เล่ม 1 ตอนที่ 166 เคล็ดแยกอัคคีพิโรธ

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ระยะเวลาที่ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกฝนทักษะวิญญาณนั้นไม่ยาวนาน เพราะในหนังสือบอกเอาไว้ว่าก่อนสำเร็จเป็นราชาวิญญาณนั้นมิอาจฝึกฝนได้ ดังนั้นเธอจึงรอคอยมาตลอด ให้ถึงระดับราชาวิญญาณแล้วจึงค่อยเริ่มศึกษา

และระยะเวลาที่เธอใช้จากระดับราชาวิญญาณไปจนถึงระดับบรรพวิญญาณก็ไม่นานนัก

ถึงแม้ว่าระยะเวลาจะไม่ยาวนาน แต่เธอก็มีทักษะที่ค่อนข้างดี ชวนให้คนตื่นตาตื่นใจราวกับเคลื่อนเมฆย้ายสายน้ำ ถ้าหากคนของตระกูลซือหม่าได้เห็นเข้า ย่อมต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน

เคล็ดแยกอัคคีพิโรธไปถึงทักษะวิญญาณระดับสีดำขั้นสูงได้ด้วยเหตุนี้ นอกจากพลังอันยิ่งใหญ่ของมันแล้ว การจะศึกษามันได้นั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยากลำบาก วิธีการซับซ้อนกว่าเคล็ดวิชาธรรมดาทั่วไปมากมายนัก นอกจากนี้ยังค่อนข้างคลุมเครือ ไม่สอดคล้องกัน เพราะไม่คุ้นเคยกับวิธีการ ทำให้คนตระกูลซือหม่าจำนวนมากได้รับผลกระทบไปถึงการสำแดงทักษะวิญญาณ

ฉินอู่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะรู้ทักษะวิญญาณด้วย นัยน์ตาจึงฉายแววตกตะลึง

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้ทักษะวิญญาณด้วย แต่อีกไม่นานเจ้าก็จะเข้าใจว่าความแตกต่างของระดับขั้นนั้นเป็นสิ่งที่มิอาจก้าวข้ามได้เลย!”

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเยียบเย็น “จริงหรือ นั่นเพราะเจ้าไม่เคยเห็นปาฏิหาริย์ต่างหาก วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้อย่างไร!”

จากนั้นทั้งสองก็ไม่พูดอะไรกันอีก เพียงไม่นานทักษะวิญญาณก็ก่อรูปร่างขึ้นในมือคนทั้งสองอย่างรวดเร็ว ของฉินอู่เป็นทักษะวิญญาณธาตุทอง กระบี่สิบกว่าเล่มลอยตัวอยู่เบื้องหน้าเขาแล้วในที่สุดก็ทิ่มแทงเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งหมดตามการควบคุมของเขา

ส่วนของซือหม่าโยวเย่ว์มีดาบใหญ่เล่มหนึ่งก่อรูปร่างขึ้น ซึ่งรูปลักษณ์นี้คล้ายคลึงกับของซือหม่าเลี่ยในตอนนั้นอยู่หลายส่วน เพียงแต่พลานุภาพและขนาดดาบแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เคล็ดแยกอัคคีพิโรธของเธอก็ใกล้จะตามซือหม่าข่ายทันแล้ว

“ไป!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนเสียงหนึ่ง ดาบเปลวอัคคีก็ตวัดออกไปเบื้องหน้า ฟันเข้าใส่กระบี่ทองของฉินอู่

กระบี่ทองกี่เล่มที่ปะทะกับดาบเปลวอัคคีล้วนถูกฟันทิ้งทั้งสิ้น ฉินอู่เห็นกระบี่ทองของตนเอาชนะดาบเปลวอัคคีของเธอมิได้ จึงแตะปลายนิ้วชี้เข้าด้วยกันต่อไป พลางควบคุมกระบี่ทองที่เหลืออยู่ให้ประจันกับดาบเปลวอัคคี

ไป๋อวิ๋นฉีที่ชมการต่อสู้อยู่เบื้องล่างอ้าปากค้างมองซือหม่าโยวเย่ว์ ตัวเขาเองยังยากจะทัดเทียมพลังยุทธ์ของฉินอู่ แต่เจ้าคนที่พลังยุทธ์ด้อยกว่าตนระดับขั้นหนึ่งผู้นี้กลับต่อกรด้วยอย่างผ่อนคลายเช่นนี้เสียได้

นอกจากนี้เขายืนอยู่ห่างถึงเพียงนี้ แต่ยังสัมผัสถึงความร้อนระอุของเปลวเพลิงของเธอได้เลย

“สวรรค์เอ๋ย… เจ้าเด็กโยวเย่ว์ผู้นี้มีพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”

เจ้าอ้วนชวีหัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้าหากท่านบำเพ็ญในเทือกเขาสั่วเฟยย่าสักสองปี เสาะหาสัตว์อสูรวิเศษมาต่อสู้ด้วยทุกวัน พลังการต่อสู้ของท่านก็คงจะแข็งแกร่งเช่นนี้แหละ!”

“พวกเจ้าอยู่ในเทือกเขาสั่วเฟยย่ากันมาสองปีแล้วอย่างนั้นหรือ ” ไป๋อวิ๋นฉีมองไปทางเจ้าอ้วนชวีอย่างประหลาดใจ

“อืม ก่อนจะมาถึงที่นี่ พวกเราฝึกยุทธ์กันอยู่ที่หุบเขาภายในข่ายมนตร์มาเนิ่นนาน เป็นพวกเดียวกับสัตว์อสูรวิเศษมาตลอด” เจ้าอ้วนชวีพูด

“มิน่าเล่า พลังการต่อสู้ของพวกเจ้าจึงได้ร้ายกาจเช่นนี้!” ไป๋อวิ๋นฉีอุทาน

คนทั่วไปต่างไปยังเทือกเขาสั่วเฟยย่าเพื่อเสาะหาสมุนไพรในบริเวณรอบๆ นั้น หรือไม่ก็เพื่อจับสัตว์อสูรวิเศษ ต่อให้เป็นพวกเขาเอง ที่มาที่นี่ก็เพียงเพื่อปฏิบัติภารกิจเท่านั้น น้อยนักที่จะมีคนมายังเทือกเขาเพื่อฝึกวิชา นอกจากนี้ยังอยู่นานถึงสองปีกว่าอีกด้วย!

เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ เขาก็รู้สึกนับถือพวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งห้าคนขึ้นมาในใจ

แม้ว่าพลังยุทธ์ของฉินอู่จะสูงกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ถึงสี่ขั้น แต่ระดับทักษะวิญญาณกลับสู้เธอมิได้ บวกกับสระวิญญาณของเธอที่ผ่านการดัดแปลงของเพลิงชาดจนใหญ่กว่าคนทั่วไปอยู่มาก ปราณวิญญาณเพียงพอ ดังนั้นกระบี่ทองที่เหลือของฉินอู่จึงค่อยๆ ถูกเปลวเพลิงของเธอหลอมละลายไปอย่างช้าๆ

“โอ้…”

กระบี่ทองถูกเผาผลาญไปจนสิ้น ตัวฉินอู่เองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย รู้สึกได้ว่าลำคอมีโลหิตพรั่งพรู จากนั้นมุมปากก็มีโลหิตหยดหนึ่งไหลออกมา ก่อนที่ตัวเขาจะล้มลงบนพื้น

ซือหม่าโยวเย่ว์มองฉินอู่อย่างเหยียดหยาม พลังการต่อสู้ของเจ้าคนผู้นี้ก็ไม่เท่าไร ไม่เหมือนกับที่เธอจินตนาการเอาไว้เลย เดิมทีคิดว่าจะมีการต่อสู้ยืดเยื้อเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเอาชนะได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

“ข้าแพ้แล้ว” นัยน์ตาหม่นทะมึนทั้งคู่ของฉินอู่มีประกายหนาวเหน็บสายหนึ่งวาบผ่าน เขาเงยหน้ามองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “หากเจ้าปล่อยข้าไป ก็ถือว่าเรื่องราวของพวกเราในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ข้าจะไม่พาคนของกลุ่มโอหังไปหาเรื่องพวกเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

ซือหม่าโยวเย่ว์พ่นลมออกจากจมูกอย่างดูแคลนในคำพูดของเขา “ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าเจ้าพอจะมีหัวคิดอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้ด้วย เจ้าบอกว่าเจ้าแก่แล้ว ข้าควรบอกว่าเจ้าไร้เดียงสาหรือโง่เง่ากันแน่เล่า คนใจแคบที่เอะอะนิดเดียวก็ต้องแก้แค้นอย่างเจ้า ข้าจะปล่อยเจ้าเอาไว้ให้มาหาเรื่องข้าอีกทำไมกัน คนฉลาดย่อมต้องตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมสิ”

“พรืด…”

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ คนอื่นๆ ที่ดูการต่อสู้อยู่ล้วนพากันหัวเราะขึ้นมา โดยเฉพาะไป๋อวิ๋นฉี เพราะคำพูดที่ฉินอู่เพิ่งพูดกับเขาเมื่อครู่ ตอนนี้ถููกเธอนำมาตอกกลับใส่ฉินอู่ ทำให้เขาบันเทิงใจไม่น้อยเลย

พอฉินอู่ได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วสีหน้าก็เข้มขึ้น ก่อนจะขว้างอาวุธชิ้นหนึ่งใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ในทันใดแล้วรีบถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่เพิ่งเหินลอยออกไปได้ไม่กี่เมตร ตัวเขาก็ปะทะเข้ากับกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง

ฉินอู่มองกระบี่ที่ปักทะลุหัวใจเขาอย่างเหนือความคาดหมาย แล้วมองโอวหยางเฟยที่สีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

เขาไม่เห็นรู้สึกเลยว่าตรงนี้มีคนอยู่ เหตุใดจู่ๆ จึงมีคนโผล่มาอย่างกะทันหันได้เล่า

โอวหยางเฟยดึงกระบี่ของตนออกมา ฉินอู่กุมหน้าอกของตนเองพลางล้มลง จนตายก็ยังคิดไม่ออกว่าตนเองไปปะทะกับกระบี่เข้าได้อย่างไร

พอเจ้านายตายไป สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเขาที่กำลังต่อสู้อยู่กับสุกรแดงสามตาก็ร้องคำรามดังลั่นก่อนจะล้มลงสิ้นลมบนพื้น

สุกรแดงสามตากำลังต่อสู้อยู่อย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ของตนตายไปอย่างฉับพลันจึงไม่ได้สติอยู่ครู่หนึ่ง ยืนมองดูซากศพอยู่ที่เดิม

ไป๋อวิ๋นฉีถูกเสียงร้องของสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของฉินอู่ดึงดูดความสนใจ เมื่อเห็นสุกรของตนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่นก็เข้าใจว่ามันต้องกำลังคิดอะไรอยู่ จึงตะโกนใส่มันว่า “เจ้านายตายแล้ว สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาย่อมต้องตายไปด้วย เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ยังคิดไม่ออก เหตุใดเจ้าจึงโง่เง่าได้ถึงขนาดนี้นะ เจ้าเป็นหมูหรือไร!”

สุกรแดงสามตามองเห็นศพของฉินอู่แล้วได้ยินไป๋อวิ๋นฉีด่าตนอีกครั้งจึงวิ่งฮึดฮัดเข้ามา

“เดิมทีข้าก็เป็นหมูอยู่แล้ว เรื่องนี้เจ้าก็ยังไม่รู้เลย โง่เง่าได้ถึงขนาดนี้ เจ้าเป็นหมูหรือไร!”

“พรืด…”

เมื่อได้ฟังบทสนทนาระหว่างคนและสัตว์อสูรคู่นี้ คนอื่นๆ ต่างอดหัวเราะขึ้นมามิได้ แม้กระทั่งโอวหยางเฟยที่สังหารฉินอู่อย่างไร้ความรู้สึกเมื่อครู่นี้ก็ยังอดยกมุมปากยิ้มมิได้เช่นกัน

พวกเจ้าอ้วนชวีร่อนลงมาจากทั้งสี่ทิศทาง ไป๋อวิ๋นฉีจึงค่อยค้นพบว่าพวกโอวหยางเฟยทั้งสี่คนทะยานขึ้นไปบนฟ้ากันหมดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วควบคุมทั้งสี่ทิศเอาไว้

“เมื่อครู่พวกเจ้ายังคุยอยู่กับข้าเลยมิใช่หรือ พวกเจ้า… พวกเจ้าบินขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ไป๋อวิ๋นฉีมองทั้งสี่คนอย่างใคร่รู้

“พอโยวเย่ว์ลงมาพวกเราก็ขึ้นไปแล้วล่ะ!” เว่ยจือฉีพูด “คาดว่าท่านคงดูอย่างตั้งใจเกินไปก็เลยไม่ทันสังเกตกระมัง”

“ข้าดูอย่างตั้งใจถึงเพียงนั้นเลยหรือ” ไป๋อวิ๋นฉีเกาคอตัวเองอย่างเก้อเขินอยู่บ้าง

พวกเว่ยจือฉีปรากฏตัวทั้งสี่ทิศอย่างไร้สุ้มเสียงได้เพราะพวกเขาเก็บงำกลิ่นอายของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แต่เขากลับเชื่อว่าเป็นเพราะตนเองดูอย่างตั้งใจเกินไปจนไม่ทันสังเกต ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นไป๋อวิ๋นฉีถูกหลอกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ก็แอบสะเทือนใจที่ความคิดจิตใจของเจ้าคนผู้นี้ออกจะใสซื่อเกินไปอยู่สักหน่อย

เธอเดินไปยังบริเวณไม่ไกลจากฉินอู่แล้วจับตัวจิ้งจอกม่วงที่นอนทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดอยู่ขึ้นมาก่อนจะยกมันไปยังข้างกายไป๋อวิ๋นฉีแล้วยกจิ้งจอกม่วงให้เขา ยังไม่ทันได้เอ่ยวาจาก็มองไปยังสถานที่ที่พวกเขามาอย่างระแวดระวังในทันใด

เสียงฝีเท้ามนุษย์หลายคนดังมาจากทางด้านนั้นแล้วใกล้เข้ามาเรื่อยๆ…