ท่านพี่เขียนในจดหมายเอาไว้ว่าแม้กองทัพจะเคลื่อนกำลังพลไปแล้ว แต่ท่านพ่อและท่านพี่ที่เป็นแม่ทัพมิอาจปลีกตัวออกจากค่ายทหารได้ง่ายๆ
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเบาๆ มีคนบนโลกนี้ไม่มากนักที่ทำให้นางรู้สึกคิดถึง
คนทั้งคู่เป็นสองคนแรกรู้สึกคิดถึงและคะนึงหาอย่างที่สุด
“ในเมื่อวันนี้เยว่ฉีมาเยือน เช่นนั้นเพิ่มกับข้าวอีกสักสองสามอย่างเถิด พวกเจ้ารีบไปสั่งพ่อครัวเดี๋ยวนี้”
ตำหนักหลิวซินเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
หลินเมิ้งหยาเป็นเจ้านายที่ค่อนข้างใจกว้าง เวลาดีใจนางมักจะแจกจ่ายเงินให้กับทุกคน
สาวใช้แย้มยิ้มกว้างไม่หุบ แม้แต่ผอจื่อทั้งหลายเองก็รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
ยิ่งได้มารับใช้ที่นี่ ทรัพย์สินก็ยิ่งเพิ่มพูน
ทั้งเจ้านายและลูกน้องล้วนมีรอยยิ้มแต่งแต้มเต็มหน้า
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ หลินเมิ้งหยาหาโอกาสที่จะไปพบกับพ่อแม่ของป๋ายจี
ทว่าป๋ายจีกลับไม่ยินยอม อีกทั้งเอ่ยว่าต้องให้พ่อแม่ของตนเองเป็นฝ่ายมาหานายหญิง
เมื่อไม่มีทางเลือกหลินเมิ้งหยาจึงทำได้เพียงนั่งจิบชาในห้อง
สกุลเดิมของป๋ายจีคือมู่ ครอบครัวของนางล้วนเป็นคนซื่อสัตย์
ปกติอยู่แต่ในไร่ในสวน ดังนั้นจึงรู้สึกว่าประตูหน้าต่างที่นี่ช่างใหญ่โตยิ่งนัก
เมื่อมาถึงจวนอวี้ พวกเขารู้สึกไม่ต่างอะไรจากการเดินอยู่ในสวนขนาดใหญ่
แมกไม้และก้อนหินที่โรยบนทางเดินทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
ตอนแรกป๋ายจีอยากพาพวกเขาเดินชมจวนอวี้ แต่ทั้งสองกลับปฏิเสธ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่คือตำหนักหลิวซินที่พระชายาอวี้ประทับอยู่ ปกติข้าทำงานอยู่ที่นี่”
ใบหน้าของป๋ายจีเผยความภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัดขณะกำลังอธิบายให้พ่อและแม่ของนางฟัง
คนชราทั้งสองเดินตามนางเข้าไป พวกเขาเห็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
“สวัสดีเจ้าค่ะท่านพ่อมู่ ท่านแม่มู่ นายหญิงอยู่ด้านใน เชิญเจ้าค่ะ”
เพียงเดินผ่านประตูเข้ามา สาวน้อยใบหน้ากลมกลึงยืนรออยู่แล้ว
คล้ายกับป๋ายจี เพียงแต่เด็กกว่าเท่านั้น
ท่าทางอ่อนโยนและเป็นมิตร ไร้ซึ่งความใจดำอำมหิต
ความวิตกกังวลของทั้งสองเริ่มคลายลง เจ้านายที่สามารถสั่งสอนสาวใช้ให้มีท่าทางเช่นนี้ได้ย่อมจะต้องเป็นคนมีเมตตาอย่างแน่นอน
ป๋ายจีและป๋ายจื่อนำทางทั้งสองเข้าไปในห้องหลัก
เพียงแง้มประตูออก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเหมยเซียงก็ระเหยฟุ้ง
สายตาเหลือบเห็นหญิงสาวหน้าตางดงาม นางยกยิ้มมุมปาก สวมชุดสีเหลืองเปลือกไข่นั่งอยู่บนตั่ง
งดงามกว่าภาพวาดหลายเท่าตัว
ทั้งสองรีบคุกเข่าลงทำความเคารพ
“ถวายคำนับเหนียงเหนียง ขอให้พระชายาอายุยืนหมื่นปี”
ใบหน้าแดงก่ำ คุกเข่าบนพื้น มิยอมเงยหน้า
จวนขององค์ชายล้วนใช้แต่ของดีมีราคา ขนาดพื้นยังเป็นไม้ชั้นเลิศ
แม้พวกเขาจะสวมชุดใหม่มา แต่ก็ยังกังวลว่าจะทำให้พื้นเลอะเทอะเปรอะเปื้อน
“ทั้งสองท่านรีบลุกเถิด ป๋ายจี ป๋ายซู พยุงนั่งเร็วเข้า”
เสียงอ่อนหวานดั่งเทพธิดาดังขึ้น
จากนั้น นอกจากลูกสาวของตนเอง ยังมีสาวใช้ใบหน้างดงามและมีรอยยิ้มอ่อนโยนเข้ามาพยุงทั้งสองคนขึ้นมา
ทั้งสองก้มหน้าลง ไม่กล้าหันไปมองพระชายา แม้แต่เก้าอี้ที่จัดไว้ให้นั่ง ยังนั่งแต่เพียงฝั่งเดียวเท่านั้น
“ท่านทั้งสองมาอยู่ที่นี่ลำบากหรือไม่?”
พ่อแม่ของป๋ายจีดูมีอายุมากกว่าพวกนางหลายเท่า
แม้จะทำงานอยู่ที่บ้านชีวิตจึงอยู่อย่างสุขสบายกว่าผู้อื่น ทว่าพวกเขากลับใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย
นอกจากนี้ทั้งสองยังดูเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต แม้จะพยายามควบคุมตนเอง แต่ก็ยังรู้เรื่องกฎระเบียบ
ร่องรอยของความพึงพอใจปรากฏอยู่ในสายตาของหลินเมิ้งหยา
ดูเหมือนจะเป็นไปตามที่นางคาด
“ทูลพระชายา มิลำบากเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านพ่อมู่เคยเป็นพ่อบ้านในจวงจื่อมาก่อนจึงมีท่าทางสงบนิ่งและไม่พูดมาก
ดูเหมือนทั้งสองท่านจะสั่งสอนลูกสาวของตนเองมาเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมีลูกสาวอย่างป๋ายจีออกมาได้
“ไม่ลำบากอะไรก็ดีแล้ว ช่วงนี้ข้าเองมิอาจทำอะไรได้โดยไม่มีป๋ายจีแล้ว อย่าดูถูกว่านางอายุยังน้อยเชียว ที่จริงนางมีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก”
หลินเมิ้งหยาพูดอย่างเป็นกันเอง นางมิได้มองว่าพ่อแม่ของป๋ายจีเป็นคนนอก
เมื่อถูกเจ้านายชื่นชม ป๋ายจีหน้าแดงระเรื่อ
ป๋ายซูกับป๋ายจื่อยกชาหอมเข้ามาสองแก้ว
ใบหน้าของคนชราทั้งสองจึงยกยิ้มยินดี
หากมิใช่เพราะป๋ายจีรู้ความจึงขอออกมาทำงานนอกบ้านเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแล้วล่ะก็ พวกเขาคงไม่มีวันยินยอม
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะมีวาสนาได้เจอกับเจ้านายที่แสนดี
ช่วงสองสามวันก่อนระหว่างที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาได้ยินมาว่าป๋ายจีกลายเป็นคนคุมตำหนักเล็กในจวนอวี้แล้ว
ซ้ำยังได้ยินอีกว่าไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ป๋ายจีล้วนเป็นคนจัดการทั้งสิ้น
“ต้องขอบพระทัยเหนียงเหนียงที่มิรังเกียจนาง นางจึงมีวาสนาเช่นนี้”
ท่านพ่อมู่เริ่มเคอะเขินเพราะคำชมของพระชายา เมื่อเห็นท่าทางเป็นกันเอง พวกเขาจึงผ่อนคลายลงมาก
เขาลอบมองบริเวณรอบๆ
ห้องแห่งนี้งดงามราวกับสรวงสวรรค์
อย่าว่าแต่ความงามของนายหญิงเลย แม้แต่คุณชายที่นั่งอยู่ด้านข้างยังมีใบหน้าหล่อเหลางดงามดั่งหยก เขาดูน่ารักกว่าเทพเจ้านาจาที่อยู่ข้างกายเจ้าแม่กวนอิมเสียอีก
“จากนี้ไปพวกเราจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ป๋ายจีเล่าทุกอย่างให้ทั้งสองท่านฟังแล้วใช่หรือไม่”
หลังจากทักทายพอเป็นพิธีแล้วหลินเมิ้งหยาจึงเข้าสู่คำถาม
ทุกคนในห้องนี้ล้วนเป็นคนของนางเองจึงไม่มีอะไรต้องปิดบัง
คนชราทั้งสองครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ยด้วยความระมัดระวัง
“พวกเราซาบซึ้งยิ่งนักที่พระชายาเชื่อใจพวกกระหม่อม ทว่า…แม้กระหม่อมจะเคยเป็นพ่อบ้านที่จวงจื่อ แต่นั่นก็นานมากแล้ว เกรง…เกรงว่าจะทำให้พระชายาต้องเสียงาน”
หลินเมิ้งหยาเดาเอาไว้แล้วว่าทั้งสองจะต้องปฏิเสธ
นางขบคิดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยโน้มน้าว
“ทั้งสองท่านโปรดวางใจ ร้านของข้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากมายนัก ข้าเพียงแต่ต้องการหาคนที่สามารถไว้ใจได้มาช่วยดูแลเพียงเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยาคิดอยากเลี้ยงดูป๋ายซ่าวกับป๋ายจีให้เป็นเจ้าของร้านยาทางฉากหน้า
ส่วนฉากหลัง นางมีแผนของตนเอง
ทั้งสองครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้ารับด้วยความลำบากใจ
หากทำเพียงดูแลร้าน พวกเขาสองคนสามารถทำได้ไม่มีปัญหา
“เช่นนั้นก็ดี พรุ่งนี้ข้าจะพาทั้งสองท่านไปดูร้าน แต่เรื่องนี้จะต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ”
ทั้งสองพยักหน้า พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้ดี
ตกกลางคืนหลินเมิ้งหยาส่งป๋ายจีไปดูแลพ่อแม่ หลังจากตำหนักหลิวซินสนุกคึกครื้นมาทั้งวันในที่สุดบรรยากาศก็กลับมาเงียบสงบ
นางไม่คิดอยากบอกหลงเทียนอวี้เรื่องร้านยา
ช่วงนี้นางรู้สึกว่าหลงเทียนอวี้ปฏิบัติต่อนางไม่เหมือนแต่ก่อน
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเริ่มคลุมเครือ
ไม่ว่าจะทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง นางรู้ดีว่าที่หลงเทียนอวี้ปกป้องนางก็เพราะนางเป็นลูกน้องของเขาคนหนึ่ง เขามิได้รักนางแต่อย่างใด
ฉะนั้นแม้จะใจเจ็บปวด แต่นางก็จำต้องหาทางถอยหนี
“ดึกขนาดนี้แล้ว เหตุใดพระชายาจึงยังตื่นอยู่เล่า”
สายลมพัดผ่าน ร่างบางสวมชุดสีดำปรากฏด้านข้างหลินเมิ้งหยา
อาศัยแสงเทียนอ่านหนังสือ ราวกับว่าหลินเมิ้งหยามิได้สนใจผู้มาเยือนคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ข้านอนไม่หลับ ก็เลยหาอะไรทำฆ่าเวลา”
หลินเมิ้งหยาไม่ส่งเสียงร้องโวยวาย สายตายังคงจับจ้องหน้าหนังสือ
“พระชายาช่างมีความกล้ายิ่งนัก หยุนจู๋เลื่อมใสเหลือเกิน แต่พระชายาคงไม่รู้ว่าศีรษะของพระองค์มีค่ามากขนาดไหนใช่หรือไม่”
ผู้มาเยือนถอดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
หากเพ่งมองให้ละเอียดจะพบว่าใบหน้านี้ดูแก่ชรากว่าแต่ก่อนมาก
นางเคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง เป็นนักฆ่าฝีมือดีแห่งเถาฮวาอู๋…หยุนจู๋
“ดูเหมือนยาพิษของเจ้าจะรุนแรงยิ่งขึ้นแล้ว”
แม้ไม่เหลือบมองแต่เรดาร์ในสมองของหลินเมิ้งหยาก็เริ่มมีปฏิกิริยาต่อหญิงสาวด้านข้าง
นางถอนหายใจแล้วหันหน้ามามอง ดวงตาเปล่งประกายจับจ้องบนร่างของหญิงสาว
“ควรค่าแล้วหรือไม่?”
สิ่งที่หญิงสาวทุกคนบนโลกให้ความสำคัญที่สุดคือใบหน้า
ยิ่งเป็นสาวงาม ก็จะยิ่งให้ความสนใจ
ทว่าหยุนจู๋กลับยอมละทิ้งใบหน้าอันงดงามของตนเพื่อคนอื่น
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่เคยเอ่ยถามแต่นางก็พอจะเดาได้
“ไม่มีอะไรควรค่าหรือไม่ควรค่า แต่หากไม่มีเขา บนโลกใบนี้คงมีเพียงดาบแหลมคมนามหยุนจู๋แต่เพียงเท่านั้น คงไม่มีหญิงสาวมีเลือดเนื้อเช่นข้าในวันนี้”
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าก่อนจะหยิบยาบนโต๊ะขึ้นมา
“กินสิ แม้จะไม่สามารถช่วยถอนพิษของเจ้าได้แต่ก็ไม่ทำให้พิษรุนแรงขึ้น ช่วงนี้อย่าได้ริอ่านทดลองพิษอื่นใดอีก หากพิษแล่นเข้าสู่หัวใจของเจ้าแม้แต่ข้าก็คงไม่อาจช่วยชีวิตเจ้ากลับมาได้”
หลินเมิ้งหยาเล่าอาการของนางให้ฟัง
ร่องรอยแห่งความหวังพลันปรากฏขึ้นในดวงตาของหยุนจู๋
ช่วงนี้นางรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
หากมิใช่เพราะนางยังมีสิ่งที่ต้องดูแล นางคงเสียสติไปแล้ว
“ขอบใจมาก”
นานกว่าหยุนจู๋จะเอ่ยคำขอบคุณ
กลืนยาลงไปโดยไม่สงสัยในตัวหลินเมิ้งหยาเลยแม้แต่น้อย
“ข้าจะพยายามทำเรื่องของเจ้าให้สำเร็จ แต่ข้าต้องการให้เจ้าดูแลกองกำลังของข้าอย่างลับๆ ได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาคิดว่าหยุนจู๋เป็นตัวเลือกที่ดี
หยุนจู๋ปรากฏตัวรวดเร็วดั่งสายลม เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง
นางมิอาจออกหน้าได้ หากมีคนจำชิงหูได้ก็จะมีเรื่องยุ่งยากตามมาทีหลัง
ฉะนั้นหยุนจู๋จึงเหมาะสมที่สุด
“เจ้า…ไม่กล้วข้าหักหลังอย่างนั้นหรือ?”
ร่องรอยของความสงสัยวาดผ่านดวงตาของหยุนจู๋
พวกนางเจอกันเพียงสองครั้ง ทว่าหลินเมิ้งหยากลับเชื่อใจนาง
“ชิงหูเคยบอกว่าตอนที่เจ้าออกจากเถาฮวาอู๋ เจ้าเกือบทำให้พวกเขาต้องล่มสลาย แล้วแบบนี้ข้าจะไม่ใช้คนมีพรสวรรค์เช่นเจ้าได้อย่างไร”
สายตาของหลินเมิ้งหยาปรากฏความใสซื่อบริสุทธิ์
หยุนจู๋ชะงัก จ้องหลินเมิ้งหยาอยู่นาน สุดท้ายจึงเหยียดยิ้ม
“คำพูดของนายหญิงมีเหตุผลยิ่งนัก”
มีเหตุผล…เท่ากับว่านางยอมรับหลินเมิ้งหยาแล้ว
ยื่นมือออกไป หลินเมิ้งหยาวาดรอยยิ้มงดงาม
“เช่นนั้น ยินดีที่ได้ร่วมมือกัน”
เพื่อผู้ชายคนเดียว นางยินยอมที่จะละทิ้งความงามบนใบหน้าของตนเอง
หยุนจู๋เป็นคนหนักแน่นในความรักยิ่งนัก