เซียวจื่อเซวียนเห็นท่าทางสงสัยของเขา จึงรีบกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่ยังบอกอีกว่า สิ่งสกปรกบนมือเหล่านี้พวกเราไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ต้องอยู่บนมือแน่นอน”
เซียวฉงเหวินยิ่งรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก “ในเมื่อมองไม่เห็น เช่นนั้นเหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าถึงบอกว่ามีเล่า? ”
เซียวจื่อเซวียนได้ฟังดังนั้น ก็ผงะไป แต่เขาก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าบอกว่ามีย่อมต้องมี พี่สะใภ้ใหญ่ยังบอกอีกว่า เด็กเล็กต้องฝึกการล้างมือและรักษาสุขอนามัยให้เป็นนิสัย เช่นนี้ถึงจะไม่ป่วย”
ถึงแม้เซียวฉงเหวินจะไม่เข้าใจ แต่เห็นเซียวจื่อเซวียนพูดออกมาเป็นชุด จึงเชื่อตามนั้น “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าช่างมีความรู้มากเสียจริง”
เซียวจื่อเซวียนยิ้มพร้อมกล่าวอย่างได้ใจ “แน่นอนอยู่แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ของข้ายังเล่านิทานเป็นด้วย! รับรองว่าเป็นเรื่องที่เจ้าไม่เคยฟังมาก่อน”
“นิทานที่ข้าไม่เคยฟังมาก่อน? ” เซียวฉงเหวินก็ชอบฟังนิทาน พอได้ยินดังนั้นจึงอยากฟังขึ้นมา “เล่านิทานอะไรงั้นหรือ เจ้ารีบเล่าให้ข้าฟังบ้าง”
เซียวจื่อเซวียนกำลังจะเล่า ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของเซี่ยยวี่หลัวดังขึ้นจากด้านใน “จื่อเซวียน จื่อเมิ่ง รีบมากินข้าวได้แล้ว”
เซียวจื่อเซวียนตักน้ำสะอาดล้างมือเสร็จ จากนั้นจึงขยิบตาพร้อมกล่าว “ครั้งหน้าค่อยเล่าให้เจ้าฟัง”
ก่อนจะจูงมือเซียวจื่อเมิ่งเข้าไปกินข้าว
เซียวยวี่ยืนอยู่ข้างๆ มองเด็กสองคนล้างมือ ไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว
บนมือมีสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็น?
เซียวยวี่มองดูมือของเขาที่ล้างมาตอนอยู่บ้านเมื่อครู่ ขาวสะอาดสะอ้าน ไม่มีสิ่งสกปรกแม้แต่น้อย เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะล้างมือ แต่พอฟังวาจาของเซียวจื่อเซวียน จึงไปล้างมืออีกครั้งอย่างว่าง่าย
ทว่า พูดถึงเรื่องเล่านิทาน เซียวยวี่เพิ่งอ่านซีโหยวจี้เล่มแรกจบ ดูท่าว่า มีเวลาสามารถเล่านิทานเรื่องนี้ให้เด็กสองคนฟังได้ รับรองว่าเด็กสองคนนี้ไม่เคยฟังมาก่อนแน่นอน!
เข้าไปในบ้าน ด้านในจัดโต๊ะไว้สองตัว โต๊ะใหญ่หนึ่งตัว โต๊ะเล็กหนึ่งตัว
กวั่นซื่อยิ้มพร้อมกล่าว “วันนี้จะดื่มสุรา จึงให้เด็กๆ นั่งโต๊ะเดียวกัน ไม่รบกวนความสุขในการดื่มสุราของพวกท่าน”
กวั่นซื่อทำอาหารอย่างดีโต๊ะใหญ่ มีทั้งเนื้อและผัก ทั้งหมูตุ๋นน้ำแดง ปลาตุ๋นน้ำแดง ไข่ไก่ มะเขือยาว พริก ถั่วฝักยาวก็มี ทำอาหารเจ็ดถึงแปดอย่าง
อาหารบนโต๊ะตัวใหญ่และตัวเล็กไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่โต๊ะของเด็กเล็กไม่มีพริก
ผู้ใหญ่นั่งโต๊ะใหญ่ เด็กเล็กนั่งโต๊ะเล็ก ทุกคนนั่งลงอย่างรวดเร็ว
เซียวจิ้งยี่นั่งอยู่ตรงที่นั่งหลัก ด้านซ้ายมือคือเซียวยวี่ ซ้ายมือเซียวยวี่คือเซี่ยยวี่หลัว ข้างนางคือหลี่หงเหมย ลูกสะใภ้ของกวั่นซื่อ ข้างหลี่หงเหมยคือเซียวเหลียน สามีของนางผู้เป็นบุตรชายของเซียวจิ้งยี่ ข้างเซียวเหลียนคือกวั่นซื่อ กวั่นซื่อนั่งอยู่ทางขวามือของเซียวจิ้งยี่
โต๊ะใหญ่นั่งหกคน โต๊ะเล็กมีเด็กสี่คน นั่งสบายไม่แออัด
ทางเด็กๆ พอนั่งลงก็เริ่มกินทันที
หลี่ซื่อรับผิดชอบรินสุรา รินถ้วยสุราหน้าเหล่าบุรุษจนเต็ม
เซียวจิ้งยี่พอจะดื่มได้บ้าง วันนี้รู้สึกมีความสุข ย่อมดื่มกับเซียวยวี่ไปหลายถ้วย “เซียวยวี่ วันนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับ”
เซียวยวี่ก็ดื่มเป็น เซียวจิ้งยี่ต้อนรับขับสู้อย่างดี เขาเองก็ไม่คิดปิดบังซ่อนเร้น เซียวจิ้งยี่ให้เขาดื่ม เซียวยวี่จึงดื่มอย่างตั้งใจ พอกินเสร็จหนึ่งมื้อ ก็ดื่มไปไม่น้อย
เซี่ยยวี่หลัวกินเสร็จนานแล้ว ลุกจากโต๊ะไปทำซาลาเปากับกวั่นซื่อและหลี่ซื่อ
เซี่ยยวี่หลัวสาธิตการปรุงไส้ ปรุงด้วยอะไรและใส่ปริมาณเท่าไร หลี่ซื่อและกวั่นซื่อตั้งใจดูอย่างละเอียด พร้อมจดจำไว้ในใจ จากนั้นจึงรีดแป้ง เซี่ยยวี่หลัวรีดแป้งซาลาเปาเป็นแผ่นใหญ่และบาง นางหยิบแป้งมาแผ่นหนึ่ง ตักไส้สองช้อนใส่แผ่นแป้ง จากนั้นใช้มือสองข้าง บิดไปบิดมาก็ห่อซาลาเปาแป้งบางที่มีไส้เยอะเสร็จหนึ่งลูก
หลี่ซื่อและกวั่นซื่อล้วนห่อซาลาเปาเป็น พอเห็นเซี่ยยวี่หลัวห่อได้ดูดีกว่าพวกนาง จึงอยากเรียน เซี่ยยวี่หลัวไม่คิดเก็บซ่อน ห่อช้าๆ อีกหลายลูก หลี่ซื่อและกวั่นซื่อเรียนรู้โดยคร่าวแล้ว เพียงแค่เพราะยังไม่ชำนาญ จึงห่อได้ไม่ดีเท่าเซี่ยยวี่หลัว
เซี่ยยวี่หลัวให้กำลังใจพวกนาง “พวกท่านห่อเพิ่มอีกไม่กี่หนต้องดูดีกว่าข้าแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อยิ้มพร้อมกล่าว “จีบบนซาลาเปานี้ ถูกเจ้าห่อจนเหมือนทำดอกไม้หนึ่งดอกก็มิปาน ดูดีกว่าซาลาเปาที่ขายในตัวเมืองเสียอีก! ยวี่หลัว ฝีมือของเจ้า สามารถขายซาลาเปาตามข้างทางได้แล้ว”
กวั่นซื่อก็ยิ้มพร้อมกล่าว “ก็ใช่น่ะสิ ซาลาเปาทำได้ดูดี ลูกค้าก็อยากมาซื้อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ไม่ใช่แค่ดูดี ทั้งยังอร่อยอีกด้วย! ต้องหาเงินได้แน่นอน! ”
“ปกติเซียวยวี่ต้องอ่านตำรา ข้าก็ต้องดูแลเด็กสองคน จะมีเวลาไปเปิดร้านได้อย่างไรเจ้าคะ! แต่หากท่านป้ามีเวลา ก็สามารถลองดูได้! ” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว
กวั่นซื่อได้ฟังดังนั้น ก็ผงะไป หลี่ซื่อที่อยู่ข้างๆ ก็รีบหันมองกวั่นซื่อแวบหนึ่ง จากนั้นจึงหันมองเซี่ยยวี่หลัว “ยวี่หลัว เจ้าคิดว่าข้าสามารถไปขายซาลาเปาได้อย่างนั้นหรือ? นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสอนพวกเรา พวกเรา…”
นางรู้สึกเกรงใจ
ทั้งที่ซาลาเปานี่เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนสอนพวกนาง นางไฉนจะทำข้ามหน้าข้ามตา ไปเปิดร้านขายซาลาเปาเป็นของตัวเองได้
เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “ทำไมจะไม่ได้ ข้าสอนให้ท่าน ย่อมกลายเป็นของท่าน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็รู้สึกว่าหากสามารถขายซาลาเปานี่ได้ ต้องขายได้ดีแน่ ถึงเวลาก็เปิดร้านเล็กร้านหนึ่ง ขายซาลาเปาไส้หมูโดยเฉพาะ ทำกับข้าวอีกสักหนึ่งหรือสองอย่าง เพิ่มโจ๊กสักหนึ่งถ้วย ต้องขายดีเป็นพิเศษแน่”
กวั่นซื่อรู้สึกยินดีเสียยิ่งกว่ากระไร รีบเช็ดมือที่เต็มไปด้วยแป้งบนผ้ากันเปื้อน จับมือเซี่ยยวี่หลัวพร้อมกล่าวด้วยความดีใจ “ยวี่หลัว บอกตามตรง หลานชายของข้าก็อายุเก้าขวบแล้ว ข้าจะส่งเขาไปเรียนหนังสือในตัวเมือง แต่จะปล่อยให้เขาไปคนเดียวก็ไม่ได้ ข้างกายต้องมีผู้ใหญ่สักหนึ่งคน เพียงแต่หากผู้ใหญ่ไป จะหาเลี้ยงชีพอย่างไร พวกเราครุ่นคิดมาตลอด คิดไปคิดมาก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี วันนี้ได้ฟังวาจาของเจ้า ข้าก็รู้สึกอยากลอง ซาลาเปาของเจ้าทั้งมีหน้าตาดูดีและรสชาติอร่อย ต้องมีคนโปรดปรานแน่นอน ถือเป็นลู่ทางที่ดีที่จะหาเงินได้”
หลี่ซื่อก็กล่าวด้วยความตื้นตัน “ใช่แล้ว พวกเราคิดมาครึ่งเดือนกว่าแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี! ”
“เช่นนั้นยังจะกังวลอะไรอีก เรียนทำซาลาเปาแล้ว ไปในตัวเมืองเช่าร้านสักแห่งหนึ่งก็เริ่มขายได้เลย ข้าเชื่อว่าต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอนเจ้าค่ะ! ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
นางยังมีสูตรการทำโหยวเถียว [1] ซาลาเปาไส้งา ซาลาเปาไส้หวาน ซาลาเปาไส้ผักดองเค็ม ซาลาเปาไส้ไหน่หวง [2] และวิธีการทำฮวาจ่วน [3] หลากหลายรูปแบบ ถึงเวลาค่อยสอนกวั่นซื่อทำทีละอย่าง นางไม่เชื่อว่าร้านอาหารเช้านี้จะไม่ได้รับความนิยม
เซี่ยยวี่หลัวกล่าวจากใจจริง ภายในใจกวั่นซื่อทั้งรู้สึกตื่นเต้นและตื้นตัน ตบต้นขาด้วยความยินดี “ได้! ”
กวั่นซื่อกำลังรีดแผ่นแป้ง บนมือมีแป้งอยู่ไม่น้อย พอตบลงไป แป้งบนมือจึงฟุ้งกระจายไปทั่ว
—————————
เชิงอรรถ
[1] โหยวเถียว หรือ อิ่วจาก้วย คือขนมแป้งเส้นยาวที่ทอดด้วยน้ำมัน ซึ่งในไทยปัจจุบันจะรู้จักกันในชื่อ ปาท่องโก๋
[2] ซาลาเปาไส้ไหน่หวง คือซาลาเปาไส้ครีม
[3] ฮวาจ่วน คือหมั่นโถว/ซาลาเปา รูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะยืดแป้งให้เป็นเส้นยาวแล้วม้วนเป็นลวดลายต่างๆ คล้ายดอกไม้นานาชนิด ถ้าม้วนแล้วนึ่งโดยไม่ใส่ไส้จะคล้ายหมั่นโถว แต่ก็สามารถใส่ไส้ต่างๆ เหมือนซาลาเปาได้