เล่มที่ 7 บทที่ 185 คุณชายทั้งสาม

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ข้าจะรีบพาเขาไปที่นั่น แต่หวังว่าเจ้าจะปิดบังตัวตนของข้าเอาไว้”

ร่องรอยของความเสียใจปรากฏบนดวงตาของหยุนจู๋

“ได้ เช่นนั้นก็เอาตามนั้น”

หลินเมิ้งหยาไม่ชอบก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นหัวใจของหยุนจู๋จะต้องมีความเจ็บปวดที่นางไม่อาจหยั่งถึง

ขอเพียงหยุนจู๋สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่นางได้ก็เพียงพอ เรื่องอื่นนางไม่สนใจ

“อืม มั่วหรานติดต่อนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋เอาไว้มากมาย แต่ข้าคิดว่าทางฝั่งของพวกเราเองก็ควรมีนามให้เรียก”

หยุนจู๋เป็นคนทำอะไรรวดเร็วว่องไวดังนั้นจึงชี้ให้เห็นปัญหานี้ขึ้นมา

หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนเอ่ยเสียงหวาน

“กลุ่มสามสหาย พวกเราเปิดร้านขายยาอย่างเปิดเผยแต่ลับหลังคือการรวบรวมกำลังพล เช่นนั้นเรียกว่ากลุ่มสามสหายน่าจะดี”

ดวงตาของหยุนจู๋เปล่งประกาย กลุ่มสามสหาย…ฟังดูไม่เลว

“หากต้องการซื้อยา จำต้องไตร่ตรองปัจจัยสามอย่าง เจ้าจงเลือกพวกเขาออกมาสามคนและแต่งตั้งให้เป็นคุณชายทั้งสาม หากใครคิดจะเข้าร่วมกับกลุ่มสามสหายหรือถ้าหากคนของเจียงหูต้องการหาซื้อยา เช่นนั้นคนเหล่านั้นจะต้องผ่านการคัดกรองจากคุณชายทั้งสามเสียก่อน”

หลินเมิ้งหยากำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ค่อนข้างสูง ยิ่งไปกว่านั้นคนธรรมดาสามัญที่จะสามารถใช้ยาได้จะต้องมีคุณสมบัติมากพอสมควร

นางจะนำวิชาแพทย์พิษของตนเองมาใช้

คนธรรมดาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้

ฉะนั้นนางทำเพียงหลบอยู่หลังม่านและออกมาช่วยเหลือในบางคราวก็เพียงพอแล้ว

ค่ารักษาในการถอนพิษและการขายยามีมากพอที่จะทำให้กลุ่มสามสหายดำเนินไปได้อย่างไม่ติดขัด

ยิ่งไปกว่านั้น พวกนักฆ่าแห่งเจียงหูยังมิขัดสนเรื่องเงินทอง

แต่ถ้าไม่มีพวกเขา แล้วนางจะมีเงินได้อย่างไร?

“ข้าเข้าใจแล้ว นายหญิงโปรดวางใจ หยุนจู๋จะสร้างกลุ่มสามสหายขึ้นมาให้จงได้ แต่นายหญิงได้โปรดกำหนดวันเข้าไปที่กลุ่มสามสหายด้วยเถิด ท่านเองก็รู้ว่าตำหนักของท่านมิสามารถเข้ามาได้ง่ายๆ”

หลินเมิ้งหยารู้ หยุนจู๋กำลังพูดถึงการคุ้มกันจากเย่

เย่ไม่เคยเข้ามาแอบฟัง แต่ทุกครั้งที่มีคนย่างกรายเข้ามา เขาจะจับตามองไม่คลาดสายตา

หากปล่อยให้หยุนจู๋เข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ วันใดวันหนึ่งความจะต้องแตกอย่างแน่นอน

ดังนั้นนางจึงควรกำหนดวันเพื่อเข้าไปจัดการเรื่องกลุ่มสามสหาย

“ทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าข้าจะไปที่กลุ่มสามสหาย จำเอาไว้ว่าอย่าได้พูดถึงตัวตนของข้าให้ใครฟังเป็นอันขาด ตอนนี้ถือว่าเจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มแล้ว”

หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าตนเองมิใช่หัวหน้าที่มีความสามารถ

ฉะนั้นจึงควรปล่อยให้คนมีความสามารถจัดการ

หยุนจู๋พยักหน้ารับ สนทนากับหลินเมิ้งหยาอีกสองสามประโยคก่อนจะเร้นกายหายไป

หลินเมิ้งหยาเปิดหน้าต่าง สายลมเย็นอ่อนๆ พัดโชยเข้ามากระทบร่าง นางซุกตัวในผ้าห่ม

ช่วงนี้ชีวิตของนางมีแต่เรื่องน่าตื่นตระหนกตกใจ

มีคนต้องการทำร้ายนางทั้งต่อหน้าและลับหลัง

“ระวังอากาศเย็น”

ภายใต้แสงจันทร์ ร่างหนึ่งเดินเข้ามาเกิดเป็นเงาทาบทับ

เส้นผมตรงยาวพลิ้วไหวไปกับสายลม ใบหน้าหล่อเหลายังคงสุขุมเยือกเย็น

หลินเมิ้งหยาดึงตัวเองออกจากภวังค์ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนให้เขา

“ดึกขนาดนี้แล้วแท้ๆ เหตุใดท่านอ๋องจึงมาถึงที่นี่ได้เพคะ?”

หลงเทียนอวี้เองก็มิอาจตอบได้ ทว่าไม่ว่าจะข่มตานอนอย่างไร เขาก็มิอาจนอนหลับ

สุดท้ายจึงหยิบโคมไฟเดินมาที่ตำหนักของนางโดยไม่รู้ตัว

ภายใต้แสงไฟ ใบหน้านวลละอองดงามสงบนิ่ง เสน่ห์พร่างพราวราวเทพธิดาบนสรวงสวรรค์

ด้วยเพราะเป็นเวลานอน ศีรษะจึงมิได้ปักปิ่นหรือเครื่องประดับอันใด

หัวใจเต้นกระตุก ความอบอุ่นบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง

“ข้า…ยังไม่ง่วง”

นอนไม่หลับ? หลินเมิ้งหยาเปิดประตูออกกว้าง ท่าทางเสมือนภรรยาที่กำลังรอปรนนิบัติสามี

“กำลังเป็นห่วงพระสนมเต๋อเฟยหรือเพคะ?”

พระสนมเต๋อเฟยอยู่ในวังมาหลายวันแล้ว แม้หลงเทียนอวี้จะส่งคนเข้าไปไถ่ถาม แต่คำตอบที่ได้คือพระสนมเต๋อเฟยยังคงอยู่รำลึกความหลังกับฮองเฮา

ความกังวลปรากฏในหัวใจของทั้งคู่

ตกลงกำลังรำลึกเรื่องอะไรอยู่กันแน่? ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีมากพอที่จะมานั่งรำลึกความหลังกันอย่างนั้นหรือ?

“อืม คนที่ข้าส่งไปเอ่ยว่าบรรยากาศในวังหลวงเงียบสงบ หมู่เฟยอยู่ที่ตำหนักของฮองเฮาทุกวัน ตอนนี้พระองค์มีการหนาวสั่น หมอหลวงกำลังถวายการรักษา”

หลงเทียนอวี้ทรุดตัวนั่งลงบนตั่งท่าทางเหนื่อยล้าเล็กน้อย

ยากมากที่ทั้งสองคนจะมีช่วงเวลาอันแสนสงบ แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนลงมาก

“หม่อมฉันคิดว่าฮองเฮามิกล้ากระทำการอุกอาจหรอกเพคะ เหตุเพราะมีคนจับตามองนางมากมาย บางทีพระสนมเต๋อเฟยอาจจะจับไข้หนาวสั่นจริงๆ ว่าแต่พระองค์ได้อ่านรายงานการจับชีพจรของพระสนมเต๋อเฟยหรือไม่เพคะ?”

หลงเทียนอวี้พยักหน้า เขาส่งคนไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว

ในบันทึกเล่มนั้นเขียนอาการไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นอาการจับไข้หนาวสั่น

อีกทั้งยังเขียนไว้อย่างดี ไร้จุดผิดสังเกต

“เช่นนั้นรอก่อนเถิดเพคะ ท่านอ๋องได้โปรดทำใจให้สบาย แม้เกิดเรื่องอันใดขึ้นมาจริงแต่เหนียงเหนียงก็หาใช่คนที่จะถูกกำจัดได้ง่ายๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา วิธีการเอาตัวรอดของเหนียงเหนียงมิธรรมดาเลย”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยปลอบเสียงอ่อน ทว่าหัวใจของนางก็ยังมิอาจสลัดความเป็นห่วงทิ้งไปได้

ฮองเฮา…ผู้หญิงที่ยอมอยู่ใต้คนผู้เดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น

ตอนนี้นางกุมอำนาจสูงสุดของต้าจิ้นเอาไว้

ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับฮองเฮา หลินเมิ้งหยารู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถทำให้นางหายใจติดขัดได้

ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย

“ตั้งแต่ข้าจำความได้ หมู่เฟยต้องเสียสละเพื่อข้าอย่างมากมาย”

มิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนนี้ หลงเทียนอวี้จึงเผยความในใจให้หลินเมิ้งหยาได้ร่วมรับรู้

บางทีอาจเพราะความเงียบสงัดยามค่ำคืน คนเข้มแข็งเช่นเขาจึงเผยความอ่อนแอออกมาให้เห็น

หรือบางทีอาจจะเพราะภายในจวนอันแสนกว้างขวางยิ่งใหญ่นี้ มีเพียงนางที่เข้าใจความรู้สึกกังวลของเขาที่มีให้กับหมู่เฟย

หวนนึกถึงความทรงจำในอดีต หลังจากเอ่ยประโยคแรกแล้ว เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องราวที่เคยประสบพบเจอต่อ

“หลังจากถวายตัวเข้าวัง พระนางได้ขึ้นเป็นพระสนมกุ้ยเฟยเพียงหนึ่งเดียว เมื่อคลอดข้ามาออกมา เสด็จพ่อตั้งความหวังไว้กับข้ามาก บางทีอาจจะตั้งแต่ตอนนั้นที่ฮองเฮาและไท่จื่อเกลียดชังข้า”

หลินเมิ้งหยานั่งฟังเงียบๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวัง นอกจากเจ้าตัวก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดี

ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ

พระสนมเต๋อเฟยกับองค์ชายหลิงหนานเคยมีความหลังด้วยกันมาก่อน แม้ฮ่องเต้จะใจกว้างสักเพียงไหน แต่ก็ไม่มีทางมองข้ามเรื่องนี้ไปได้

แต่เท่าที่ฟังจากปากของพระสนมเต๋อเฟยและหลงเทียนอวี้ นางรู้สึกว่าฮ่องเต้รักและเอ็นดูพวกเขามากจริง ๆ

ตกลงเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นกันแน่?

“ท่านอ๋องอย่ากังวลพระทัยไปเลยเพคะ”

เคยมีใครสังเกตมาก่อนหรือไม่? ทุกครั้งที่หลงเทียนอวี้รู้สึกกระวนกระวาย มือของเขามักจะกำแน่นเสมอ

หลินเมิ้งหยายื่นนิ้วมือเรียวยาวเข้าไปกอบกุมฝ่ามือที่กำลังกำหมัดแน่นบนโต๊ะของหลงเทียนอวี้

ความเย็นชืดจากกำปั้นทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด

ชายผู้นี้สร้างกำแพงขึ้นจากความเย็นชา

แต่ไหนแต่ไรมิเคยมีใครสังเกตเลยว่าด้านหลังของกำแพงแห่งความเย็นชาคือจิตใจอันแสนอ่อนโยน

ความอบอุ่นส่งผ่านจากฝ่ามือไปยังหัวใจ

หลงเทียนอวี้ผินหน้ามาก่อนจะได้เห็นรอยยิ้มอ่อนหวานแสนอบอุ่นของหลินเมิ้งหยา

“พระองค์จะต้องสามารถช่วยเหนียงเหนียงออกมาได้อย่างแน่นอนเพคะ”

สุ้มเสียงแผ่วเบาอ่อนโยนแต่กลับเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น

หัวใจของหลงเทียนอวี้มิเคยสัมผัสถึงความอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อน

เขาพลิกมือกลับแล้วกุมมือนุ่มนิ่มคู่นั้นแน่นโดยไม่รู้ตัว

กำแน่น ราวกับไม่คิดจะปล่อยไปตลอดชีวิต

“ท่านอ๋อง…”

เสียงหวานใสราวกับหยดน้ำ

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลินเมิ้งหยาถูกผู้ชายจ้องมองด้วยสายตาร้อนแรง

แก้มนวลทั้งสองข้างเริ่มร้อนผ่าว คนที่ไม่เคยกลัวฟ้าเกรงดินอย่างหลินเมิ้งหยาก้มหน้าลงเพราะความเขินอาย

แปลกชะมัด นางเป็นอะไรไป?

“ข้า…วันนี้นอนที่นี่ได้หรือไม่?”

จู่ๆ น้ำเสียงของหลงเทียนอวี้กดทุ้มต่ำกว่าเดิม

เขาเพียงแค่ไม่อยากอยู่คนเดียว อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีนางอยู่เป็นเพื่อน

พิศดูใบหูของหลินเมิ้งหยาที่กลายเป็นสีแดง หลงเทียนอวี้ยกมือขึ้นเชยคางของนางขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“ได้หรือไม่?”

เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาทำให้คนฟังรู้สึกหัวใจหวีดหวิวมิกล้าปฏิเสธ

หลินเมิ้งหยาจ้องมองดวงตาสีดำคมกริบคู่นั้น นางรู้สึกเหมือนกับคนเมาเหล้า วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม

“เพคะ คืนละห้าร้อยยี่สิบตำลึง”

ส่งเสียงอ่อนหวานระคนขวยเขิน แต่กลับทำให้หลินเมิ้งหยาอยากมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนี

สวรรค์โปรด นางจะปฏิเสธเขามิใช่หรือ

เขาชะงักก่อนจะยกยิ้ม

“ได้ แต่น่าเสียดายที่ข้ามิได้พกเหรียญมา รับธนบัตรหรือไม่?”

ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะขาดทุนเลยใช่หรือไม่

ห้าร้อยยี่สิบอย่างนั้นหรือ? แพงใช้ได้เลยทีเดียว

“รับเพคะ แต่หม่อมฉันต้องขอรับเงินล่วงหน้าก่อน”

หัวเราะคิกคัก ยื่นฝ่ามือออกไปเพื่อไม่ให้เสียชื่อหลินเมิ้งหยาจอมโลภ

เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน ความเขินอายสักนิดก็ไม่มี

หลงเทียนอวี้มองหญิงสาวที่กำลังแย้มยิ้มอารมณ์ดีตรงหน้า กู่ร้องในหัวใจ

ดูเหมือนพระชายาของเขาจะมิใช่เศรษฐินีธรรมดา

มือยื่นเข้าไปในวงแขน ทว่ากลับไม่มีอะไรให้หยิบออกมา

เขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเงินของตนเองอยู่ในเสื้อคลุมตัวนอก ตอนนี้เขาสวมเพียงชุดประจำวันเท่านั้น

“คือว่า…พรุ่งนี้ค่อยให้ได้หรือไม่? ข้ามิได้เอามา”

เขาแบมือให้เห็นความว่างเปล่าก่อนจะส่งเสียงเชิงลำบากใจ

หลินเมิ้งหยาที่ยังรู้สึกขำกลับแสดงสีหน้าเป็นเชิงขอโทษ

“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่รับแปะโป้ง”

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน หลงเทียนอวี้ที่ถูกหลินเมิ้งหยาดันตัวเขาออกมาจ้องมองหญิงสาวที่ปิดประตูลงต่อหน้าต่อตา

เฮ้อ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?

พอไม่มีเงินก็ถูกพระชายาของตัวเองไล่ออกจากบ้าน

หัวเราะขมขื่นพลางส่ายหน้า ผู้หญิงคนนี้เห็นเรื่องเงินเป็ฯสำคัญจริงๆ

ขณะที่หลงเทียนอวี้กำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าตนเองควรจะพกเงินหลายร้อยตำลึงติดตัวอยู่นั้น เงาดำของร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกาย

“นายท่าน มีข่าวจากในวังพ่ะย่ะค่ะ”

ครู่ต่อมา สีหน้าของหลงเทียนอวี้กลับมาเย็นชาดั่งเดิม

สีหน้าไร้ความรู้สึกหันไปทางเย่

“เกิดอะไรขึ้น?”

เย่คุกเข่าอยู่บนพื้น ส่งเสียงเรียบ

“มีข่าวจากในวัง…ท่านน้าจิ่นเยว่เจ็บป่วยและตายเมื่อคืนพ่ะย่ะค่ะ”

“อะไรนะ!”

ดวงตาของหลงเทียนอวี้เผยให้เห็นถึงความตื่นตะลึง

คนที่เข้าไปอยู่ในวังเป็นเพื่อนหมู่เฟยในคราวนี้คือจิ่นเยว่และจิ้งเยว่

หรือว่า…