“ข้าจะรีบพาเขาไปที่นั่น แต่หวังว่าเจ้าจะปิดบังตัวตนของข้าเอาไว้”
ร่องรอยของความเสียใจปรากฏบนดวงตาของหยุนจู๋
“ได้ เช่นนั้นก็เอาตามนั้น”
หลินเมิ้งหยาไม่ชอบก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นหัวใจของหยุนจู๋จะต้องมีความเจ็บปวดที่นางไม่อาจหยั่งถึง
ขอเพียงหยุนจู๋สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่นางได้ก็เพียงพอ เรื่องอื่นนางไม่สนใจ
“อืม มั่วหรานติดต่อนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋เอาไว้มากมาย แต่ข้าคิดว่าทางฝั่งของพวกเราเองก็ควรมีนามให้เรียก”
หยุนจู๋เป็นคนทำอะไรรวดเร็วว่องไวดังนั้นจึงชี้ให้เห็นปัญหานี้ขึ้นมา
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนเอ่ยเสียงหวาน
“กลุ่มสามสหาย พวกเราเปิดร้านขายยาอย่างเปิดเผยแต่ลับหลังคือการรวบรวมกำลังพล เช่นนั้นเรียกว่ากลุ่มสามสหายน่าจะดี”
ดวงตาของหยุนจู๋เปล่งประกาย กลุ่มสามสหาย…ฟังดูไม่เลว
“หากต้องการซื้อยา จำต้องไตร่ตรองปัจจัยสามอย่าง เจ้าจงเลือกพวกเขาออกมาสามคนและแต่งตั้งให้เป็นคุณชายทั้งสาม หากใครคิดจะเข้าร่วมกับกลุ่มสามสหายหรือถ้าหากคนของเจียงหูต้องการหาซื้อยา เช่นนั้นคนเหล่านั้นจะต้องผ่านการคัดกรองจากคุณชายทั้งสามเสียก่อน”
หลินเมิ้งหยากำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ค่อนข้างสูง ยิ่งไปกว่านั้นคนธรรมดาสามัญที่จะสามารถใช้ยาได้จะต้องมีคุณสมบัติมากพอสมควร
นางจะนำวิชาแพทย์พิษของตนเองมาใช้
คนธรรมดาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้
ฉะนั้นนางทำเพียงหลบอยู่หลังม่านและออกมาช่วยเหลือในบางคราวก็เพียงพอแล้ว
ค่ารักษาในการถอนพิษและการขายยามีมากพอที่จะทำให้กลุ่มสามสหายดำเนินไปได้อย่างไม่ติดขัด
ยิ่งไปกว่านั้น พวกนักฆ่าแห่งเจียงหูยังมิขัดสนเรื่องเงินทอง
แต่ถ้าไม่มีพวกเขา แล้วนางจะมีเงินได้อย่างไร?
“ข้าเข้าใจแล้ว นายหญิงโปรดวางใจ หยุนจู๋จะสร้างกลุ่มสามสหายขึ้นมาให้จงได้ แต่นายหญิงได้โปรดกำหนดวันเข้าไปที่กลุ่มสามสหายด้วยเถิด ท่านเองก็รู้ว่าตำหนักของท่านมิสามารถเข้ามาได้ง่ายๆ”
หลินเมิ้งหยารู้ หยุนจู๋กำลังพูดถึงการคุ้มกันจากเย่
เย่ไม่เคยเข้ามาแอบฟัง แต่ทุกครั้งที่มีคนย่างกรายเข้ามา เขาจะจับตามองไม่คลาดสายตา
หากปล่อยให้หยุนจู๋เข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ วันใดวันหนึ่งความจะต้องแตกอย่างแน่นอน
ดังนั้นนางจึงควรกำหนดวันเพื่อเข้าไปจัดการเรื่องกลุ่มสามสหาย
“ทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าข้าจะไปที่กลุ่มสามสหาย จำเอาไว้ว่าอย่าได้พูดถึงตัวตนของข้าให้ใครฟังเป็นอันขาด ตอนนี้ถือว่าเจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มแล้ว”
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าตนเองมิใช่หัวหน้าที่มีความสามารถ
ฉะนั้นจึงควรปล่อยให้คนมีความสามารถจัดการ
หยุนจู๋พยักหน้ารับ สนทนากับหลินเมิ้งหยาอีกสองสามประโยคก่อนจะเร้นกายหายไป
หลินเมิ้งหยาเปิดหน้าต่าง สายลมเย็นอ่อนๆ พัดโชยเข้ามากระทบร่าง นางซุกตัวในผ้าห่ม
ช่วงนี้ชีวิตของนางมีแต่เรื่องน่าตื่นตระหนกตกใจ
มีคนต้องการทำร้ายนางทั้งต่อหน้าและลับหลัง
“ระวังอากาศเย็น”
ภายใต้แสงจันทร์ ร่างหนึ่งเดินเข้ามาเกิดเป็นเงาทาบทับ
เส้นผมตรงยาวพลิ้วไหวไปกับสายลม ใบหน้าหล่อเหลายังคงสุขุมเยือกเย็น
หลินเมิ้งหยาดึงตัวเองออกจากภวังค์ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนให้เขา
“ดึกขนาดนี้แล้วแท้ๆ เหตุใดท่านอ๋องจึงมาถึงที่นี่ได้เพคะ?”
หลงเทียนอวี้เองก็มิอาจตอบได้ ทว่าไม่ว่าจะข่มตานอนอย่างไร เขาก็มิอาจนอนหลับ
สุดท้ายจึงหยิบโคมไฟเดินมาที่ตำหนักของนางโดยไม่รู้ตัว
ภายใต้แสงไฟ ใบหน้านวลละอองดงามสงบนิ่ง เสน่ห์พร่างพราวราวเทพธิดาบนสรวงสวรรค์
ด้วยเพราะเป็นเวลานอน ศีรษะจึงมิได้ปักปิ่นหรือเครื่องประดับอันใด
หัวใจเต้นกระตุก ความอบอุ่นบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง
“ข้า…ยังไม่ง่วง”
นอนไม่หลับ? หลินเมิ้งหยาเปิดประตูออกกว้าง ท่าทางเสมือนภรรยาที่กำลังรอปรนนิบัติสามี
“กำลังเป็นห่วงพระสนมเต๋อเฟยหรือเพคะ?”
พระสนมเต๋อเฟยอยู่ในวังมาหลายวันแล้ว แม้หลงเทียนอวี้จะส่งคนเข้าไปไถ่ถาม แต่คำตอบที่ได้คือพระสนมเต๋อเฟยยังคงอยู่รำลึกความหลังกับฮองเฮา
ความกังวลปรากฏในหัวใจของทั้งคู่
ตกลงกำลังรำลึกเรื่องอะไรอยู่กันแน่? ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีมากพอที่จะมานั่งรำลึกความหลังกันอย่างนั้นหรือ?
“อืม คนที่ข้าส่งไปเอ่ยว่าบรรยากาศในวังหลวงเงียบสงบ หมู่เฟยอยู่ที่ตำหนักของฮองเฮาทุกวัน ตอนนี้พระองค์มีการหนาวสั่น หมอหลวงกำลังถวายการรักษา”
หลงเทียนอวี้ทรุดตัวนั่งลงบนตั่งท่าทางเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ยากมากที่ทั้งสองคนจะมีช่วงเวลาอันแสนสงบ แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนลงมาก
“หม่อมฉันคิดว่าฮองเฮามิกล้ากระทำการอุกอาจหรอกเพคะ เหตุเพราะมีคนจับตามองนางมากมาย บางทีพระสนมเต๋อเฟยอาจจะจับไข้หนาวสั่นจริงๆ ว่าแต่พระองค์ได้อ่านรายงานการจับชีพจรของพระสนมเต๋อเฟยหรือไม่เพคะ?”
หลงเทียนอวี้พยักหน้า เขาส่งคนไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว
ในบันทึกเล่มนั้นเขียนอาการไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นอาการจับไข้หนาวสั่น
อีกทั้งยังเขียนไว้อย่างดี ไร้จุดผิดสังเกต
“เช่นนั้นรอก่อนเถิดเพคะ ท่านอ๋องได้โปรดทำใจให้สบาย แม้เกิดเรื่องอันใดขึ้นมาจริงแต่เหนียงเหนียงก็หาใช่คนที่จะถูกกำจัดได้ง่ายๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา วิธีการเอาตัวรอดของเหนียงเหนียงมิธรรมดาเลย”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยปลอบเสียงอ่อน ทว่าหัวใจของนางก็ยังมิอาจสลัดความเป็นห่วงทิ้งไปได้
ฮองเฮา…ผู้หญิงที่ยอมอยู่ใต้คนผู้เดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น
ตอนนี้นางกุมอำนาจสูงสุดของต้าจิ้นเอาไว้
ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับฮองเฮา หลินเมิ้งหยารู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถทำให้นางหายใจติดขัดได้
ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย
“ตั้งแต่ข้าจำความได้ หมู่เฟยต้องเสียสละเพื่อข้าอย่างมากมาย”
มิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนนี้ หลงเทียนอวี้จึงเผยความในใจให้หลินเมิ้งหยาได้ร่วมรับรู้
บางทีอาจเพราะความเงียบสงัดยามค่ำคืน คนเข้มแข็งเช่นเขาจึงเผยความอ่อนแอออกมาให้เห็น
หรือบางทีอาจจะเพราะภายในจวนอันแสนกว้างขวางยิ่งใหญ่นี้ มีเพียงนางที่เข้าใจความรู้สึกกังวลของเขาที่มีให้กับหมู่เฟย
หวนนึกถึงความทรงจำในอดีต หลังจากเอ่ยประโยคแรกแล้ว เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องราวที่เคยประสบพบเจอต่อ
“หลังจากถวายตัวเข้าวัง พระนางได้ขึ้นเป็นพระสนมกุ้ยเฟยเพียงหนึ่งเดียว เมื่อคลอดข้ามาออกมา เสด็จพ่อตั้งความหวังไว้กับข้ามาก บางทีอาจจะตั้งแต่ตอนนั้นที่ฮองเฮาและไท่จื่อเกลียดชังข้า”
หลินเมิ้งหยานั่งฟังเงียบๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวัง นอกจากเจ้าตัวก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดี
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ
พระสนมเต๋อเฟยกับองค์ชายหลิงหนานเคยมีความหลังด้วยกันมาก่อน แม้ฮ่องเต้จะใจกว้างสักเพียงไหน แต่ก็ไม่มีทางมองข้ามเรื่องนี้ไปได้
แต่เท่าที่ฟังจากปากของพระสนมเต๋อเฟยและหลงเทียนอวี้ นางรู้สึกว่าฮ่องเต้รักและเอ็นดูพวกเขามากจริง ๆ
ตกลงเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นกันแน่?
“ท่านอ๋องอย่ากังวลพระทัยไปเลยเพคะ”
เคยมีใครสังเกตมาก่อนหรือไม่? ทุกครั้งที่หลงเทียนอวี้รู้สึกกระวนกระวาย มือของเขามักจะกำแน่นเสมอ
หลินเมิ้งหยายื่นนิ้วมือเรียวยาวเข้าไปกอบกุมฝ่ามือที่กำลังกำหมัดแน่นบนโต๊ะของหลงเทียนอวี้
ความเย็นชืดจากกำปั้นทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด
ชายผู้นี้สร้างกำแพงขึ้นจากความเย็นชา
แต่ไหนแต่ไรมิเคยมีใครสังเกตเลยว่าด้านหลังของกำแพงแห่งความเย็นชาคือจิตใจอันแสนอ่อนโยน
ความอบอุ่นส่งผ่านจากฝ่ามือไปยังหัวใจ
หลงเทียนอวี้ผินหน้ามาก่อนจะได้เห็นรอยยิ้มอ่อนหวานแสนอบอุ่นของหลินเมิ้งหยา
“พระองค์จะต้องสามารถช่วยเหนียงเหนียงออกมาได้อย่างแน่นอนเพคะ”
สุ้มเสียงแผ่วเบาอ่อนโยนแต่กลับเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
หัวใจของหลงเทียนอวี้มิเคยสัมผัสถึงความอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อน
เขาพลิกมือกลับแล้วกุมมือนุ่มนิ่มคู่นั้นแน่นโดยไม่รู้ตัว
กำแน่น ราวกับไม่คิดจะปล่อยไปตลอดชีวิต
“ท่านอ๋อง…”
เสียงหวานใสราวกับหยดน้ำ
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลินเมิ้งหยาถูกผู้ชายจ้องมองด้วยสายตาร้อนแรง
แก้มนวลทั้งสองข้างเริ่มร้อนผ่าว คนที่ไม่เคยกลัวฟ้าเกรงดินอย่างหลินเมิ้งหยาก้มหน้าลงเพราะความเขินอาย
แปลกชะมัด นางเป็นอะไรไป?
“ข้า…วันนี้นอนที่นี่ได้หรือไม่?”
จู่ๆ น้ำเสียงของหลงเทียนอวี้กดทุ้มต่ำกว่าเดิม
เขาเพียงแค่ไม่อยากอยู่คนเดียว อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีนางอยู่เป็นเพื่อน
พิศดูใบหูของหลินเมิ้งหยาที่กลายเป็นสีแดง หลงเทียนอวี้ยกมือขึ้นเชยคางของนางขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ได้หรือไม่?”
เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาทำให้คนฟังรู้สึกหัวใจหวีดหวิวมิกล้าปฏิเสธ
หลินเมิ้งหยาจ้องมองดวงตาสีดำคมกริบคู่นั้น นางรู้สึกเหมือนกับคนเมาเหล้า วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
“เพคะ คืนละห้าร้อยยี่สิบตำลึง”
ส่งเสียงอ่อนหวานระคนขวยเขิน แต่กลับทำให้หลินเมิ้งหยาอยากมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนี
สวรรค์โปรด นางจะปฏิเสธเขามิใช่หรือ
เขาชะงักก่อนจะยกยิ้ม
“ได้ แต่น่าเสียดายที่ข้ามิได้พกเหรียญมา รับธนบัตรหรือไม่?”
ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะขาดทุนเลยใช่หรือไม่
ห้าร้อยยี่สิบอย่างนั้นหรือ? แพงใช้ได้เลยทีเดียว
“รับเพคะ แต่หม่อมฉันต้องขอรับเงินล่วงหน้าก่อน”
หัวเราะคิกคัก ยื่นฝ่ามือออกไปเพื่อไม่ให้เสียชื่อหลินเมิ้งหยาจอมโลภ
เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน ความเขินอายสักนิดก็ไม่มี
หลงเทียนอวี้มองหญิงสาวที่กำลังแย้มยิ้มอารมณ์ดีตรงหน้า กู่ร้องในหัวใจ
ดูเหมือนพระชายาของเขาจะมิใช่เศรษฐินีธรรมดา
มือยื่นเข้าไปในวงแขน ทว่ากลับไม่มีอะไรให้หยิบออกมา
เขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเงินของตนเองอยู่ในเสื้อคลุมตัวนอก ตอนนี้เขาสวมเพียงชุดประจำวันเท่านั้น
“คือว่า…พรุ่งนี้ค่อยให้ได้หรือไม่? ข้ามิได้เอามา”
เขาแบมือให้เห็นความว่างเปล่าก่อนจะส่งเสียงเชิงลำบากใจ
หลินเมิ้งหยาที่ยังรู้สึกขำกลับแสดงสีหน้าเป็นเชิงขอโทษ
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่รับแปะโป้ง”
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน หลงเทียนอวี้ที่ถูกหลินเมิ้งหยาดันตัวเขาออกมาจ้องมองหญิงสาวที่ปิดประตูลงต่อหน้าต่อตา
เฮ้อ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?
พอไม่มีเงินก็ถูกพระชายาของตัวเองไล่ออกจากบ้าน
หัวเราะขมขื่นพลางส่ายหน้า ผู้หญิงคนนี้เห็นเรื่องเงินเป็ฯสำคัญจริงๆ
ขณะที่หลงเทียนอวี้กำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าตนเองควรจะพกเงินหลายร้อยตำลึงติดตัวอยู่นั้น เงาดำของร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกาย
“นายท่าน มีข่าวจากในวังพ่ะย่ะค่ะ”
ครู่ต่อมา สีหน้าของหลงเทียนอวี้กลับมาเย็นชาดั่งเดิม
สีหน้าไร้ความรู้สึกหันไปทางเย่
“เกิดอะไรขึ้น?”
เย่คุกเข่าอยู่บนพื้น ส่งเสียงเรียบ
“มีข่าวจากในวัง…ท่านน้าจิ่นเยว่เจ็บป่วยและตายเมื่อคืนพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ!”
ดวงตาของหลงเทียนอวี้เผยให้เห็นถึงความตื่นตะลึง
คนที่เข้าไปอยู่ในวังเป็นเพื่อนหมู่เฟยในคราวนี้คือจิ่นเยว่และจิ้งเยว่
หรือว่า…