เล่ม 1 ตอนที่ 167 ไปจากเทือกเขาสั่วเฟยย่า

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“จะต้องเป็นคนที่ถูกการต่อสู้เมื่อครู่ดึงดูดมาอย่างแน่นอน ถ้าหากเป็นพวกโอหังหรือคนอื่นๆ เรื่องนี้ก็คงยุ่งยากเสียแล้ว” ไป๋อวิ๋นฉีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเช่นกันจึงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น

ถ้าหากเป็นคนของกลุ่มโอหัง เมื่อเห็นคนของตนถูกสังหาร พอถึงเวลาย่อมต้องต่อสู้อีกยกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากเป็นคนอื่น คงยากที่จะห้ามมิให้พวกเขาพูดออกไป แต่พวกเขาย่อมมิอาจฆ่าทุกคนที่เห็นได้ทั้งหมดอยู่แล้ว

พวกเขาย่อมมิใช่คนอำมหิตเช่นนั้น

“จี๊ดๆ…” จิ้งจอกม่วงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงดิ้นอยู่ในกำมือไป๋อวิ๋นฉีอย่างอ่อนแรง

เพียงไม่นานเงาร่างคนกลุ่มหนึ่งก็เลี้ยวเข้ามา เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใครได้ชัดเจน ทุกคนจึงถอนหายใจ

“นายน้อย!”

“ท่านอาหลี่!”

ไป๋อวิ๋นฉีและหลี่ขุยร้องออกมาพร้อมกัน

“นายน้อย พวกท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” หลี่ขุยเห็นไป๋อวิ๋นฉีรวมทั้งซากศพด้านหลังพวกเขาจึงรีบเดินเข้ามาหา

“พวกเราวิ่งไล่ตามจิ้งจอกม่วงมาแล้วพบกับคนของกลุ่มโอหังเข้า” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “ท่านอาหลี่ แล้วพวกท่านมาได้อย่างไรกัน”

หลี่ขุยมองเห็นซากศพของฉินอู่ นัยน์ตาก็มีแววประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่าน เขามองพวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งห้าคนอย่างไม่ทิ้งร่องรอยปราดหนึ่งแล้วเอ่ยตอบว่า “พวกเราอยู่ใกล้ๆ นี้แล้วได้ยินเสียงการต่อสู้ จึงเป็นกังวลว่าจะใช่คนของพวกเราหรือไม่ ก็เลยมาดูสักหน่อยน่ะ นายน้อย พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ แล้วฉินอู่ผู้นี้เล่า”

“ท่านอาหลี่ พวกเราไม่เป็นไร ส่วนฉินอู่ผู้นี้ พวกโยวเย่ว์เป็นคนสังหารน่ะ…”

ไป๋อวิ๋นฉีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างง่ายๆ เมื่อได้รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์อายุยังน้อยแต่เป็นระดับบรรพวิญญาณแล้ว นอกจากนี้ยังเอาชนะฉินอู่ผู้มีระดับขั้นสูงกว่าตนถึงสี่ขั้นได้อีกด้วย ก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเลย

แต่พวกเขาก็เชื่อว่าคนเหล่านั้นน่าจะมิใช่คนที่อีกฝ่ายส่งมา เพราะฉินอู่มีสถานะสำคัญในกลุ่มโอหัง ต่อให้คิดอยากได้ความไว้วางใจจากพวกไป๋อวิ๋นฉี ก็ไม่มีทางเอาชีวิตฉินอู่ได้

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลี่ขุยจึงประสานมือคารวะพวกซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณพวกท่านมากที่ช่วยเหลือนายน้อยของพวกเรา”

“ท่านอาหลี่ไม่ต้องเกรงใจ พวกเรากับอวิ๋นฉีเป็นสหายกัน นอกจากนี้อีกฝ่ายยังคิดสังหารพวกเราอีกด้วย พวกเราก็แค่ป้องกันตัวเองเท่านั้นแหละ” เว่ยจือฉีพูดพลางโบกไม้โบกมือ

“ท่านอาหลี่ ท่านไม่ต้องเกรงใจพวกเขาหรอกน่า” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “แทนที่จะมามัวเอ่ยคำพูดพวกนี้ มิสู้พวกเรากลับไปกันแล้วดื่มกับพวกเขาสักจอกหนึ่งดีกว่า จริงไหม จือฉี”

เว่ยจือฉีหัวเราะพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่!”

“ท่านอาหลี่ จับจิ้งจอกม่วงนี่ได้แล้ว ภารกิจของพวกเราก็สำเร็จแล้วสิ จะกลับไปเมื่อใดหรือ ตอนนี้ข้าอยากดื่มกับพวกเขาสักจอกหนึ่งเหลือเกิน” ไป๋อวิ๋นฉีพูดพลางส่งจิ้งจอกม่วงให้กับหลี่ขุย

“วันนี้ยังหัววันอยู่เลย กลับไปรวบรวมสมาชิกเสร็จก็เตรียมตัวออกจากภูเขาได้แล้วล่ะ” หลี่ขุยพูดพร้อมรอยยิ้ม “แต่ก่อนจะจากไป พวกเราต้องทำเรื่องบางอย่างก่อน”

“ทำอะไรหรือ” ไป๋อวิ๋นฉีลองนึกดู ภารกิจก็ทำเสร็จหมดแล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกเล่า

หลี่ขุยโบกมือคราหนึ่ง ทหารรับจ้างสองคนก็เข้ามา ปลายนิ้วชี้แตะกัน จากนั้นเปลวเพลิงจึงก่อตัวขึ้นมาแล้วแผดเผาซากศพของฉินอู่และคนอื่นๆ จนกลายเป็นเถ้าถ่าน

“สถานะของฉินอู่ในกลุ่มโอหังนั้นไม่ธรรมดาเลย ถ้าหากคนอื่นรู้เข้าว่าพวกเราเป็นผู้สังหารก็ยากที่จะรับรองความปลอดภัยได้ ตอนนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเรากลับไปกันเถิด” หลี่ขุยพูด

ไป๋อวิ๋นฉีเผยสีหน้าเข้าใจ ส่วนพวกซือหม่าโยวเย่ว์นั้นคิดเอาไว้ก่อนแล้วว่าก่อนจากไปจะเผาซากกลบเกลื่อนร่องรอย เมื่อเห็นการกระทำของพวกหลี่ขุยจึงมิได้ประหลาดใจแต่อย่างใด

“นายน้อย พวกเรากลับกันเถิด”หลี่ขุยเห็นว่าเผาไปได้มากพอสมควรแล้วจึงเอ่ยขึ้น

“อืม พวกเรากลับกันเถิด อยู่ในภูเขานี่มาสองวันกว่าจนราขึ้นตัวแล้ว” ไป๋อวิ๋นฉีพูดพลางบิดขี้เกียจ

เมื่อนึกถึงว่าพวกซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ในภูเขามากว่าสองปี เขาจึงรู้สึกยกย่องชื่นชม ถ้าหากเป็นเขาย่อมไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน

เมื่อกลับไปถึงที่ตั้งค่าย หลี่ขุยจึงนับจำนวนคนดู ทุกคนกลับมาครบหมดแล้วพวกเขาจึงค่อยเก็บกระโจมก่อนจะจากไป

จากที่นี่ไปถึงด้านนอกภูเขายังต้องเดินทางอีกหลายวัน พวกเขามีจำนวนคนค่อนข้างมาก พลังยุทธ์ก็มิได้อ่อนแอ พอบรรดาสัตว์อสูรวิเศษเห็นพวกเขาจึงหลบเลี่ยงไปไกล ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางอย่างราบรื่นตลอดเส้นทาง

หลายวันต่อมา พวกเขาก็ออกจากเทือกเขาสั่วเฟยย่า ด้านหลังเป็นภูเขา ส่วนด้านหน้าคือเมืองแห่งหนึ่งมองเห็นกำแพงเมืองอยู่ลิบๆ บนพื้นที่อันเวิ้งว้าง

ไป๋อวิ๋นฉีชี้ไปยังเมืองด้านหน้าพลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ นั่นคือเมืองไตรวารีที่อยู่ใกล้ที่นี่ที่สุด เจ้าอย่ามองว่าเมืองแห่งนี้ดูใกล้เชียวนะ ความจริงแล้วระยะทางค่อนข้างไกลเลยทีเดียวล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าบนพื้นที่ว่างโดยรอบจะทำให้ระยะการมองเห็นดูสั้นลง สถานที่ที่ดูเหมือนอยู่ใกล้มากๆ ความจริงนั้นอยู่ไกลแสนไกล

“เจ้าเมืองไตรวารีเป็นท่านน้าเขยคนหนึ่งของข้า เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วข้าจะให้เขาช่วยทำเอกสารยืนยันตัวตนให้กับพวกเจ้า หลังจากนั้นพวกเจ้าก็ไปยังเมืองผิงคังกับพวกเรา พอมีเอกสารยืนยันตัวตนแล้ว ถึงแม้ว่าในภายหน้าพวกเจ้าจะไปจากกลุ่มทหารรับจ้างของเราก็ไม่ต้องยุ่งยากอีก” ไป๋อวิ๋นฉีพูด

เจ้าอ้วนชวีชกหัวไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า “เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยเล่า”

ไป๋อวิ๋นฉียิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าไม่ได้คิดจะไปหาท่านน้าเขยของข้าน่ะสิ ถ้าหากท่านน้ารู้เข้าว่าข้ามาถึงที่นี่แล้วไม่ไปทักทายนางก่อน จะต้องบ่นข้ายืดยาวแน่ ตอนนี้เพราะคิดจะทำเอกสารยืนยันตัวตนให้กับพวกเจ้า จึงได้คิดจะไปหาพวกเขา”

ทุกคนเข้าใจความหมายของเขา ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่คิดจะพาพวกตนไปยังเมืองผิงคังด้วย เมื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาหลายวันไป๋อวิ๋นฉีจึงตัดสินใจจะทำเอกสารยืนยันตัวตนให้กับพวกเขา เป็นการยอมรับพวกเขาจากใจจริง

“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าหน่อยนะ” เว่ยจือฉีพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ

“ฮ่าๆ พอพวกเราไปถึงจวนเจ้าเมืองแล้วก็ดื่มกันสักจอกหนึ่งนะ” ไป๋อวิ๋นฉีเห็นพวกเขามิได้ตำหนิตนจึงหัวเราะเสียงดังแล้วเอ่ยขึ้น

“ไปกันเถิด พวกเราต้องไปถึงเมืองไตรวารีก่อนพระอาทิตย์ตก ถ้าหากปิดประตูเมืองแล้วก็ต้องรอจนถึงพรุ่งนี้จึงจะเข้าเมืองได้นะ” หลี่ขุยพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าคำรามน้อยยังอยู่ด้านหลังจึงหันไปทางเทือกเขาสั่วเฟยย่าแล้วผิวปากคราหนึ่ง

“เจ้าคำรามน้อยนี่ นานถึงเพียงนี้แล้วยังไม่โผล่ออกมาอีก มิใช่ว่าไปเกี้ยวพานสัตว์อสูรวิเศษที่ไหนอีกแล้วหรอกหรือ” ไป๋อวิ๋นฉีนึกขึ้นมาได้ว่าเห็นเจ้าคำรามน้อยไปเกี้ยวพานสัตว์อสูรวิเศษระหว่างทาง จึงอดเอ่ยแซวมิได้

ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คิดเช่นเดียวกัน หลังจากเจ้าคำรามน้อยถูกเชียนอินทุบตีไปยกหนึ่งแล้วก็ยังเจ้าชู้ไม่เปลี่ยน นิสัยไปที่ไหนก็ไปเกี้ยวพานผู้อื่นที่นั่นทำให้เธอผู้เป็นเจ้านายขายหน้ามิใช่น้อย แต่ก็จนใจไม่รู้จะทำเช่นไร

ผ่านไปครู่ใหญ่ เงาร่างเล็กๆ ของเจ้าคำรามน้อยจึงค่อยโผล่ออกมาจากภูเขาแล้วพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์หิ้วคอมันขึ้นมา ยังไม่ทันเริ่มตำหนิ มันก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “เย่ว์เย่ว์ คราวนี้ข้ามิได้ไปเกี้ยวพานสัตว์อสูรวิเศษนะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่มัน “มิได้ไปหรือ เช่นนั้นคราวนี้เจ้าออกไปทั้งวัน แล้วอีกตั้งนานกว่าจะโผล่มา เจ้าไปทำอะไรมา”

“เย่ว์เย่ว์ ข้าพบว่าสัตว์อสูรวิเศษในภูเขามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ก็เลยไปดูรอบๆ ภูเขามาน่ะ” เจ้าคำรามน้อยพูด

“มีบางอย่างไม่ถูกต้องหรือ” เจ้าอ้วนชวีเข้ามาแล้วเอ่ยถาม

“ข้าค้นพบว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสัตว์อสูรวิเศษภายในนั้นจึงได้ขี้หงุดหงิดกันเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้สัตว์อสูรวิเศษภายในนั้นยังอพยพไปอยู่รอบนอกกันอีกด้วย ทั้งยังมีจำนวนไม่น้อยเลย” เจ้าคำรามน้อยพูด

เมื่อได้ฟังสิ่งที่มันพูด พวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้าง สีหน้าของพวกหลี่ขุยกับไป๋อวิ๋นฉีก็แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมขึ้นมา

“ท่านอาหลี่ หรือจะเป็นการจลาจลปฏิวัติสัตว์อสูรเล่า” ไป๋อวิ๋นฉีพูดอย่างเป็นกังวล

“เท่าที่ข้ารู้ การปฏิวัติสัตว์อสูรของเมืองไตรวารีเพิ่งจะผ่านไปครึ่งปี แล้วจะมาถึงอีกครั้งอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า” หลี่ขุยพูด “ไม่ว่าอย่างไร เทือกเขาสั่วเฟยย่ามีความเคลื่อนไหว พวกเราก็รีบไปบอกน้าเขยของท่านโดยเร็วที่สุดดีกว่า”