หลังจากส่งหลินฉางกลับ เผยเชียนก็ได้รับแจ้งยอดเงินเข้าอย่างรวดเร็ว

ยอดเงินทั้งหมดสามแสนหยวนโอนเข้าความมั่งคั่งส่วนบุคคลของเผยเชียน

เห็นได้ชัดว่าระบบไม่ได้สนใจหากคนอื่นให้เงินเผยเชียน ขอแค่ได้เงินมาอย่างสมเหตุสมผลและคนอื่นไม่ได้สงสัยถึงการมีอยู่ของระบบก็พอ

แต่เผยเชียนใช้เงินก้อนนี้หมดไม่ได้ ต้องแบ่งไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ และยังขี้เหนียวกับเรื่องนี้ไม่ได้ด้วย

พูดง่ายๆ คือ ชายหนุ่มต้องทำผลงานออกมาเพื่อไม่ให้หลินฉางนึกสงสัยในตัวเขา

เผยเชียนเอาเงินไปใช้จ่ายปรนเปรอตัวเองทั้งหมดไม่ได้ ถ้าหลินฉางไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันออกมา คงจะดูแปลกๆ

เป็นไปได้ว่าหลินฉางอาจไม่ได้สนใจว่าเผยเชียนจะเอาเงินสามแสนหยวนนี้ไปทำอะไร แต่ไม่แน่เขาอาจจะสนใจก็ได้ เป็นเรื่องที่บอกได้ยาก

ถ้าหลินฉางถามอะไรขึ้นมา เผยเชียนก็ต้องมีคำตอบที่สมเหตุสมผล ถึงโอกาสจะเป็นไปได้น้อย แต่เขาก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน

ดังนั้นเผยเชียนจึงแบ่งเงินสองแสนหยวนไว้เป็นค่าแรง แล้วเหลือหนึ่งแสนหยวนไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ เขาต้องลงมือผลิตผลงานสักอย่างออกมา

โปรเจ็กต์ต้องพังไม่เป็นท่าแน่ แต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไร หลินฉางพร้อมจะทิ้งเงินสามแสนก้อนนี้อยู่แล้ว

เผยเชียนแค่ต้องทำเป็นว่าไม่ได้ต้องการเงินก้อนนี้ แค่จะเอามาทดลองอะไรดูเฉยๆ ขอแค่หลินฉางไม่นึกสงสัย ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เขามองเงินสามแสนหยวนในบัญชี จากนั้นก็หันมองความมั่งคั่งส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นมาเป็นสามหมื่นเจ็ดพันกว่าหยวนแล้วก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา

ชายหนุ่มทุ่มเทกับบริษัทและสร้างรายได้ถึงสิบล้านหยวน แต่แปลงมาเป็นเงินให้ตัวเองใช้ได้แค่หลักหมื่น กลับกันแค่รับงานนอกเพิ่มเล็กน้อย เขาก็ได้เงินมาง่ายๆ สองแสนหยวน

พอรู้แบบนี้ก็ไม่ค่อยมีเหตุผลอะไรให้เผยเชียนแปลงกำไรมาเป็นความมั่งคั่งส่วนบุคคล

วันที่ 1 กรกฎาคม

เผยเชียนเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อเช็กเกรดของตัวเอง

โอเค คาบเส้นทุกวิชา…

“เหมือนติดเชื้อไอ้หม่ามาเลยแฮะ

“แต่ช่างเถอะ ฉันต้องคิดหาวิธีผลาญเงินเพิ่ม ไม่มีพลังไปคิดเรื่องเรียนหรอก แค่คาบเส้นก็พอแล้ว”

เผยเชียนปลอบตัวเอง

เขาเรียนคณะสายศิลป์ ข้อสอบส่วนใหญ่เน้นให้ท่องจำเนื้อหา เขาจึงสามารถสอบผ่านได้แม้จะทุ่มอ่านหนังสือเอาตอนใกล้สอบ

เผยเชียนไม่อยากลาออก

ไม่ใช่เพราะเขาอยากได้ใบปริญญา สำหรับเขาแล้ว ใบปริญญาคือของไร้ประโยชน์ แต่เหตุผลหลักคือ…ถ้าลาออก เขาก็ไม่มีอะไรทำ

ทุกวันนี้ชายหนุ่มเข้าเรียนตามที่ต้องเข้า ตอนไหนขี้เกียจก็กลับไปนอนเล่นที่อพาร์ตเม้นต์ไม่ก็เล่นเกม มีแค่ช่วงใกล้ถึงวันปิดบัญชีที่จะต้องคอยจับตาดูบริษัทอย่างใกล้ชิดและพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองขาดทุน

ถ้าลาออกเขาก็คงหมกตัวอยู่ในอพาร์เมนต์ทั้งวัน ชีวิตไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่

นอกจากนี้เผยเชียนก็ไม่ได้อยากเปิดเผยตัวตนของตัวเอง

ตอนนี้คนรอบตัวหลายๆ คน รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นรู้ว่าเขาเป็นพระเอกซีรีส์ชีวิตประจำวันของบอสเผย พวกเขามองว่าเผยเชียนเป็นเนตไอดอล แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือบอสของเถิงต๋า

เผยเชียนมีเรื่องที่ต้องกังวลหลักๆ อยู่สามอย่าง

อย่างแรกคือ กังวลเรื่องครอบครัว

อย่างที่สองคือ กลัวว่าถ้าเพื่อนร่วมชั้นรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของบริษัท ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอาจจะเปลี่ยนไป ต้องมีคนเข้าหาเพื่อของานหรือไม่ก็ยืมเงินไม่ขาดสาย คงจะน่ารำคาญใจแย่

อย่างที่สามคือ ถึงชายหนุ่มจะเป็นเจ้าของบริษัท แต่จำนวนเงินในความมั่งคั่งส่วนบุคคลที่ใช้ได้จริงๆ มีไม่มาก เผยเชียนกลัวว่าจะมีกลุ่มคนที่เกลียดชังพวกมีเงินหรือพวกหัวรุนแรงมาคอยจับตาดูเขาแล้วหาโอกาสสร้างเรื่อง

เผยเชียนเปิดเผยการมีอยู่ของระบบไม่ได้ ดังนั้นจึงอยากเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น เขาอยากปิดบังตัวตนจากคนอื่นๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อลดความเสี่ยง

ช่วงนี้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จึงยังไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองในตอนนี้

แน่นอนว่าถ้าผลาญเงินได้หลักล้านบ้างก็คงจะดี

ใกล้ปิดเทอมแล้ว เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ที่สอบเสร็จและเช็กเกรดครบทุกวิชาแล้วต่างพากันกลับบ้าน แต่สำหรับเผยเชียน เขาเพิ่งจะเริ่มต้นช่วงเวลาแห่งการผลาญเงินรอบใหม่

เผยเชียนเตรียมไล่โปรเจ็กต์ที่มีในตอนนี้ เขาอยากวิเคราะห์งบกำไรขาดทุนเพื่อหาหนทางผลาญเงินให้ได้มากกว่านี้

ชายหนุ่มสร้างตารางขึ้นมาบนเว็บไซต์แล้วพิมพ์กรอกข้อมูลลงไปสองประโยค จากนั้นก็ค้นหาข้อมูลเพิ่ม สุดท้ายเขาก็เข้าเว็บอ้ายลี่เต่าไปดูรายการต่างๆ ด้วยความเคยชิน

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

“เอ๊ะ เมื่อกี้ว่าจะทำอะไรนะ” เผยเชียนนึกขึ้นมาได้

ตอนนั้นเองมือถือของเขาก็ดังขึ้น พอหันไปดูชื่อสายโทรเข้า ชายหนุ่มก็นึกลังเล

“เอ่อ… อาจารย์จางเหรอ”

สายโทรเข้ามาจากจางเหว่ย อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยของเขา

เผยเชียนรู้สึกงงเล็กน้อยว่าทำไมจางเหว่ยถึงโทรมาหา

เขาไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในมหาวิทยาลัย แถมเกรดแค่นี้ก็ไม่น่าจะได้รับทุนหรือรางวัลอะไร เรื่องอื่นๆ ก็ไม่น่ามี

จางเหว่ยทักขึ้นอย่างนิ่มนวล “เผยเชียน ผมได้ยินมาว่าคุณได้ไปเล่นซีรีส์ตอนสั้น ได้ร่วมงานกับบริษัทด้วย เห็นว่าทำได้ดีเลยนี่”

เผยเชียนถึงบางอ้อ อ๋อ เรื่องเฟยหวงสตูดิโอนี่เอง

เพื่อนร่วมชั้นรู้ว่าเขาเล่นซีรีส์ชีวิตประจำวันของบอสเผยและไม่ค่อยอยู่ที่หอพัก

พวกเขาจึงคิดกันว่าเผยเชียนน่าจะยุ่งอยู่กับโปรเจ็กต์นี้ แล้วเรื่องนี้ก็ไปถึงหูจางเหว่ย

เผยเชียนยอมรับทันที “ใช่ครับ มีอะไรรึเปล่าครับอาจารย์จาง”

“ดีมากๆ ผมไม่ค่อยเห็นหน้าคุณเลย ที่แท้ก็ยุ่งกับงานนี่เอง แต่ก็ยังทำเกรดได้ดี เยี่ยมจริงๆ!”

เอาอะไรมาเกรดดี!

ฉันแค่คาบเส้น…

เผยเชียนรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ จางเหว่ยถึงได้ชมเกินจริงแบบนี้

ถือเป็นเรื่องปกติ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยไม่ค่อยสนใจเรื่องเกรดของนักศึกษา แต่สนใจเรื่องอัตราการจ้างงานมากกว่า

นักศึกษาแบบเผยเชียนน่าจะสามารถหางานได้ทันทีหลังเรียนจบ ไม่มีปัญหาเรื่องอัตราการจ้างงาน ในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัยแล้ว จางเหว่ยไม่ต้องกังวลเรื่องเผยเชียนเลย

จางเหว่ยน่าจะมีเป้าหมายบางอย่างถึงชมเผยเชียนแบบนี้

“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คือตอนนี้ใกล้จะเข้าช่วงจบการศึกษาแล้ว เด็กปีสุดท้ายที่เก่งๆ บางคนยังหางานไม่ได้เลย คุณพอจะแนะนำเด็กพวกนี้ให้บริษัทที่คุณทำงานอยู่ได้มั้ย”

เด็กเก่งๆ เหรอ มาถามผิดคนแล้ว

เผยเชียนโยนหน้าที่ไปทางอื่นตามสัญชาตญาณ “ทำไมไม่ให้พวกเขาเข้าระบบหางานของมหา’ลัยล่ะครับ”

จางเหว่ยกระแอมกระไอ “ระบบหางานของมหา’ลัยเหรอ… ผมว่าน่าจะไม่มีงานที่เหมาะกับพวกเขาแหละ เลยเป็นปัญหามาจนถึงตอนนี้”

เผยเชียนเข้าใจทันที

อ๋อ พวกนี้หางานไม่ได้นี่เอง!

เห็นได้ชัดว่าการเรียกนักศึกษาเหล่านี้ว่าเป็น ‘เด็กเก่ง’ คือการพูดให้ดูดี เผยเชียนเกือบจะเข้าใจจางเหว่ยผิดไป

จริงๆ แล้วเด็กพวกนี้คือพวกที่หางานไม่ได้แม้จะผ่านระบบหางานของมหาวิทยาลัยมาแล้ว

มหาวิทยาลัยฮั่นตงเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดัง มีอัตราการจ้างงานสูงถึง 90% แต่ก็ย่อมมีนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่หางานไม่ได้หลังเรียนจบ

แถมตัวเลข 90% ก็พูดเกินจริง เพราะทุกปีจะมี ‘ช่วงที่ลำบากที่สุดของเด็กจบใหม่’ เป็นเรื่องยากมากที่จะหางานที่พอใจได้ นักศึกษาส่วนใหญ่จึงลองเข้าไปทำงานชั่วคราว สองสามเดือนก็ลาออกมา

คนที่ทำงานกับที่บ้านก็คือว่ามีการจ้างงาน

สำหรับทางมหาวิทยาลัยแล้ว โดยเฉพาะกับตัวอาจารย์อย่างจางเหว่ย การเพิ่มอัตราการจ้างงานเป็นเรื่องที่ยากมาก อาจพูดได้ว่าอัตราการจ้างงานก็เหมือนใบเกรดของมหาวิทยาลัยและตัวอาจารย์เอง พวกเขาต้องคอยคิดหาทางเพิ่มยอดอยู่ตลอดเวลา

นอกจากจะส่งเสริมให้นักศึกษาเข้าร่วมระบบหางานของทางมหาวิทยาลัยแล้ว เหล่าอาจารย์ยังติดต่อไปยังบริษัทหลายๆ แห่ง แค่หางานให้เด็กจบใหม่ได้ก็ถือเป็นชัยชนะสำหรับพวกเขา

ชัดเจนว่าจางเหว่ยรู้ว่าเผยเชียนรู้จักมักจี่กับคนในบริษัทเฟยหวงสตูดิโอ เลยอยากลองเสี่ยงดวงดูเผื่อจะหางานให้เด็กที่ยังเหลืออยู่พวกนี้ได้ อย่างน้อยเขาก็อยากจะให้เด็กสักคนสองคนเข้าไปทำงานที่บริษัทนี้

ถึงโอกาสจะไม่ได้สูง แต่ก็ยังถือว่าพอเป็นไปได้

เผยเชียนรู้สึกดีใจ ถ้าอย่างนั้นก็มาหาถูกคนแล้ว!

มหาวิทยาลัยฮั่นตงเป็นมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้า คนที่เข้ามาเรียนที่นี่ได้ย่อมไม่ใช่คนหัวทึบ แต่คนที่จางเหว่ยกำลังหางานให้คือพวกที่โดนบริษัทอื่นๆ ปฏิเสธมา!

ช่วงเดือนกรกฎาคมถือช่วงจบการศึกษา พวกคนที่จะเรียนต่อต่างกำลังดื่มด่ำใจกับช่วงปิดเทอม พวกที่หางานได้ก็ทยอยเริ่มงานกันแล้ว หรือไม่ก็ใกล้ที่จะเริ่มงาน ส่วนคนที่จะขอสอบแก้ก็ติดต่ออาจารย์ประจำวิชากันหมดแล้ว

ตอนนี้รายชื่อในมือของจางเหว่ยคือกลุ่มคนที่ต้องการหางานและผ่านสัมภาษณ์มานักต่อนัก แต่ก็ยังหางานไม่ได้

ก็ตรงกับที่เผยเชียนต้องการเลยไม่ใช่เหรอ

เผยเชียนรีบตอบ “ได้เลยครับอาจารย์ เดี๋ยวผมจัดการให้ อาจารย์ส่งรายชื่อมาให้ผมได้เลย ผมจะให้พวกเขาไปสัมภาษณ์ที่บริษัท”

จางเหว่ยไม่นึกว่าเผยเชียนจะตอบตกลงเร็วขนาดนี้ “อ๋อ ได้เลย”

หลังจากคุยกันต่ออีกเล็กน้อย เผยเชียนก็วางสาย

ไม่นานจางเหว่ยก็ส่งประวัติของนักศึกษากลุ่มที่ว่ามาให้