เล่ม 1 ตอนที่ 165 สถานการณ์กลับตาลปัตร

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“ดูเหมือนว่าวันนี้จะโชคดีไม่น้อยเลย ไม่เพียงแต่จะได้จิ้งจอกม่วงมาเท่านั้น ยังมีเรื่องน่ายินดีอันเหนือความคาดหมายอีกด้วย” ฉินอู่เห็นว่ามีเพียงแค่ไป๋อวิ๋นฉีกับคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนห้าคนเท่านั้น จึงเกิดความดีใจขึ้นมา

ถ้าหากสังหารไป๋อวิ๋นฉีได้ ย่อมเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของกลุ่มทหารรับจ้างนกนางนวลอย่างมหาศาล ทั้งยังทำให้บิดาของเขาล้มอย่างลุกไม่ขึ้นอีกด้วย ใครใช้ให้เขาเป็นลูกโทนกันเล่า!

“ฉินอู่ พวกเขามิใช่คนของกลุ่มทหารรับจ้างเสียหน่อย เจ้าปล่อยพวกเขาไปเสีย” ไป๋อวิ๋นฉีเห็นแววอาฆาตในดวงตาของฉินอู่ก็รู้ว่าวันนี้เคราะห์ร้ายเสียแล้ว จึงเข้าไปยืนด้านหน้า ปกป้องพวกซือหม่าโยวเย่ว์โดยสัญชาตญาณ

พวกซือหม่าโยวเย่ว์ล้วนสังเกตได้ถึงการกระทำของเขา จึงประสานสายตากันไปมาโดยไม่เอ่ยวาจา

“เจ้าเด็กไป๋ จะบอกว่าเจ้าไร้เดียงสาหรือโง่เง่าดีเล่า” ฉินอู่ยิ้มเย็น “หากปล่อยพวกเขาไปแล้วพวกเขาไปรายงานหลี่ขุยเล่า ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องอยู่ที่นี่กันให้หมดสิ!”

พอพูดจบเขาก็โบกมือ คนของกลุ่มทหารรับจ้างโอหังจึงเข้ามาล้อมพวกเขาทั้งหมดเอาไว้ตรงกลาง

“ฉินอู่ เจ้าทำเช่นนี้ คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาเป็นอย่างดีแล้วใช่หรือไม่” ไป๋อวิ๋นฉีส่งเสียงเฮอะดังลั่น “ถ้าหากท่านพ่อข้ารู้ว่าเจ้าลงมือกับข้า กังวลแต่ว่าเขาจะพาคนมาล้างบางกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเจ้าน่ะสิ!”

“เฮ้ย… ยกบิดาเจ้าออกมาขู่เลยสินะ บิดาหัวร้อนของเจ้าเป็นตัวยุ่งยากจริงๆ นั่นแหละ ดังนั้นวันนี้ยิ่งมิอาจปล่อยพวกเขาไปได้เลย ถ้าหากพวกเขาเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปพูด เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตเลยทีเดียว คนฉลาดย่อมต้องตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมสิ” ฉินอู่พูด

ไป๋อวิ๋นฉีหยิบอาวุธของตนออกมาแล้วพูดกับพวกซือหม่าโยวเย่ว์ว่า “อีกประเดี๋ยวข้าจะต้านทานพวกเขาไว้อย่างสุดความสามารถ พวกเจ้าพลังยุทธ์ไม่แข็งแกร่งนัก อย่ามาเสี่ยงกับพวกเขาเลย หากสบโอกาสก็วิ่งหนีไปเสีย เข้าใจหรือไม่”

“เช่นนั้นท่านจะทำอย่างไรเล่า” เจ้าอ้วนชวีถาม

“ถ้าหากพวกเจ้าหนีออกไปได้ แค่บอกให้พวกท่านอาหลี่มาแก้แค้นแทนข้าด้วยก็พอแล้ว” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าต้องหาจังหวะหนีไปนะ”

ถึงแม้ว่าการที่ไป๋อวิ๋นฉีไม่เห็นความสามารถของพวกเขาอยู่ในสายตาจึงอับจนคำพูดอยู่บ้าง แต่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังคงหยิบอาวุธของตัวเองออกมา

“ในเมื่อมาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แน่นอนว่ารวมถึงเจ้าจิ้งจอกม่วงนั่นด้วย”

เมื่อได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ ฉินอู่จึงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา คล้ายกับว่าได้ฟังเรื่องที่น่าตลกขบขันเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านหัวหน้ากลุ่ม เจ้าพวกนี้ถึงกับกล้าพูดว่าจะกลับออกไปพร้อมกันอย่างนั้นหรือ ข้าว่าพวกเราส่งพวกเขาไปยมโลกให้เร็วสักหน่อยเถิด!” บุรุษผมสีเหลืองคนหนึ่งพูดกลั้วหัวเราะ

ไป๋อวิ๋นฉีหันไปก็เห็นว่าทุกคนล้วนชักอาวุธออกมากันหมดแล้ว จึงพูดว่า “พวกเจ้าคิดได้เช่นนี้ข้าช่างเบิกบานใจยิ่งนัก แต่พวกเราเพิ่งจะรู้จักกันได้เพียงวันเดียวเท่านั้น พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตมาทิ้งเพราะข้าหรอกน่า!”

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้พวกเราหนีไปเล่า” เว่ยจือฉีพูด

ไป๋อวิ๋นฉีตกตะลึงเพราะคำถาม จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ข้าก็แค่ไม่อยากลากพวกเจ้ามาลำบากด้วยเท่านั้นเอง”

“ท่านหัวหน้ากลุ่ม หญิงสาวผู้นี้รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลย หรือว่าพวกเราจะหาความสุขจากนางก่อนแล้วค่อยฆ่าทิ้ง ว่าอย่างไรเล่าขอรับ” ชายหนุ่มรูปร่างเตี้ยและดูหยาบโลนคนหนึ่งพูดพลางมองเป่ยกงถังอย่างหื่นกระหาย

“เข้ามาเลยไหมเล่า” เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยล้วนเป็นพวกพร้อมท้าชนอยู่แล้ว สายตาที่คนเหล่านี้มองพวกตนทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเอาเสียเลย

“ถึงกับกล้าพูดกับเทพธิดาของพวกเราด้วยคำพูดพรรค์นี้ได้ แค่นี้ก็เพียงพอให้ฆ่าพวกเจ้าตายได้แล้ว” เจ้าอ้วนชวีพูดจบก็ยกกำปั้นของตนแล้วเหวี่ยงเข้าใส่ชายลามกผู้นั้น

“ราชาวิญญาณขั้นสองหรือ ชิ คุณชายเช่นข้า… อ๊ากกก…” ชายผู้นั้นย่อมไม่เห็นเจ้าอ้วนชวีอยู่ในสายตาเลย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาเดียวเจ้าอ้วนชวีก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้วชกศีรษะเขาหมัดหนึ่ง ทำเอาเขามึนงงไปเลยทีเดียว

ไป๋อวิ๋นฉีเห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าหากวันนี้ไม่จัดการพวกเขาเสีย พวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่มีทางหนีรอด จึงเอ่ยอย่างจนใจว่า “ฉินอู่ผู้นั้นเป็นบรรพวิญญาณขั้นห้า ข้าเพิ่งเป็นขั้นสามเท่านั้น แต่ข้าพอถ่วงเวลาเอาไว้ได้ระยะหนึ่ง พวกเจ้ารีบไปจัดการคนอื่นเสีย หลังจากนั้นค่อยมาช่วยข้า”

“บรรพวิญญาณขั้นห้าหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองฉินอู่แล้วพูดว่า “ไม่ใช่แค่บรรพวิญญาณขั้นห้าเท่านั้นหรอก ข้ายังคิดว่าอีกก้าวเดียวก็จะไปถึงระดับราชันวิญญาณแล้วกระมัง! มิฉะนั้นจะโอหังเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า”

“เจ้าเด็กบ้า!” เมื่อถูกซือหม่าโยวเย่ว์ดูหมิ่น ฉินอู่จึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บอาวุธเข้าไป ก่อนจะหักข้อนิ้วมือทั้งสองข้างแล้วพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “สู้กับสัตว์ประหลาดมามากมายแล้ว แต่ข้ายังไม่เคยต่อสู้กับมนุษย์ที่เป็นยอดฝีมือมาก่อนเลย จุ๊ๆ วันนี้ได้ใช้ฝึกฝีมือพอดีเลย!”

“โยวเย่ว์ เจ้าเอาชนะเขาได้อย่างนั้นหรือ” ไป๋อวิ๋นฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ คำพูดของเธอทำเอาเขาตกใจจนสะดุ้ง

“ไม่เคยสู้กับบรรพวิญญาณมาก่อนเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสัตย์จริง

แต่สู้กับสัตว์อสูรทิพย์มาไม่น้อยแล้ว

“เช่นนั้นเจ้าอยู่ระดับขั้นใดกัน” ไป๋อวิ๋นฉีถามอีก

“บรรพวิญญาณขั้นหนึ่งกระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างคลุมเครือ

ระดับขั้นสู้ฉินอู่มิได้ แต่พลังรบมิได้มีเพียงเท่านี้

“บรรพวิญญาณขั้นหนึ่งหรือ” ไป๋อวิ๋นฉีตกใจกับคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ คิดไม่ถึงว่าเธอยังดูเยาว์วัย แต่พลังยุทธ์เกือบจะตามตนทันอยู่แล้ว “ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าจะไม่เลวเลยจริงๆ แต่การบำเพ็ญนี้ห่างกันเพียงระดับขั้นเดียวก็อาจจะมีช่องว่างที่มิอาจข้ามผ่านได้เกิดขึ้นแล้ว ระดับขั้นของเจ้ายังสู้ข้ามิได้ และถ้าเทียบกับเจ้าโจรเฒ่านั่นก็ยังห่างกันถึงสี่ขั้น เจ้าไปอยู่กับพวกจือฉีจะดีกว่านะ”

เว่ยจือฉีดึงตัวไป๋อวิ๋นฉีมาแล้วพูดว่า “โยวเย่ว์อยากเล่นก็ปล่อยให้เล่นไปเถิด ท่านมาช่วยพวกเราเก็บกวาดคนพวกนี้กันก่อน หลังจากนั้นค่อยมาดูเขาเล่นก็แล้วกัน”

“แต่ว่า…”

ไป๋อวิ๋นฉียังไม่ทันได้พูด ซือหม่าโยวเย่ว์ก็โจมตีเข้าใส่ฉินอู่เสียแล้ว ส่วนพวกเว่ยจือฉีก็เริ่มต่อสู้กับคนอื่นๆ

“บ้าจริง นี่มันอะไรกัน” พอเขามองซือหม่าโยวเย่ว์และฉินอู่เหินลอยไปได้ครู่หนึ่ง เมื่อหันมาก็เห็นโอวหยางเฟยและเป่ยกงถังจัดการผู้อื่นได้คนละหนึ่งคนแล้ว

ส่วนเจ้าอ้วนชวีก็โจมตีคนผู้หนึ่งเสียจนยับเยิน หมดแรงจะสู้โดยสิ้นเชิง

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนเหล่านี้ดูเหมือนพลังยุทธ์จะไม่สูงส่งนัก แล้วพลังการต่อสู้ของแต่ละคนน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน

นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ระยะประชิดหรือว่าจะเป็นการดวลพลังวิญญาณ ทุกกระบวนท่าของพวกเขาล้วนมีเป้าหมาย ไม่มีการเสียแรงเปล่าเลยแม้แต่นิดเดียว

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นผลลัพธ์จากการผ่านการฝีกฝนเป็นระยะเวลาอันยาวนาน

เห็นพวกเขาสู้กันอย่างดุเดือดเช่นนี้ เขาเองก็คันไม้คันมือ จึงพุ่งเข้าไปหาคนที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุดบ้าง

ตอนนี้พอมาดูแล้ว ดูเหมือนว่าวันนี้จะมิใช่เคราะห์ร้ายของพวกเขา แต่เป็นวันตายของพวกฉินอู่ต่างหากเล่า!

เพียงไม่นานพวกเขาก็จัดการพวกลูกสมุนสิบกว่าคนไปจนหมดโดยที่พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใดเลย

เมื่อเห็นซากศพที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น แล้วมองคนทั้งสี่ที่แทบจะไม่มีโลหิตเปรอะเปื้อนเลยด้วยซ้ำ ไป๋อวิ๋นฉีก็เกิดความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้วงความฝัน

นี่มันมิได้เรียกว่าการประลองแล้ว แต่เป็นการล้างบางอย่างทารุณต่างหากเล่า!

ส่วนทางด้านซือหม่าโยวเย่ว์ ทั้งสองต่อสู้กันหลายยก ฉินอู่มิได้ดูแคลนเธอเหมือนเมื่อครู่อีกต่อไปแล้ว นัยน์ตาเผยแววเคร่งเครียด

ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเว่ยจือฉีปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “กรงเล็บของเจ้าถูกตัดหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่กำปั้นของเจ้าอย่างเดียวแล้วล่ะ”

ฉินอู่จึงค่อยค้นพบว่าคนของกลุ่มโอหังถูกพร่าผลาญไปจนสิ้นแล้ว พวกเว่ยจือฉีกำลังยืนดูการต่อสู้ระหว่างพวกเขาอยู่บนพื้นที่ว่าง

“เฮอะ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้ายังบังอาจมาเปรียบกับข้า ฉินอู่ เมื่อครู่เป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อยของพวกเราเท่านั้น ตอนนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้สัมผัสกับความร้ายกาจของข้าเอง!” ฉินอู่พูดพลางแตะปลายนิ้วเข้าด้วยกัน ดูเหมือนกำลังจะใช้ทักษะวิญญาณแล้ว

สำหรับเขาแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ประสบความสำเร็จเช่นนี้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ย่อมต้องใช้เวลาทั้งหมดที่มีไปกับการบำเพ็ญแล้ว จะต้องไม่มีเวลามาฝึกทางด้านทักษะวิญญาณสักเท่าไหร่แน่

“ใช้ทักษะวิญญาณหรือ ข้าจะได้ทดสอบพลานุภาพของเคล็ดแยกอัคคีพิโรธพอดีเลย!” เธอวางมือทั้งสองไว้ตรงหน้าอกก่อนจะพลิกอย่างรวดเร็ว