ตอนพิเศษหก (2)
ดวงตาของเสวี่ยหยวนจิ้งร้อนผ่าว จากนั้นเขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า จะไม่รู้ได้อย่างไร แผลเป็นนั้นเกิดขึ้นตอนที่เจ้าปีนขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่ในลานเรือนเมื่อเจ้าอายุสามขวบ จากนั้นก็ตกใจเพราะมีแม่ไก่กระพือปีกบินผ่านมา จนเจ้าหงายหลังล้มลงกระแทกหินแหลมก้อนเล็กๆ บนพื้น ตอนนั้นเป็นฤดูร้อน เสื้อผ้าที่เจ้าสวมจึงค่อนข้างบาง หินเล็กก้อนนั้นบาดไหล่ขวาของเจ้าเป็นแผลที่ลึกมาก”
หงหลิงมองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยความตกตะลึง
เสวี่ยเจียเยว่เดินไปหานางแล้วดึงมือพาเข้าไปยังห้องด้านใน เมื่อถอดเสื้อออกครึ่งหนึ่ง ก็เห็นว่าบนไหล่ขวาขาวราวหิมะของนางนั้นมีรอยแผลเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวจริงๆ
เธอตื่นเต้นมาก ก่อนจะสวมเสื้อผ้าให้หงหลิงจนเรียบร้อย แล้วจูงมือนางออกไปด้านนอก จากนั้นจึงพยักหน้าให้เสวี่ยหยวนจิ้ง
เสวี่ยหยวนจิ้งกลับดูไม่ตื่นเต้นสักนิด เพียงเม้มปากเงียบๆ เท่านั้น
แต่หลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายปี เสวี่ยเจียเยว่จึงรู้ว่าเขาเป็นคนที่จะไม่เผยอารมณ์ออกมาง่ายๆ ท่าทางในตอนนี้ของเขาดูสงบนิ่ง ทว่าจริงๆ แล้วในใจตื่นเต้นมาก
ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายคงไม่จำเป็นต้องถามอะไรกันอีกแล้ว หงหลิงเป็นน้องสาวของเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ผิดแน่
สองพี่น้องไม่ได้พบกันหลายปี ย่อมต้องมีเรื่องมากมายให้สนทนา เสวี่ยเจียเยว่จึงเรียกจ้าวเทียนโย่วไปนั่งในห้องหนังสือของเสวี่ยหยวนจิ้ง และให้ฉ่ายผิงยกน้ำชากับขนมมาให้ จากนั้นเธอถามถึงชีวิตในช่วงที่ผ่านมาของหงหลิง จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ลำบากอะไร ทั้งยังเป็นที่รักของคนในสำนักคุ้มครองซิ่งหยวน เสวี่ยเจียเยว่ได้ฟังแล้วดีใจแทนนาง
จ้าวเทียนโย่วคอยจับจ้องไปทางห้องโถงใหญ่ตลอดเวลา เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้ว่าเขาเป็นห่วงหงหลิง จึงเอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าวางใจเถอะ นางเป็นน้องสาวของสามีข้า สามีข้าย่อมดีกับนางมาก”
หลายปีมานี้เสวี่ยหยวนจิ้งตำหนิตัวเองเสมอว่าเขาไม่สามารถปกป้องน้องสาวแท้ๆ ของตนได้ แม้ว่าจะไหว้วานคนให้ตามหากี่ปี แต่ก็ยังตามหาไม่พบ ทว่าในที่สุดก็ได้พบแล้ว สมดังปรารถนาเสียที
ความจริงแล้วเสวี่ยเจียเยว่เองก็กังวลเช่นกัน… ถ้าหงหลิงรู้ถึงตัวตนของเธอแล้วจะเกลียดชังหรือไม่ และเสวี่ยหยวนจิ้งจะทำอย่างไร
หญิงสาวรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่ทอดทิ้งเธออย่างแน่นอน แต่เธอก็ไม่อยากให้สามีรู้สึกผิดต่อหงหลิง…
ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น จากนั้นหงหลิงกับเสวี่ยหยวนจิ้งจึงเดินเข้ามา
แม้ว่าดวงตาของหงหลิงจะแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งร้องไห้มา แต่ใบหน้าของนางกลับมีรอยยิ้ม
ตอนที่เห็นเสวี่ยเจียเยว่ นางก็เอ่ยเรียกว่า ‘พี่สะใภ้’ และทำความเคารพอีกฝ่าย
เป็นมารยาทของคนที่อยู่ในยุทธภพ เสวี่ยเจียเยว่ได้รับการยอมรับอย่างน่าประหลาดใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร สายตาก็คอยมองเพียงเสวี่ยหยวนจิ้ง
เสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้าไปกุมมือภรรยาไว้ และยิ้มปลอบโยนอีกฝ่าย
ดูเหมือนว่าเขารู้ถึงสิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่กังวล อีกอย่าง… เขาคงจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ไม่อย่างนั้นหงหลิงคงไม่เรียกเธอว่าพี่สะใภ้อย่างสนิทสนมแบบนี้แน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่กุมมือเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างโล่งอก
เสวี่ยหยวนจิ้งมองจ้าวเทียนโย่วด้วยแววตาเฉยชา ไม่รู้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร
หัวใจของจ้าวเทียนโย่วพลันเต้นรัว เมื่อครู่เสวี่ยเจียเยว่บอกถึงฐานะของเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว เสนาบดีอาวุโสแห่งเน่ยเก๋อ ทั้งยังเป็นหัวหน้ากรมพิธีการ เสวี่ยเจียเยว่เป็นกงจู่ ลูกสาวของเขาเป็นจวิ้นจู่ ฐานะที่สูงส่งเช่นนี้ เขาเคยเห็นเพียงในตำราเท่านั้น
หงหลิงเป็นน้องสาวแท้ๆ ของขุนนางอาวุโสในราชสำนัก นอกจากนี้ยังมีพี่สะใภ้กับหลานสาวที่มีฐานะสูงส่ง…
จ้าวเทียนโย่วคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งคงไม่ยินยอมให้เขาแต่งงานกับหงหลิงเป็นแน่
ทันใดนั้นก็เห็นบุรุษผู้นั้นปัดชายชุดคลุมยาวขึ้น แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเขา
จ้าวเทียนโย่วมองด้วยความตะลึง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร
เสวี่ยหยวนจิ้งหมอบกายลงแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ขอบคุณพวกเจ้าที่ช่วยน้องสาวข้าให้พ้นภัย และขอบคุณที่พวกเจ้าเลี้ยงดูนางมาหลายปีจนเติบใหญ่ ต่อให้ร่างของข้าแหลกสลายเป็นผุยผงก็ไม่อาจตอบแทนหมด ไม่ว่าวันหน้าพวกเจ้ามีเรื่องอันใด ขอเพียงไม่ขัดต่อศีลธรรม ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็จะทำให้ได้”
ขุนนางอาวุโสขั้นสองแห่งราชสำนักคุกเข่าลงตรงหน้าเขา… เป็นเวลานานกว่าจ้าวเทียนโย่วจะได้สติกลับมา ก่อนจะเอ่ยออกมาได้
“ใต้เท้าเสวี่ย ท่าน… ท่านลุกขึ้นเถอะ พวกเราไม่มีสิ่งใดอยากขอร้องให้ท่านทำ…”
ทันใดนั้นสมองของเขาก็นึกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว จึงเปลี่ยนคำทันที “แต่มีเรื่องหนึ่ง”
เสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ได้โปรดพูดมาเถิด”
จ้าวเทียนโย่วมองเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนจะเหลือบมองหงหลิง สุดท้ายก็ตัดสินใจกล่าวออกมา
“ข้ากับหงหลิงได้หมั้นหมายกันแล้ว สองเดือนให้หลังพวกเราจะแต่งงานกัน เดิมทีคิดว่านางไม่มีญาติพี่น้อง แต่ตอนนี้ในเมื่อท่านเป็นพี่ชายนาง…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ จ้าวเทียนโย่วก็คุกเข่าลงตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง กล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ
“ข้าอยากขอร้องท่าน ให้ข้าได้แต่งงานกับหงหลิงด้วย”
แม้ว่าสีหน้าของเขาจะดูสงบ แต่ในใจรู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างมาก
เดิมทีเขาไม่เคยรู้เรื่องครอบครัวของหงหลิงมาก่อน และไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งนางจะตามหาญาติพี่น้องพบ แม้เมื่อครู่เสวี่ยเจียเยว่จะกล่าวคำเหล่านั้นออกมา เขาก็คิดไม่ถึงว่าพี่ชายแท้ๆ ของหงหลิงจะเก่งกาจถึงเพียงนี้
แล้วเสวี่ยหยวนจิ้งจะยอมให้คนอย่างเขาแต่งงานกับน้องสาวของอีกฝ่ายหรือไม่ แต่เมื่อเขาโตมากับหงหลิงจึงไม่อยากแยกจากนางอีก ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องพูดออกไป
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่พูดอะไร ดวงตาที่มองจ้าวเทียนโย่วหรี่ลงเล็กน้อยเพราะอยากมองอีกฝ่ายอย่างละเอียด
จ้าวเทียนโย่วเริ่มกังวลมากขึ้น แต่ยังคงพยายามไม่แสดงออกผ่านสีหน้า เขาโขกศีรษะให้เสวี่ยหยวนจิ้งแล้วกล่าวอย่างจริงใจ
“ข้าสาบานว่าชีวิตนี้ข้าจะดีกับหงหลิง ได้โปรดยอมให้ข้ากับนางได้แต่งงานกันด้วย”
เสวี่ยหยวนจิ้งพยุงเขาลุกขึ้น จากนั้นก็หันไปมองหงหลิง
หงหลิงเงยหน้าขึ้นมองเขา เสวี่ยหยวนจิ้งแอบเสียใจเล็กน้อย น้องสาวตัวน้อยที่ชอบร้องไห้ในตอนนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นหญิงสาวที่ร่าเริง แต่โชคดีที่นางไม่ได้ลำบากอะไร ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกผิดต่อนางไปจนตาย
เขาอดไม่ได้จึงยกมือขึ้นคิดจะลูบศีรษะของนาง แต่กลับถูกนางขมวดคิ้วหลบไป
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้ม สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“เจ้ายังเหมือนตอนเด็กๆ ไม่ชอบให้ข้าลูบหัวเจ้า”
เมื่อครู่นี้หงหลิงได้ฟังเขาพูดถึงเรื่องตอนเด็กมามากมาย และได้รู้ว่าบิดากับมารดาตายแล้ว ตอนนี้เขาเป็นญาติเพียงคนเดียวของนาง
แต่อย่างที่เขาพูด ความจริงแล้วมีมากกว่าหนึ่งคน นั่นคือพี่สะใภ้รวมทั้งหลานสาวก็ล้วนเป็นญาติของนาง
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยถามน้องสาว “เจ้าอยากแต่งงานกับศิษย์พี่ของเจ้าจริงๆ หรือไม่”
หงหลิงพยักหน้าแรงๆ และกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านพี่ ตั้งแต่ข้าจำความได้ ข้าก็โตมาพร้อมกับศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอย่ามองว่าศิษย์พี่ใหญ่พูดน้อย ดูไปแล้วก็เหมือนคนเย็นชา แต่เขาดีกับข้ามาก ข้าอยากได้ดาวบนท้องฟ้า เขาก็จับหิ่งห้อยจำนวนมากใส่ไว้ในมุ้งของข้า ข้าอยากได้ดอกบัว เขาก็ลงไปเด็ดให้ข้า เขาดูแลข้าอย่างใส่ใจมาหลายปีแล้ว ข้าอยากแต่งงานกับศิษย์พี่ใหญ่จริงๆ ข้าจะไม่แต่งกับใครนอกจากเขา”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินดังนั้นจึงเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็มองไปที่จ้าวเทียนโย่วและพยักหน้า “ได้สิ ข้าเห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเจ้า”
เขาอยากให้หงหลิงมีความสุข และความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีอำนาจในมือมากขนาดไหน มีเงินมากมายเท่าไร การที่จะแต่งงานกับใครหงหลิงก็คงตัดสินใจดีแล้ว
เมื่อหงหลิงได้ยินเช่นนั้น นางดีใจมากจึงรีบวิ่งไปยืนข้างจ้าวเทียนโย่ว และยื่นมือไปพยุงแขนของเขาพร้อมยิ้มให้เสวี่ยหยวนจิ้งจนดวงตากลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
เสวี่ยเจียเยว่ก็ดีใจกับพวกเขา วันนี้เธอเข้าครัวด้วยตัวเองเพื่อทำกับข้าวมื้อใหญ่เป็นการเลี้ยงฉลอง
เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งอยากให้พวกเขาอยู่ที่เมืองหลวงตลอดไป แต่หงหลิงกับจ้าวเทียนโย่วจะอยู่ที่นี่อีกสามวัน และยังยืนกรานว่าจะกลับไป
นางกล่าวกับเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ข้าก็อยากเห็นท่านทุกวัน อยากอยู่กับท่าน แต่เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ สำหรับข้า แคว้นสู่คือบ้านของข้า ข้าคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่นั่น และที่แคว้นสู่ก็มีอาจารย์พ่ออาจารย์แม่รวมทั้งศิษย์พี่คนอื่นๆ ในสำนักคุ้มครอง พวกเขาต่างดีกับข้ามาก หากไม่มีพวกเขา ข้าก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าจะเป็นอย่างไร ข้าเองอยากอยู่กับอาจารย์พ่ออาจารย์แม่และเหล่าศิษย์พี่ของข้า พวกเขาอยู่กับข้ามานานจนกลายเป็นญาติสนิทของข้าไปแล้ว ข้าไปจากพวกเขาไม่ได้”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองนางอย่างเงียบงัน เขาอยากให้นางอยู่ข้างๆ แต่ก็อยากให้นางมีความสุขทุกวัน
ในที่สุดเขาก็เห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด
ในตอนเช้าสามวันต่อมา เสวี่ยหยวนจิ้งพาเสวี่ยเจียเยว่และเสวี่ยเสี่ยวไปส่งหงหลิงกับจ้าวเทียนโย่วที่ศาลาพักริมทางนอกเมืองหลวงห่างไปสิบลี้ หลังจากชายหนุ่มมองน้องสาวเงียบๆ เป็นเวลานาน เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของนาง ซึ่งหงหลิงก็ไม่ได้หลบเลี่ยงเช่นครั้งก่อน
เสวี่ยหยวนจิ้งลูบศีรษะนางพลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “จำไว้ว่าเจ้าแซ่เสวี่ย มีพี่ชายและครอบครัว ถ้าใครรังแกเจ้า จงเขียนจดหมายมาหาข้า แม้ไกลหลายพันลี้ ข้าก็จะไม่ให้คนที่กล้ารังแกเจ้ามีชีวิตที่สุขสบาย”
เขายิ้มให้นางแล้วพูดต่อ “เมืองหลวงเป็นบ้านของเจ้าเสมอ ข้าจะเก็บห้องไว้ให้เจ้า ยินดีต้อนรับเจ้ากลับมาทุกเมื่อ”
หงหลิงตื้นตันใจ นัยน์ตาก็แสบร้อนขึ้นมา
นางกอดเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วกล่าวเสียงเบา “ท่านพี่ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านวางใจเถอะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี ข้าจะกลับมาหาท่านบ่อยๆ”
จากนั้นนางก็กอดเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยเสี่ยว กระทั่งหอมแก้มเสวี่ยเสี่ยวและเอ่ยกับเด็กน้อย “เรียกข้าว่าท่านอา”
หลายวันมานี้เสวี่ยเสี่ยวสนิทสนมคุ้นเคยกับหงหลิงมาก จึงเรียกนางว่า ‘ท่านอา’ ทันที
หงหลิงลูบศีรษะของนางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กดี คราวหน้าอาจะเอาขนมอร่อยๆ มาให้”
นางโบกมือลาพวกเขาทั้งสามคน ก่อนจะขึ้นไปบนหลังม้า เมื่อสองเท้าของม้ายกขึ้น มันก็ห้อตะบึงไปข้างหน้า และภาพของพวกเขาก็จางหายไปในที่สุด
เสวี่ยเจียเยว่เห็นพวกเขาจากไปไกลแล้ว จึงหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้ง เห็นสายตาของเขายังคงมองไปเบื้องหน้า
เธอเองก็รู้สึกเศร้าใจเช่นกัน ในใจคิดจะปลอบเสวี่ยหยวนจิ้งจึงเอ่ยขึ้น
“อีกสองเดือนจะถึงวันแต่งงานของนางกับเทียนโย่วแล้วไม่ใช่หรือ พอถึงตอนนั้นพวกเราไปร่วมงานแต่งงานที่แคว้นสู่ก็ได้”
น้องสาวเพียงคนเดียวออกเรือน ตระกูลเดิมของนางจะต้องไปร่วมงาน
เสวี่ยหยวนจิ้งส่งเสียงเป็นคำว่า ‘อือ’ เขาอุ้มเสวี่ยเสี่ยวไว้ในอ้อมแขน และจับมือของเสวี่ยเจียเยว่ จากนั้นจึงเดินกลับไป
เสวี่ยเจียเยว่พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ที่จริงแล้วพอคิดถึงแคว้นสู่ ที่นั่นก็ไม่ไกลจากเมืองหลวงเท่าไรนัก ไม่แน่ท่านอาจจะมีงานต้องไปที่แคว้นสู่ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราก็พาเสียวเสี่ยวไปเยี่ยมหงหลิงได้ อีกทั้งยังสามารถเขียนจดหมายหานาง ให้นางมาอยู่ที่เมืองหลวงสักระยะก็ยังได้”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่กำลังปลอบใจตน จึงส่งเสียงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เสวี่ยเจียเยว่ถามเขาอีก “ท่านว่างานแต่งของหงหลิง พวกเราในฐานะพี่ชายพี่สะใภ้ของนาง ควรจะมอบของขวัญอะไรให้นางดี”
เธอคิดว่าการให้ของขวัญแต่งงานแก่หงหลิงนั้นเป็นสิ่งที่สมควร เพราะหลายปีก่อนเสวี่ยเจียเยว่มักจะรู้สึกว่าตนครอบครองตำแหน่งของหงหลิงมานาน และมีความสุขกับความรักความเอ็นดูจากเสวี่ยหยวนจิ้ง ในใจจึงรู้สึกผิดต่อนางมาก
“เจ้าเป็นพี่สะใภ้นาง เจ้าจัดการเรื่องพวกนี้ได้เลย ถ้าเจ้าว่าดีข้าก็ว่าดี”
เสวี่ยเจียเยว่รับคำ จากนั้นเธอครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ได้จึงถามเขา
“ท่านพูดถึงข้าให้หงหลิงฟังอย่างไรบ้าง”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่เชื่อว่าถ้าหงหลิงรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของแม่เลี้ยงที่ชั่วร้ายคนนั้น ในใจนางจะไม่เกิดปรปักษ์ แต่ดูจากความสนิทสนมของหงหลิงกับเธอในช่วงหลายวันมานี้ ราวกับว่านางไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งมองภรรยาด้วยรอยยิ้ม และรู้ว่าในใจของอีกฝ่ายต้องรู้เรื่องนี้ดี
จู่ๆ เขาก็นึกสนุกจึงเอ่ยออกมา “ไม่บอกเจ้าหรอก”
หลายปีมานี้นับวันเขาก็ยิ่งสุขุม แต่ตอนนี้กลับพูดประโยคที่ดูมีแต่เด็กเท่านั้นถึงจะพูดออกมา ทำให้เสวี่ยเจียเยว่ชะงักไป จากนั้นก็ทั้งโกรธและอยากขำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เธอยิ่งอยากรู้คำตอบจึงเอ่ยถามอย่างร้อนรน “ข้าอยากรู้ รีบบอกข้ามาเร็ว”
“ไม่บอก”
“รีบบอกข้า”
“ไม่มีทาง”
เสวี่ยเสี่ยวก็อยากเล่นสนุกด้วย คนร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของเสวี่ยหยวนจิ้งจึงแกล้งแลบลิ้นใส่เสวี่ยเจียเยว่พร้อมเอ่ยปนเสียงหัวเราะ “ไม่บอก”
เสวี่ยเจียเยว่มองพ่อลูกคู่นี้อย่างโกรธเคือง แต่พอมองดู จู่ๆ เธอก็หัวเราะออกมา และเดินไปคว้าแขนของเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้
“ไม่ว่าท่านจะพูดกับหงหลิงอย่างไร ข้าก็จะอยู่กับท่าน ต่อให้อยากทิ้งก็ทิ้งไม่ได้”
แสงแดดอันอบอุ่นในต้นฤดูหนาวส่องกระทบลงบนต้นแปะก๊วยที่ปลูกไว้เต็มสองข้างทาง เมื่อลมพัดผ่านมา ใบของมันก็ร่วงโรยราวกับสายฝนสีทอง
ทั้งสามคนเหยียบใบแปะก๊วยสีทองและเดินไปเบื้องหน้าอย่างช้าๆ
ก้อนเมฆจางๆ ลอยอยู่บนท้องฟ้า บรรยากาศยามนี้ช่างสงบสุขยิ่งนัก
จบตอนพิเศษ
ตอนต่อไป →