสกุลเผิงที่ตั้งสติได้ขวางไว้ก่อน “คุณหนูหก สกุลอู่จะเกี่ยวดองกับสกุลเผยเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นรึ? เจ้าไปได้ยินจากใครมา?”
คุณหนูทั้งสองของสกุลเผิงก็จ้องนางอย่างถมึงทึงเช่นกัน
นางสามารถพูดจาเหลวไหลต่อหน้าอวี้ถังได้ กลับไม่กล้าพูดต่อหน้าคนของสกุลเผิง
“ข้า ข้าได้ยินมาจากป้าสะใภ้ใหญ่” นางเอ่ยกระอึกกระอัก “สกุลอู่ขอสกุลเถาให้ช่วยออกหน้าเป็นแม่สื่อ ป้าสะใภ้ใหญ่ข้ากล่าวว่า ท่านอาสามเผยและสกุลเถามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เห็นแก่หน้าของสกุลเถา ท่านอาสามเผยก็คงไม่ปฏิเสธเช่นกัน ทั้งสกุลอู่ยังกลัวว่าสกุลเผยรังเกียจที่สกุลพวกเขาเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ วางแผนจะนำเงินสองแสนตำลึงเป็นสินเดิม…ข้าคิดว่า สองแสนตำลึง คงเป็นทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของสกุลอู่…”
ดังนั้นสรุปได้ว่า สิ่งที่เรียกว่าแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ทั้งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งเป็นสินเดิม ทั้งหมดล้วนเป็นคุณหนูหกซ่งที่คิดไปเองทั้งนั้น
อย่าพูดถึงอวี้ถังและคุณหนูสวีเลย กระทั่งหลานสะใภ้รองสกุลเผิงและพวกคุณหนูต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี หลานสะใภ้รองสกุลเผิงยากที่จะเอ่ย จึงปรารถนาดีบอกคุณหนูเจ็ดซ่งว่า “เรื่องนี้เจ้าบอกกล่าวกับป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าหน่อยก็ดี ส่งคนมาดูแลพี่สาวของเจ้าให้มากๆ หน่อย ยามที่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จะได้มีคนที่เข้าใจขัดขวางได้”
คุณหนูเจ็ดสกุลซ่งขานรับด้วยน้ำตาคลอเบ้า คิดว่ามีคำพูดของหลานสะใภ้รองสกุลเผิง เรื่องของวันนี้ตัวเองก็สามารถรายงานเรื่องราวได้แล้ว ใบหน้าของนางจึงไม่ได้แข็งทื่อเหมือนเมื่อครู่แล้ว
เพียงแต่หลานสะใภ้รองสกุลเผิงได้ยินข่าวเช่นนี้ก็นั่งไม่ติดที่อีก เอ่ยเป็นมารยาทกับอวี้ถังและคุณหนูสวีไม่กี่ประโยค ก็หยัดกายบอกลา
อวี้ถังและคุณหนูสวีย่อมไม่อาจรั้งพวกนาง
แต่ยามที่พวกนางไปกลับแตกต่างจากตอนมา
ยามที่มาพวกนางไม่เห็นอวี้ถังอยู่ในสายตาสักคน ยามที่ไปกลับคำนับให้อวี้ถังอย่างสุภาพ แม้ว่าท่าทีจะห่างเหินบ้าง กลับจริงจังอย่างยิ่ง
รอจนพวกนางเดินไป คุณหนูสวีก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ ดึงอวี้ถังมาเอ่ย “ดูไม่ออก ปกติเจ้าไม่มีปากมีเสียง พอยั่วโมโหเจ้า เจ้าก็เป็นคนไม่ยอมคนเช่นกัน! แต่คนดีมักถูกรังแก ม้าดีมักถูกคนอื่นขี่ เจ้าทำเช่นนี้นับว่าถูกแล้ว เจ้าว่า ยามนี้พวกนางคงไม่มีใครกล้าเพิกเฉยเจ้าแล้วกระมัง? ก่อนหน้านี้ข้ายังกลัวว่าเจ้าจะเสียเปรียบ ดูท่าข้าจะกังวลไปเอง”
ความปรารถนาดีของคนอื่น อวี้ถังย่อมกักเก็บไว้ในใจ
นางเอ่ยกับคุณหนูสวีด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นห่วงข้า จึงเคร่งเครียดขนาดนั้น จิตใจคิดร้ายผู้อื่นมิควรมี การระวังคนอื่นก็มิควรขาดเช่นกัน คนอื่นไม่ยุ่งกับข้า ข้าย่อมไม่เป็นฝ่ายรังแกใครก่อน”
อย่างเช่นกู้ซี!
คุณหนูสวีพยักหน้าระรัว ดึงนางไปยังห้องที่นายหญิงสามสกุลหยางพักอยู่ “พวกเราไปเล่าให้นางฟัง นางย่อมต้องสนใจเป็นแน่”
อวี้ถังเดินตามนางไป ในใจกลับนึกถึงเผยเยี่ยน
ก็ไม่รู้ว่ายามนี้เขากำลังทำอะไรอยู่?
หากรู้ว่าที่นี่มีเรื่องยุ่ง จะมีสีหน้าเป็นอย่างไรกัน?
———————-