ตอนพิเศษหก (1)
เสวี่ยเจียเยว่เลือกตำแหน่งที่ตั้งร้านที่ดีมากในตลาดทั้งทิศเหนือและทิศใต้ของเมืองหลวง ไม่เพียงสร้างเป็นร้านซู่ยวี่เซวียนเท่านั้น แต่ยังขายผ้าไหม ผ้าแพร ใบชา และเครื่องลายคราม
กิจการของเธอค่อยๆ เติบโตขึ้น สินค้าที่นำเข้ามาขายก็มีจำนวนมาก บางครั้งหากต้องขนสินค้าผ่านเส้นทางอันตราย ก็จะขอให้คนจากสำนักคุ้มครองมาคอยคุ้มกันให้
ครั้งนี้เธอจ้างคนไปรับผ้าไหมสูจิ่นจากแคว้นสู่มาขายในเมืองหลวง ก็ได้เชิญคนจากสำนักคุ้มครองมาคุ้มกันด้วย
เมื่อสินค้ามาถึงเมืองหลวง เสวี่ยเจียเยว่ก็พาฉ่ายผิงกับกวนเหยียนไปตรวจสอบ
เธอเห็นสตรีอายุราวสิบหกถึงสิบเจ็ดปีกำลังยืนพูดคุยกับคนข้างๆ ใบหน้าของนางผู้นั้นงดงามยิ่งนัก
เสวี่ยเจียเยว่มองนางครู่หนึ่ง คนที่อยู่ข้างๆ นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางหงหลิงท่านนี้เป็นผู้คุ้มกันจากสำนักคุ้มครองซิ่งหยวน อย่ามองว่าอายุยังน้อยหรือเป็นสตรี เพราะฝีมือของนางเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมจริงๆ ระหว่างการขนสินค้าพวกเราได้พบกับพวกโจร แต่แม่นางหงหลิงก็สามารถจัดการได้”
แม่นางหงหลิง?
เสวี่ยเจียเยว่เหลือบมองหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง เห็นนางสวมชุดสีแดง และตอนนี้นางก็บังเอิญหันมามองเธอพอดี ทำให้มองเห็นไฝสีแดงขนาดเท่าเมล็ดงาตรงหว่างคิ้วของนาง แสงแดดสาดส่องขับให้สีแดงสดใสยิ่งขึ้น
หัวใจเสวี่ยเจียเยว่สั่นไหว…
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่อาศัยอยู่ในเมืองผิงหยาง เธอเคยคิดจะช่วยเสวี่ยหยวนจิ้งตามหาน้องสาว จึงถามว่าน้องสาวเขามีลักษณะเด่นอะไรบ้าง ในเวลานั้นเสวี่ยหยวนจิ้งบอกว่าน้องสาวของตนมีไฝสีแดงตรงหว่างคิ้ว หลายปีมานี้พวกเขาก็ส่งคนไปตามหามากมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยพบ
แม่นางหงหลิงคนนี้ก็มีไฝสีแดงตรงหว่างคิ้วเช่นกัน…
เสวี่ยเจียเยว่ไตร่ตรองดูครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหาสตรีผู้นั้น
ขณะที่เธอเดินไปนั้น ก็เห็นอีกคนเอ่ยถามนางด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้อง วันแต่งงานของเจ้ากับศิษย์พี่ใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว ครั้งนี้พวกเราก็มาถึงเมืองหลวงพอดี ในเมืองหลวงล้วนมีแต่ของดีๆ เจ้ากับศิษย์พี่ใหญ่อยากซื้อสิ่งใดกลับไปหรือไม่”
เสียงหัวเราะราวกับกระดิ่งเงินดังขึ้น ก่อนที่นางจะตอบ “ไม่ว่าเมืองหลวงจะดีแค่ไหน ข้าก็คิดว่ามันไม่ดีเท่าในแคว้นสู่ของเรา ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ขนผ้าสูจิ่นในแคว้นสู่ของเรามาขายที่นี่ ข้าได้ยินว่าพวกขุนนางและเศรษฐีในเมืองหลวงชอบสวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าสูจิ่น ทั้งยังขายราคาแพงด้วย
“อีกอย่าง… สิ่งที่ข้ากับศิษย์พี่ใหญ่ต้องการใช้ในวันแต่งงาน พวกท่านอาจารย์ก็เตรียมไว้ให้พวกเราตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราหาซื้อเอง พอถึงเวลานั้นแค่รอให้คู่บ่าวสาวไหว้ฟ้าดินเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จพิธี”
สตรีในยุทธภพช่างองอาจตรงไปตรงมา ไม่มีท่าทีเสแสร้งสักนิด
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวหยอกล้อ
ใบหน้าของหงหลิงยังคงมีรอยยิ้ม ทำให้ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีที่อยู่ข้างนางหน้าแดงเรื่อ แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีความสุขมาก
เสวี่ยเจียเยว่จึงรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้น่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่พวกเขาเอ่ยถึง เธอมองพิจารณาครู่หนึ่งก็เห็นว่ารูปร่างของเขาสูงเพรียว ใบหน้าหล่อเหลาอย่างยิ่ง
เธอเดินเข้าไปพยักหน้าให้หงหลิงด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็กล่าวกับนาง “แม่นางหงหลิงใช่หรือไม่”
เมื่อหงหลิงได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมอง พบว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีใบหน้าสะสวย ดวงตาของอีกฝ่ายเป็นประกายราวกับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“ไม่ทราบว่าท่านคือใครหรือ” นางเอ่ยถามอย่างสงสัย
ทันใดนั้นสายตาก็จับจ้องไปที่กำไลเงินบนข้อมือซ้ายของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ หัวใจนางถึงได้สั่นรัว
กำไลเงินวงนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งสวมไว้บนข้อมือของเสวี่ยเจียเยว่ตอนที่อยู่ในเมืองผิงหยาง หลายปีที่ผ่านมาอำนาจและความมั่งคั่งของคนทั้งสองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเสวี่ยเจียเยว่ต้องการกำไลแบบไหนมีหรือว่าจะหาไม่ได้ แต่เธออยากจะสวมกำไลเงินวงนี้ไปตลอด ต่อให้คนอื่นเห็นแล้วรู้สึกว่ากำไลเงินเรียบง่ายนี้ไม่เหมาะสมกับฐานะของเธอ แต่เธอก็ยังจะสวมอยู่ดี
นี่คือของที่เสวี่ยหยวนจิ้งมอบให้เธอ เสวี่ยเจียเยว่ยังจำคำที่เขาเคยพูดตอนสวมกำไลนี้ให้เธอได้ เขาขอให้เธอสวมไว้ห้ามถอดออก เธอเองก็รับปาก และแน่นอนว่าไม่เคยถอดกำไลวงนี้
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่ากำไลเงินวงนี้เป็นของมารดาเสวี่ยหยวนจิ้ง เมื่อเห็นว่าตอนนี้หงหลิงจ้องมองเช่นนั้น ในใจของเธอก็ยิ่งตื่นเต้น ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“แม่นางหงหลิงเคยเห็นกำไลเงินนี้หรือไม่”
เธอเอ่ยถามเช่นนี้อยู่สองครา หงหลิงถึงได้เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาผลซิ่งเต็มไปด้วยความสับสน
“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ข้ารู้สึกเหมือนเคยเห็นกำไลเงินวงนี้ ข้า… ข้าน่าจะคุ้นเคยกับมันมาก”
สีหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ก็งุนงงเช่นกัน ขณะที่เธอกำลังจะถามต่อ ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ก็เดินมาขวางหน้าหงหลิง มองเสวี่ยเจียเยว่แล้วถามเสียงต่ำ
“ฮูหยินท่านนี้ ท่านเป็นใครกันหรือ”
น้ำเสียงนั้นดูไม่ให้เกียรติเท่าไรนัก สายตาที่มองหญิงสาวก็ดูหวาดระแวง ดูเหมือนว่าเขากำลังปกป้องหงหลิงอยู่
เสวี่ยเจียเยว่ชี้ไปยังรถลากม้าสิบกว่าคัน บนรถลากม้าเต็มไปด้วยผ้าสูจิ่น ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าแซ่เสวี่ย ผ้าสูจิ่นพวกนี้ ข้าเป็นคนจ้างสำนักคุ้มครองมาคุ้มกันในการเดินทาง”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือผู้ว่าจ้างผู้คุ้มกัน จึงประสานมือคารวะก่อนจะเอ่ยทักทาย “ฮูหยินเสวี่ย”
จากนั้นเขาบอกว่าตนมีนามว่าจ้าวเทียนโย่ว เป็นผู้คุ้มกันจากสำนักคุ้มครองซิ่งหยวน แต่สีหน้าของเขายังคงระมัดระวังตัวไม่น้อย
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจความหมายของเขาดี จึงพยักหน้าและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “ข้ามีคำถามอยากถามแม่นางหงหลิงสักหน่อย คุณชายจ้าววางใจเถอะ ข้ามิได้มีเจตนาร้าย”
จ้าวเทียนโย่วไม่มีทีท่าว่าจะหลีกไป ได้แต่กล่าวต่อ “ฮูหยินเสวี่ยมีสิ่งใดอยากจะถาม ถามข้าก็ได้”
หงหลิงโผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม เห็นได้ชัดว่านางอยากพูดคุยด้วย แต่กลับถูกจ้าวเทียนโย่วกดศีรษะกลับไป ให้นางหลบอยู่ด้านหลังของตนเท่านั้น
เขาปกป้องหงหลิงอย่างเข้มงวด ดูท่าแล้วเสวี่ยเจียเยว่คงถามนางเพียงลำพังไม่ได้
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่คิดดูแล้ว การถามจ้าวเทียนโย่วก็ไม่ต่างอะไรมากนัก ดังนั้นเธอจึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม และถามหงหลิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แม่นางหงหลิง ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว เป็นคนที่ใด แซ่อะไร บิดามารดาเจ้าเป็นใคร”
คำถามนี้ละเอียดเกินไปจริงๆ ราวกับกำลังไต่สวนนักโทษก็ไม่ปาน
หงหลิงมิได้ตอบอันใด แต่กลับมองไปที่จ้าวเทียนโย่ว
สีหน้าของจ้าวเทียนโย่วมืดมนลง ไม่ตอบแต่กลับเอ่ยถาม “ฮูหยินเสวี่ยถามศิษย์น้องข้าเช่นนี้เพราะเหตุใดหรือ” น้ำเสียงดูไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก
เสวี่ยเจียเยว่รีบอธิบาย “คุณชายจ้าว ข้ามิได้มีเจตนาร้ายจริงๆ ข้าจะบอกเหตุผลให้เจ้าฟังแล้วกัน น้องสาวสามีข้าถูกพ่อค้ามนุษย์เอาตัวไปตั้งแต่นางยังเล็กๆ หลายปีมานี้สามีข้าตามหานางไม่เคยหยุด แต่ก็ยังหาไม่พบ เมื่อครู่เพราะข้าเห็นไฝสีแดงตรงหว่างคิ้วของแม่นางหงหลิง จึงนึกถึงน้องสาวของสามีที่มีไฝสีแดงตรงหว่างคิ้วเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงได้ถามแม่นางหงหลิงดู หากข้าถามเร็วเกินไป คุณชายจ้าวและแม่นางหงหลิงได้โปรดอย่าได้เห็นว่าเป็นเรื่องประหลาด”
ขณะที่กล่าวนั้น เธอก็ย่อตัวขออภัยพวกเขา ท่าทางดูจริงใจไม่น้อย
จ้าวเทียนโย่วกับหงหลิงสบตากัน จากนั้นชายหนุ่มก็เลื่อนสายตากลับไปมองที่เสวี่ยเจียเยว่
สตรีตรงหน้าสวมเสื้อฉางอ๋าวสีแดงทับทิมปักลายดอกเหมยดิ้นทอง ปิ่นปักผมรูปหงส์ทำจากหยกสีแดงฝังด้วยพลอยสีแดงเหลือบทอง เครื่องประดับและเสื้อผ้าทั้งตัวดูหรูหรา รอยยิ้มบนใบหน้าดูจริงใจคล้ายจะไม่ได้โกหกจริงๆ
อีกอย่าง… แม่นางผู้นี้ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกพวกเขา เพราะผ้าสูจิ่นจำนวนมากด้านหลังมีมูลค่ามหาศาล
จ้าวเทียนโย่วพยักหน้าให้หงหลิง นางจึงมองเสวี่ยเจียเยว่แล้วกล่าวขึ้น
“ข้าไม่รู้ว่าข้าแซ่อะไร ปีนี้ข้าอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดข้าเองก็ไม่แน่ใจ บิดามารดาของข้า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ของศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่ใหญ่ช่วยข้าเอาไว้”
ในใจของเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกตื่นเต้น มองจ้าวเทียนโย่วแล้วเอ่ยถาม “เจ้ากับพ่อแม่ของเจ้าช่วยแม่นางหงหลิงไว้อย่างนั้นหรือ ช่วยมาจากใคร แล้วช่วยมาจากไหน”
คิ้วเรียวยาวของจ้าวเทียนโย่วขมวดแน่น เขาคงกำลังย้อนนึกกลับไป จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ได้ยินเขาเอ่ยตอบอย่างช้าๆ
“ตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่พาข้าไปทำงานคุ้มกันสินค้าด้วย ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ข้าได้ยินเสียงเด็กหญิงร้องไห้อยู่ในห้องเก็บฟืน พอข้าเดินไปดูก็เห็นว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังตบตีเด็กหญิงคนนั้น ข้าจึงเรียกท่านพ่อท่านแม่มาดู หลังจากสอบถามถึงได้รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นพ่อค้ามนุษย์ และเด็กหญิงคนนั้นเขาก็ซื้อมา กำลังจะนำตัวไปขายให้หอนางโลม
“ตอนนั้นข้ารู้สึกไม่ยินยอม อีกทั้งเด็กหญิงคนนั้นก็กอดขาของข้าไม่ยอมปล่อย เรียกข้าว่าพี่ชาย ข้าจึงขอร้องให้ท่านพ่อท่านแม่ซื้อตัวนาง พอเอ่ยถามว่านางชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน นางก็ตอบว่าไม่รู้ ท่านพ่อท่านแม่ข้าจึงตั้งชื่อนางว่าหงหลิง พานางกลับแคว้นสู่ และรับนางเป็นศิษย์”
หงหลิงเองก็เพิ่งเคยได้ยินเรื่องราวของตัวเองเป็นครั้งแรก หลังจากได้ฟังจ้าวเทียนโย่ว นางก็จับมือเขาแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ ที่แท้ท่านก็เอ็นดูข้าตั้งแต่แรกเห็นเลยหรือ หรือว่าหลงรักข้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
จ้าวเทียนโย่วหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองนาง “ตอนนั้นพอเจ้าเห็นข้าก็เข้ามากอดขาข้า เรียกข้าว่าพี่ชายก่อนไม่ใช่หรือ ข้าเห็นเจ้าจึงนึกสงสาร ถึงได้ขอให้ท่านพ่อกับท่านแม่พาเจ้ากลับไปด้วย ตอนนั้นเจ้ายังเด็กนัก ดูแล้วก็น่าจะอายุสามสี่ขวบเห็นจะได้ ข้าจะชอบเจ้าได้อย่างไร”
หงหลิงยิ้มจนตาหยี สีหน้าดูคล้ายไม่เชื่อ “ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่สน แต่ในใจข้าคิดว่าท่านหลงรักข้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
ใบหน้าของจ้าวเทียนโย่วแดงเรื่อ แต่ก็ทำใจดุนางไม่ลง ได้แต่ถลึงตามองนางเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเขาเอ็นดูหงหลิงมาก อีกทั้งหลายปีมานี้หงหลิงเองก็น่าจะเป็นคนดีไม่น้อย ไม่อย่างนั้นนิสัยของนางคงไม่ร่าเริงเช่นนี้
เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจ และรู้สึกปวดเบ้าตา
ตามที่พวกเขาสองคนกล่าวมานั้นตรงกับเรื่องที่เธอรู้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องถามเสวี่ยหยวนจิ้ง
หญิงสาวคิดได้ดังนั้นจึงขอให้หงหลิงกับจ้าวเทียนโย่วตามเธอกลับไปด้วย
จ้าวเทียนโย่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่ได้ตอบอะไร แต่หงหลิงอยากตามไปมาก
นางรู้ว่าตนถูกอาจารย์พ่ออาจารย์แม่เก็บมาเลี้ยง แต่โชคดีที่อาจารย์พ่ออาจารย์แม่และศิษย์พี่ทุกคนดีต่อนางมาก ดังนั้นหลายปีมานี้ชีวิตนางจึงนับว่าดีไม่น้อย แต่บางครั้งก็หวังว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาตามหานาง และบอกว่านางเป็นคนในครอบครัวแท้ๆ ของคนผู้นั้น
ไม่ว่าใครในใต้หล้านี้ล้วนอยากมีครอบครัวทั้งนั้น
จ้าวเทียนโย่วเห็นหงหลิงต้องการเช่นนั้นจึงเห็นด้วย
พวกเขาตามเสวี่ยเจียเยว่กลับไป เสวี่ยหยวนจิ้งยังไม่กลับมาที่เรือน และแม่นมพาเสวี่ยเสี่ยวไปเล่นในลานเรือน
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่กลับมา เสวี่ยเสี่ยวก็วิ่งไปหาทันทีพร้อมเรียกมารดา เสวี่ยเจียเยว่อุ้มนางขึ้น จากนั้นก็เชิญจ้าวเทียนโย่วกับหงหลิงเข้าไปในเรือน
ทั้งสองคนกวาดตามองไปทั่วเรือน ก่อนจะนั่งดื่มชาและสนทนากับเสวี่ยเจียเยว่
แต่เสวี่ยเสี่ยวกลับมองเพียงหงหลิงเท่านั้น เมื่อมองดูแล้วก็ปีนลงจากตักของเสวี่ยเจียเยว่ และเดินไปตรงหน้าหญิงสาว
นางเงยหน้าขึ้นมองหงหลิงพร้อมเอ่ยถาม “ท่านเป็นใคร”
หงหลิงเห็นเสวี่ยเสี่ยวก็รู้สึกสนิทสนมเป็นอย่างมาก จึงอดเอื้อมมือไปลูบศีรษะของนางไม่ได้ และกล่าวกับนางด้วยรอยยิ้ม “ข้าชื่อหงหลิง”
เสวี่ยเสี่ยวส่งเสียงตอบรับ จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ข้าชื่อเสวี่ยเสี่ยว แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ข้าเรียกว่าเสียวเสี่ยว ท่านเองจะเรียกข้าว่าเสียวเสี่ยวก็ได้”
หงหลิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและเรียกนาง “เสียวเสี่ยว”
ในใจหญิงสาวชอบเด็กหญิงตรงหน้ายิ่งนัก เมื่อครุ่นคิดสักครู่จึงหยิบกริชออกมาจากรองเท้าหนัง “เสียวเสี่ยว ข้าให้เจ้า”
ส่งของอันตรายให้เด็กตัวเล็กๆ เช่นนี้…
จ้าวเทียนโย่วไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่เมื่อมองดูเสวี่ยเสี่ยวก็คิดว่า ใบหน้าของนางมีความคล้ายคลึงกับหงหลิงอยู่หลายส่วน
หรือว่าหงหลิงจะเป็นน้องสาวสามีของฮูหยินเสวี่ยจริงๆ
ดูจากการแต่งกายของฮูหยินเสวี่ยและสถานที่ที่อีกฝ่ายอยู่ นี่จะต้องเป็นครอบครัวฐานะร่ำรวยแน่ หากหงหลิงเป็นลูกหลานของครอบครัวเศรษฐี พี่ชายของนางจะยอมให้นางแต่งงานกับคนที่ชอบท่องยุทธภพอย่างเขาหรือไม่
เขาอดกระวนกระวายใจไม่ได้
ขณะนั้นฉ่ายผิงก็เดินเข้ามารายงานว่าใต้เท้าเสวี่ยกลับมาแล้ว
ใต้เท้า? ดูท่าเขาผู้นั้นมีตำแหน่งเป็นขุนนางอีกด้วย แล้วคนเช่นนั้นจะชายตามองคนอย่างเขาได้อย่างไร
จ้าวเทียนโย่วคิดเช่นนี้ในใจ จากนั้นก็เห็นบุรุษรูปร่างสูงกำลังสาวเท้าเข้ามา
ท่าทางการเดินที่ดูไม่เร่งรีบของอีกฝ่าย ราวกับต่อให้ผืนฟ้าพังทลาย สีหน้าก็จะไม่แปรเปลี่ยน เมื่อบุรุษผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ จ้าวเทียนโย่วก็เห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดขุนนางสีแดงเข้ม คาดเข็มขัดหยก บนอกเสื้อปักลวดลายไก่ฟ้า
นี่คือชุดที่ผู้เป็นขุนนางอาวุโสขั้นสองเท่านั้นถึงจะสวมได้ หัวใจของจ้าวเทียนโย่วสั่นสะท้าน ชั่วขณะนั้นสมองของเขาพลันขาวโพลน
เสวี่ยเสี่ยววิ่งไปหาเสวี่ยหยวนจิ้งพลางตะโกนเรียกเขา เสวี่ยหยวนจิ้งก้มลงอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ สายตาก็มองไปยังคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง
เขาไม่ชอบงานที่ต้องต้อนรับใคร ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในตำแหน่งเสนาบดีอาวุโสแห่งเน่ยเก๋อ แต่มีคนมาเยี่ยมเขาไม่บ่อยนัก เสวี่ยเจียเยว่เองก็เชิญคนมาที่เรือนน้อยครั้ง ทว่าวันนี้กลับมีคนแปลกหน้ามานั่งอยู่ในเรือนถึงสองคน อีกทั้งยังแต่งตัวเหมือนคนที่ชอบท่องยุทธภพ…
เขามองจ้าวเทียนโย่วกับหงหลิงด้วยความสงสัย
ตอนที่มองจ้าวเทียนโย่วยังไม่เท่าไร แต่พอมองหงหลิงเขาอดตะลึงไม่ได้
เสวี่ยเจียเยว่เดินไปต้อนรับสามี และจูงมือเขาเข้าไป ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่นี้เสียงเบา
“แม้ว่าคำพูดของคุณชายจ้าวกับแม่นางหงหลิงจะตรงกับที่ท่านเคยบอก แต่ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าแม่นางผู้นี้คือน้องสาวของท่านหรือไม่ ดังนั้นจึงเชิญพวกเขากลับมาด้วย ให้ท่านพิสูจน์ดู”
เสวี่ยหยวนจิ้งยังมองหงหลิง และหญิงสาวก็มองเขาเช่นกัน แววตานั้นเต็มไปด้วยคำถาม
เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปกล่าวกับเสวี่ยเจียเยว่ “ไม่ต้องพิสูจน์หรอก นางเป็นน้องสาวของข้า”
ใบหน้าของหงหลิงคล้ายกับมารดาของเขามาก อีกทั้งตอนที่เขาเห็นนางเมื่อครู่ หัวใจก็เกิดรู้สึกคุ้นเคย ความรู้สึกนี้ไม่ผิดแน่
เสวี่ยเจียเยว่ตกตะลึง ก่อนจะเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งอุ้มเสวี่ยเสี่ยวเดินไปหาหงหลิง
รูปร่างของเขาสูงโปร่ง การมองคนอย่างตั้งใจนั้นจึงกดดันมาก แม้ว่าจ้าวเทียนโย่วจะตกใจ แต่เขาก็ยังลุกขึ้นมาขวางหน้าหงหลิงเอาไว้ เผชิญหน้ากับเสวี่ยหยวนจิ้งโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่สนใจอีกฝ่ายสักนิด เพียงถามหงหลิง “ไหล่ขวาของเจ้ามีแผลเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวหรือไม่”
สีหน้าของหงหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา “ท่านรู้ได้อย่างไร”