ตอนพิเศษห้า

เสวี่ยเจียเยว่หันไปมอง ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่หน้าประตู

แต่สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก แววตาที่มองคนทั้งสองนั้นก็เยือกเย็นราวกับหิมะ

วันนี้เสวี่ยหยวนจิ้งพักอยู่ที่เรือน และรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเชิญพ่อค้าจากเมืองหูโจวมาเลี้ยงข้าว เดิมทีเขาคิดจะมาด้วย แต่ก็ถูกภรรยาห้ามเอาไว้

เธอรู้ว่าหลายวันมานี้เสวี่ยหยวนจิ้งยุ่งอยู่กับการจัดการภัยแล้งในเมืองเหอหนาน กว่าจะได้พักผ่อนทั้งวันเช่นนี้เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย หญิงสาวอยากให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ จึงไม่อยากให้เขามาด้วย อีกทั้งเธอยังมีฉ่ายผิงกับกวนเหยียนตามมาดูแลอีก จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้

หญิงสาวคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาที่นี่จริงๆ ทั้งยังพาเสวี่ยเสี่ยวมาด้วย

และดูจากท่าทางของเขา คงได้ยินคำพูดหยาบคายของบุรุษทั้งสองคนนี้แล้ว

เป็นไปตามที่เสวี่ยเจียเยว่คิด เสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้ามาทันทีโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ จากนั้นจึงยื่นมือไปจับแขนของคนที่กำลังจะดึงแขนเสื้อของเสวี่ยเจียเยว่เมื่อครู่

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ ดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวด

กระดูกแขนของบุรุษหยาบคายผู้นั้นหักทันทีด้วยฝีมือของเสวี่ยหยวนจิ้ง

แม้รูปร่างของเสวี่ยหยวนจิ้งจะดูบอบบางอ่อนแอ แต่เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าพลังในตัวเขามีมากเพียงใด ยิ่งตอนนี้เขากำลังโกรธ ขยับเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้แขนของบุรุษผู้นั้นหลุดออกมาได้ เกรงว่าไม่เพียงแขนจะหลุดออกมาเท่านั้น ยังไม่รู้ว่าจะต่อกลับเข้าไปได้หรือไม่ หรือต่อให้ต่อกลับไปได้ ก็คงใช้การไม่ได้เหมือนเดิม

สหายของเขาตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้สติจึงร้องตะโกนขึ้นมา

“เจ้าเป็นใคร กล้าลงมือทำร้ายคนได้อย่างไร ข้าขอเตือนเจ้า ข้ารู้จักคนในกองกำลังรักษาความสงบเมืองหลวง อีกสักครู่ข้าจะให้เขามาจับเจ้า”

เสวี่ยหยวนจิ้งชำเลืองมองคนผู้นั้นอย่างเย็นชา “คนที่เจ้ารู้จักคนนั้นเป็นใครกันเล่า”

หลังจากอีกฝ่ายตะโกนชื่อหนึ่งออกมา เสวี่ยหยวนจิ้งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

บุรุษผู้นั้นรู้สึกได้ใจขึ้นมา “เขาเป็นรองแม่ทัพ เจ้าจะเคยได้ยินชื่อของเขาได้อย่างไร เจ้ากลัวอย่างนั้นหรือ ดูซิว่าเจ้าจะยังกล้าโอหังเหมือนเมื่อครู่หรือไม่”

รองแม่ทัพในกองกำลังรักษาความสงบของเมืองหลวงเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ดเท่านั้น ด้วยตำแหน่งของเสวี่ยหยวนจิ้งย่อมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

ทว่าเขาเกลียดนักที่คนผู้นี้ชอบพูดจาโอ้อวด อีกทั้งเมื่อครู่ยังพูดจาไม่สุภาพกับเสวี่ยเจียเยว่ เขาจึงขมวดคิ้วแน่น

เพราะไม่อยากเปลืองน้ำลายพูดจาไร้สาระกับอีกฝ่าย เสวี่ยหยวนจิ้งจึงเอื้อมมือไปจับคางบุรุษผู้นั้นไว้ เพียงใช้แรงหนึ่งครั้งเสียง ‘กร๊อบ’ ก็ดังขึ้น คางของอีกฝ่ายหลุดออกจากตำแหน่งเดิมทันที และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก

จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งจึงเหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากประตูไป

เสวี่ยเจียเยว่อุ้มเสวี่ยเสี่ยวแล้วเดินตามเสวี่ยหยวนจิ้งไปอย่างว่าง่าย ฉ่ายผิงกับกวนเหยียนสบตากัน ก่อนจะเดินตามออกไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง เถ้าแก่ที่ยืนกลั้นหายใจอยู่ด้านนอกถึงได้กล้าเดินเข้ามา

บุรุษสองคนนี้ล่วงเกินขุนนางอาวุโสของราชสำนักแล้ว แต่เขาไม่กล้าทักท้วงอะไร ได้แต่เรียกลูกจ้างสองคนในร้านมาไล่พวกเขาสองคนออกไปเหมือนไล่แมลงวันสองตัว

แม้ว่าหน้าผากของคนที่แขนหักจะเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ แต่ก็ยังพูดออกมาได้ เขาถามอีกฝ่ายอย่างโกรธเคือง

“ชายผู้นั้นเป็นใครกัน กล้าดีอย่างไรมาทำกับพวกเราแบบนี้ ข้าจะไปแจ้งเรื่องของเขากับทางการ”

เถ้าแก่เหลือบมองบุรุษคนนั้น ไม่รู้ว่าเขารู้จักคำว่าตายหรือไม่ เถ้าแก่คิดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เขาน่ะ แซ่เสวี่ย ชื่อหยวนจิ้ง เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ หากพวกเจ้าไปแจ้งเรื่องของเขา เกรงว่าคงไม่มีใครกล้ารับเรื่องแน่นอน”

เสวี่ย… เสวี่ยหยวนจิ้ง? หัวหน้ากรมพิธีการ เสนาบดีอาวุโสแห่งเน่ยเก๋อน่ะหรือ

ใบหน้าของคนทั้งสองซีดเผือดด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน

ได้ยินว่าภรรยาของขุนนางใหญ่ผู้นี้เป็นองค์หญิงเฉิงอัน บุตรสาวบุญธรรมของไทเฮา และแม่นางน้อยที่เรียกใต้เท้าเสวี่ยว่าท่านพ่อ เรียกแม่นางเสวี่ยว่าท่านแม่…

นี่พวกเขากล้าพูดจาดูหมิ่นองค์หญิงเฉิงอันเลยหรือ

หญิงสาวมีฐานะสูงส่ง ทั้งยังมีสามีเป็นเสนาบดีอาวุโส แต่ยังออกมาทำกิจการด้วยตัวเอง!

ทั้งสองคนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และไม่กล้าพูดว่าจะไปแจ้งเรื่องของเสวี่ยหยวนจิ้งอีก ก่อนจะรีบร้อนจากไป

เสวี่ยเจียเยว่อุ้มเสวี่ยเสี่ยวเดินตามหลังเสวี่ยหยวนจิ้งออกจากโรงเตี๊ยม เขาเดินอยู่ด้านหน้าโดยไม่หันกลับมามองเธอเลย หญิงสาวจึงอดกระวนกระวายใจขึ้นมาไม่ได้

เสวี่ยหยวนจิ้งเคยเป็นห่วงเรื่องพวกนี้มาก เธอก็เอาแต่คิดว่าเขาคิดมากเกินไป แต่วันนี้กลับเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ

เสวี่ยเจียเยว่อุ้มลูกเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวก็สามารถไปอยู่เคียงข้างเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนชำเลืองมองใบหน้าของเขาอย่างระมัดระวังและเอ่ยถาม

“ท่านพี่ ท่านโกรธข้าอยู่หรือ”

เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองภรรยา ทว่าไม่พูดอะไร

เสวี่ยเสี่ยวที่อยู่ในอ้อมกอดของเสวี่ยเจียเยว่มองผู้เป็นบิดาแล้วตะโกนขึ้น “ท่านพ่อ ท่านอย่าโกรธเลย”

หากเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งพูดคุยกันเสียงดัง เสวี่ยเสี่ยวจะคิดว่าพวกเขากำลังโกรธกันทันที จากนั้นนางจะตะโกนขึ้นมา

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอย่าโกรธกันเลย”

เพื่อไม่ให้นางคิดมาก หากนางตะโกนเช่นนี้ ทั้งเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่จะลูบศีรษะนางแล้วบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“พ่อกับแม่ไม่ได้โกรธ พวกเราเพียงคุยกันเท่านั้น”

จากนั้นเสวี่ยเสี่ยวจะเล่นต่ออย่างมีความสุข

และตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ทว่าขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่กำลังจะลูบศีรษะนาง มือของชายหนุ่มก็วางลงบนหลังมือของภรรยา

ฝ่ามือของเขาอบอุ่นมาก หลายปีมานี้เขามักจะกุมมือหญิงสาวหลับไปทุกคืน เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกว่า ขอเพียงมีเขากุมมือเช่นนี้ ในใจเธอก็จะรู้สึกสงบสุข

เธอยิ้มจนตาหยีพลางลูบศีรษะของเสวี่ยเสี่ยวและกล่าวกับนาง “แม่กับพ่อไม่ได้โกรธ พวกเราเพียงพูดคุยกันเท่านั้น”

ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น เขาก็ชักมือกลับมา

เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงัน คิดว่าเขาคงโกรธจริงๆ ขณะที่กำลังจะพูด จู่ๆ พลันรู้สึกว่าหน้าอกของตนเบาลง เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งยื่นมือมาอุ้มเสวี่ยเสี่ยวออกไป อีกมือก็ยื่นมาจับมือของเธอเอาไว้แน่น

“ข้าไม่รู้ว่าจะดุเจ้าอย่างไร” น้ำเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งฟังดูจนปัญญา “เจ้าชอบทำการค้า ข้าก็ไม่ได้ห้าม แต่เรื่องการต้อนรับเหล่านี้ ทำไมเจ้าต้องมาด้วยตัวเอง เจ้าไม่ยอมบอกใครเกี่ยวกับฐานะสามีหรือฐานะของเจ้า คนอื่นเห็นเจ้าหน้าตาดี อายุยังน้อย คนนิสัยไม่ดีเช่นนั้นจะต้องคิดล่วงเกินเจ้าอย่างแน่นอน อีกอย่าง… ตอนนี้เจ้าก็ตั้งครรภ์อยู่ ควรจะรู้จักระวังเนื้อระวังตัวให้มากกว่านี้”

เสวี่ยเจียเยว่ตั้งครรภ์อีกครั้งนั้นไม่ผิด เธอตั้งครรภ์ได้สองเดือน และเพิ่งรู้เมื่อวานนี้ แต่ยังไม่ได้บอกเสวี่ยหยวนจิ้ง

ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่คลอดเสวี่ยเสี่ยวนั้นนับว่าใช้เวลาไม่นานนัก เมื่อเทียบกับเจียงฉงอวี้แล้ว เธอทรมานน้อยกว่ามาก แต่เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงรู้สึกกลัวอยู่ดีจนไม่ยอมให้เธอตั้งครรภ์อีก หลายปีมานี้เขาจึงแอบกินยาปี้อวิ้น[1]

ช่วงแรกเสวี่ยเจียเยว่ยังไม่รู้ ต่อมาพอรู้เข้าก็บังคับให้เขาหยุดกินยาทันที จนกระทั่งตั้งครรภ์อีกรอบ เธอยังไม่กล้าบอกเสวี่ยหยวนจิ้ง กลัวว่าหากเขารู้แล้วจะไม่ยอมให้เธออุ้มท้องลูกคนนี้ แต่แน่นอนว่าเธออยากมีลูกคนที่สอง…

คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะรู้เรื่องที่เธอตั้งครรภ์

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกกระวนกระวายใจ ทว่าสีหน้ากลับเด็ดเดี่ยว “ท่านพี่ ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร เด็กคนนี้ข้าต้องคลอดออกมา”

เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองภรรยาอย่างจนปัญญา ตัวเขาไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่ต้องคลอดลูกอีก แต่รู้ว่าหญิงสาวรักลูกของตนมาก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ก็ตั้งครรภ์แล้ว…

เขาถอนหายใจก่อนจะกล่าวกับภรรยา “ในเมื่อเจ้าอยากมี เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ เพียงแต่เรื่องการต้อนรับเช่นนี้ อย่าให้เกิดขึ้นอีก หากจำเป็นต้องทำจริงๆ ก็ต้องให้ข้ามาด้วย”

เขาไม่เคยหยุดห่วงเสวี่ยเจียเยว่ โดยเฉพาะตอนที่หญิงสาวตั้งครรภ์เช่นนี้ เขาย่อมไม่อยากให้ภรรยาออกมาต้อนรับใคร

เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าในใจสามีกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่ก็ยังตอบตกลงด้วยความดีใจ ก่อนจะหยอกล้อเสวี่ยเสี่ยวที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา

เสวี่ยเสี่ยวเป็นเด็กร่าเริงพูดเก่ง แม้ว่าตอนนี้นางจะอายุเพียงหกขวบ แต่บางครั้งนางก็พูดมากจนเสวี่ยเจียเยว่ตอบไม่ทัน ทว่าเธอไม่เคยรำคาญลูกสาว กลับอยากจะอุ้มขึ้นมาหอมแล้วชมว่านางพูดเก่ง ทั้งยังบอกอีกว่ารอให้นางโตกว่านี้จะพาออกไปเที่ยวนอกเรือน

เสวี่ยหยวนจิ้งที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ได้แต่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่เคยเห็นมารดาที่ไหนทำตัวเหมือนเด็กเช่นนี้มาก่อน

ตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยเสี่ยวพูดคุยกัน มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย และดวงตาก็เป็นประกายราวกับเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน

ชายหนุ่มมองไปยังหน้าท้องของเสวี่ยเจียเยว่อีกครั้ง สมาชิกครอบครัวมีสี่คน พอคิดดูก็เหมือนว่าจะดีไม่น้อย

เจ็ดเดือนต่อมา ต้นการบูรในลานเรือนเต็มไปด้วยดอกเล็กๆ สีขาวเหลืองแกมเขียว สายลมพัดโชยเบาๆ ดอกการบูรก็ร่วงโรยราวสายฝน ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วลานเรือน

ท่ามกลางกลิ่นหอมของดอกไม้ เสวี่ยเจียเยว่ให้กำเนิดเด็กชาย ทั้งมารดาและลูกปลอดภัยดี

ฉ่ายผิงพาเสวี่ยเสี่ยวเข้าไปในเรือน เด็กน้อยเห็นมารดาของนางเอนกายพิงหัวเตียง และบิดาก็อุ้มทารกที่ดูนุ่มนิ่มเอาไว้ อีกมือกำลังปัดเส้นผมที่เปียกชุ่มข้างแก้มมารดาของนางไปด้านหลังใบหู

เมื่อเห็นเสวี่ยเสี่ยวเข้ามาในห้อง เสวี่ยหยวนจิ้งก็หันไปยื่นมือให้นาง “เสียวเสี่ยว มาหาพ่อกับแม่เจ้าเร็ว”

เสวี่ยเสี่ยวส่งเสียงตอบรับทันที ก่อนจะก้าวเข้าไปอย่างร่าเริง นางพิงบ่าของบิดาพลางมองทารกตัวน้อยในอ้อมแขนของเขา และถามเสวี่ยเจียเยว่

“ท่านแม่ นี่คือน้องชายของข้าหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ใช่แล้ว น้องชายของเจ้า”

ในขณะที่หญิงสาวกล่าว เธอยื่นมือหนึ่งไปกอดนางแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเราทั้งสี่คนจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้ม มือหนึ่งอุ้มลูกชายที่เพิ่งเกิดมา อีกมือก็กอดแม่ลูกทั้งสองไว้

เวลาไม่เคยหวนกลับดั่งสายน้ำที่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ได้เกิดมาในชีวิตนี้พวกเขาไม่เคยนึกเสียดายเลย

[1] หมายถึง ยาคุมกำเนิดที่ใช้ได้ทั้งชายและหญิง