บทที่ 15 ช่วยเขาแทนเจ้าของร่างเดิม
ฉีเฟยอวิ๋นพักผ่อนไปพักหนึ่ง ตอนที่เธอตื่นขึ้นมา หนานกงเย่ก็ฟื้นแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นลงจากเตียง เดินตรงไปที่หนานกงเย่ ตรวจดูจุดที่น่าเป็นห่วง : “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังพูด เธอก็เริ่มตรวจร่างกายไปด้วย โดยที่ไม่มีเครื่องมือในการตรวจที่ทันสมัยเลย เธอทำได้เพียงวินิจฉัยจากประสบการณ์ เกิดอะไรขึ้นตรงจุดไหนกันแน่
เธอจับศีรษะของหนานกงเย่ ใช้ทั้งสิบนิ้วกดลง
หนานกงเย่ในตอนนี้อ่อนล้ามาก หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่เย็นเฉียบ เขาไม่มีแม้แต่แรงจะจับมือฉีเฟยอวิ๋น เพียงแค่ลืมตาขึ้นมาครู่เดียว และกำลังจะหลับตาลง
“หนานกงเย่อย่าพึ่งหลับนะ ท่านต้องให้ความร่วมมือกับหม่อมฉันก่อน” ฉีเฟยอวิ๋นเรียกเขา แต่หนานกงเย่ในตอนนี้ไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น
ฉีเฟยอวิ๋นรีบหยิบเข็มเล่มหนึ่งออกมา ปักเข็มลงจุดเหรินจงเสวีย (จุดฝังเข็มอยู่กึ่งกลางระหว่างจมูกและปาก)
หนานกงเย่จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง
“จำหม่อมฉันได้หรือเปล่า?” ฉีเฟยอวิ๋นถามขึ้น
“ฉีเฟยอวิ๋น” หนานกงเย่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแผ่วเบา แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินมันชัดเจน
“ตรงนี้เจ็บหรือเปล่า?” ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มกดตามจุดต่างๆ ของร่างกาย แต่เพราะร่างกายที่สูงใหญ่ของเขา ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นกดแต่ละจุดจึงต้องอยู่ในระยะประชิด
ทั้งคู่แทบจะแนบชิดกัน หากว่าหัวหน้าผู้ดูแลไม่ได้เป็นห่วงอาการเจ็บป่วยของท่านอ๋องเย่ คงจะหนีไปเสียตั้งนานแล้ว
ท่านอ๋องเย่ตอบกลับว่า : “ไม่เจ็บ”
กดพร้อมกับถาม ค่อยๆ ขยับลงไปทีละจุด ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มตั้งแต่ด้านบนจนมาถึงช่วงหน้าอก ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นวางมือตรงบริเวณซี่โครง เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่เธอเองก็รับรู้ได้
ฉีเฟยอวิ๋นจึงบันทึกไว้ แล้วเริ่มตรวจต่อ
“มือด้านขวาไม่มีความรู้สึกหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นอึ้งไปชั่วขณะ
หนานกงเย่ไม่แยแสเลยแม้แต่นิด หัวหน้าผู้ดูแลจึงพูดขึ้นว่า : “ตอนนั้นอาอวี่ถูกหลอกล่อออกไป จากนั้นก็มีคนสี่คนพุ่งตรงมาที่ท่านอ๋องเย่ ท่านอ๋องเย่จึงจำเป็นต้องต่อสู้กลับ
ท่านอ๋องเย่ฆ่าพวกมันคนทั้งสี่แล้ว ท่านอ๋องเย่เองจึงบาดเจ็บสาหัสอย่างที่เห็น”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดขึ้นด้วยความตกตะลึง : “สถานการณ์อย่างนี้ยังฆ่าสี่คนได้ ฝีมือร้ายกาจจริงๆ เป็นไปได้ยังไงกัน แล้วเขาก็ยังมีชีวิตรอด”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบก็หยิบเข็มขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม รีบเปิดชีพจรแขนของหนานกงเย่ก่อน แล้วจึงค่อยไปตรวจดูซี่โครงของเขา ฉีเฟยอวิ๋นลูบคลำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “น่าจะเป็นเพราะช้ำใน ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู ตอนนี้หม่อมฉันจะฝังเข็มให้ก่อน”
หนานกงเย่ไม่ได้ตอบอะไร หมอหลวงที่อยู่ด้านล่างพากันปาดเหงื่อ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าฉีเฟยอวิ๋นรู้วิชาแพทย์ด้วย และดูจากวิธีการรักษาแล้ว ค่อนข้างแปลกประหลาดและลึกลับซับซ้อน
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบเข็มเงินขนาดสิบกว่าเซนติเมตรออกมา แล้วปักเข้าไปในร่างกายของหนานกงเย่ หนานกงเย่ขมวดเพียงคิ้ว
ผู้ชายคนนี้มีความกล้าหาญสูงมาก!
น่าเสียดาย!
“อีกเดี๋ยวตรงจุดนี้จะมีน้ำไหลออกมา บางทีอาจจะปนเลือดออกมาด้วย หากท่านไม่สบายใจ ก็หลับตาลงเสีย”
หนานกงเย่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น แววตาที่ลุ่มลึกของเขาก็ยังมองอยู่แบบนั้นไม่ขยับ
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเตรียมพร้อมแล้ว ใช้มือหมุนเข็มอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดึงเข็มขึ้นมา บนร่างกายของหนานกงเย่ก็มีน้ำพุ่งออกมา หนานกงเย่กำผ้าห่มไว้แน่น จนน้ำหยุดไหล แล้วจึงค่อยๆ คลายมือออก
หัวหน้าผู้ดูแลและหมอหลวงเหล่านั้นต่างพากันตกใจตาค้าง ในร่างกายของคนเราคือเลือด แล้วไยจึงมีน้ำไหลออกมาได้
ทุกคนต่างพากันจ้องมองไปยังหนานกงเย่ คิดว่าหลังจากวินาทีนี้คงจะมีคนตายเป็นแน่แท้
แต่แล้ว……
“ฟู่……”
หนานกงเย่กลับถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ถอนลมหายใจด้วย ฉีเฟยอวิ๋นยังคงประกบชิดกับหนานกงเย่ จากนั้นเธอจึงค่อยๆ ขยับจุดฝังเข็ม เมื่อจับจุดได้แล้วจึงปักเข็มลงไปอีกครั้ง ครั้งนี้ใช้เข็มทีเดียวถึงสามเล่ม
ดวงตาของหนานกงเย่เต็มไปด้วยความเย็นชา มองมือไม้ที่ว่องไวและแม่นยำของฉีเฟยอวิ๋น ในเสี้ยววินาทีที่เข็มถูกปักจนมิด ก็รีบดึงเข็มทั้งสามเล่มออกมาทันที จากนั้นก็มีน้ำใสๆ ไหลพุ่งออกมาเป็นทาง เธอเองก็เริ่มหายใจถี่ขึ้น
หัวหน้าผู้ดูแลรู้สึกสงสารนางจับใจ ก่อนหน้านี้เคยกระทำไม่ดีกับพระชายา แต่แล้ววันนี้หากไม่มีพระชายา เกรงว่าท่านอ๋องเย่ของพวกเขาคงจะตายไปแล้ว
“ฟู่……” หนานกงเย่ถอนลมหายใจอีกครั้ง ฉีเฟยอวิ๋นจึงค่อยวางเข็มลง เดินไปตรงหน้าของหนานกงเย่ แล้วเริ่มกดอีกครั้ง : “ยังเจ็บหรือเปล่า?”
หนานกงเย่ส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่เจ็บ!”
ฉีเฟยอวิ๋นจึงค่อยขยับออกมา ถอนลมหายใจ แล้วปาดเหงื่อบนหน้าผากของเธอ
“หัวหน้าผู้ดูแล ตอนนี้เจ้าต้องหาคนมาสองคน คอยสังเกตอุณหภูมิของร่างกายอยู่ตลอดเวลา ข้าจะไปพักผ่อนก่อน เดี๋ยวกลางดึกข้าจะมาตรวจเขาด้วยตัวเอง”
พูดจบฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวจะเดินออกไป แต่กลับเวียนหัวจนเกือบจะล้มลง
หัวหน้าผู้ดูแลรีบเข้ามาช่วยประคอง ฉีเฟยอวิ๋น พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง : “พระชายาระวัง!”
“ขอบคุณ!”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตรงไปที่เตียง เมื่อทิ้งตัวนอนแล้วก็หลับตาลงทันที
เวลานี้หนานกงเย่กำลังมองไปยังเตียงที่อยู่ตรงข้าม ดวงตาที่เย็นชาก็ค่อยๆ หลับตาลง
“ปิดประตูตำหนัก อย่าให้ใครเข้าออกแม้แต่คนเดียว”
หนานกงเย่สั่งการ หัวหน้าผู้ดูแลรีบปฏิบัติตามคำสั่งทันที
เวลานี้อาอวี่เองก็มองไปยังฉีเฟยอวิ๋น ภายในจิตใจของเขาสับสนวุ่นวาย
ขอเพียงแค่ท่านอ๋องเย่ไม่เป็นอะไร เขาก็จะไม่ฆ่าฉีเฟยอวิ๋นชั่วคราว
พักผ่อนไปหนึ่งวัน ฉีเฟยอวิ๋นเองไม่ได้เพิกเฉยต่อสิ่งที่เธอได้ยินทั้งหมด ช่วงเช้ายังดี ตกบ่ายคนรับใช้ที่รับหน้าที่ดูแลหนานกงเย่ก็เริ่มเป็นกังวล กระซิบพึมพำ ว่าร่างกายเริ่มร้อนขึ้นอีกแล้ว อีกทั้งใบหน้าก็แดงก่ำ ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถทนนอนอย่างสบายใจได้ สุดท้ายแล้วจึงลุกขึ้นตามความประสงค์ของใจ ไปดูอาการของหนานกงเย่
น่าแปลกจริงๆ เธอเป็นหมอที่รักษาผู้ป่วยมาเยอะแยะมากมายก่ายกอง ป่วยเป็นโรคอะไรก็เจอมาหมดแล้ว คนที่ตายคามือเธอก็มีถมไป ไม่เคยเลยแม้แต่จะตื่นตระหนกตกใจกลัว
แต่ทุกครั้งที่หนานกงเย่เกิดเรื่อง เธอก็จะเป็นกังวลทุกครั้ง
บางสิ่งบางอย่างที่ถูกกดทับไว้ภายใน เหมือนจะพุ่งออกมาให้ได้ ทำเอาเธอไม่สบายตัวไปด้วย
“พอเถอะ ข้าจะดูแลต่อเอง ไปเตรียมของกินมาให้ข้าสักหน่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นเองรู้สึกเอือมระอาในตัวเองเสียจริง ก็ในเมื่ออยากให้เขาตายๆ ไปเสีย แต่กลับไปช่วยชีวิตเขาซะอย่างงั้น
เธอเองยังคงแน่วแน่เสมอมา คิดว่าครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่ครั้งเดียว ที่ตัวเองทำพฤติกรรมโง่ๆ แบบนี้ออกมา
เธอรับผ้าขนหนูจากนางกำนัล แล้วเช็ดตัวให้หนานกงเย่ด้วยตัวเอง หนานกงเย่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามขึ้นว่า : “รู้หรือเปล่าว่าหม่อมฉันเป็นใคร?”
“ฉีเฟยอวิ๋น”
“ถือว่าสติสัมปชัญญะยังอยู่ครบ หม่อมฉันจะให้ท่านกินยาลดไข้ตัวหนึ่ง ขมมาก แต่ได้ผลมาก” ฉีเฟยอวิ๋นหยิบขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมา จากนั้นก็นำผงสีขาวที่อยู่ในขวดเทเข้าไปในปากของหนานกงเย่ แล้วก็ให้เขาดื่มน้ำอุ่นตาม เพื่อกลืนผงยาลงไป
“ราวหนึ่งก้านธูป ท่านจะรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลาย แต่สมองยังรู้สึกตัวดี”
หนานกงเย่กลืนผงยาลงคอ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองฉีเฟยอวิ๋นอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งตัวของฉีเฟยอวิ๋นเต็มไปด้วยคราบเลือด มือของเธอคอยเช็ดตัวให้หนานกงเย่ไม่หยุด
“ไปเปลี่ยนน้ำเย็นมา”
รอบหนึ่งผ่านไป ก็มีคนยกน้ำเย็นเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นช่วยหนานกงเย่ประคบเย็นตรงจุดที่ช้ำในก่อน จากนั้นก็ค่อยเช็ดตัวเพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย
แม้แต่ซอกระหว่างนิ้วเท้าเธอก็ไม่ปล่อยผ่าน
หัวหน้าผู้ดูแลและหมอหลวงไม่ได้รู้สึกแปลกแต่อย่างใด พระชายาปรนนิบัติท่านอ๋อง มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
เมื่อเช็ดตัวเสร็จแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็จับมือของหนานกงเย่ไว้ อุณหภูมิที่มือลดลงแล้ว จากนั้นก็สัมผัสไปที่ใบหูรักแร้ของเขา ทุกๆ ที่อุณหภูมิลดลงหมดแล้ว เธอจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง จากนั้นก็ถอนเข็มที่ปักอยู่บนแขนของหนานกงเย่ออกมา จับแขนของเขาอยู่ครู่หนึ่ง
“กระดูกไม่ได้มีปัญหาอะไร พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าเรียกพวกเจ้าค่อยเข้ามาก็แล้วกัน”
หัวหน้าผู้ดูแลรอจนคนอื่นออกไปจนหมดแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงเปิดผ้าพันแผลที่ข้อมือของเธอออก แผลรอยมีดกรีดได้รับการฟื้นฟูแล้ว นี่คือความอัศจรรย์ของอานุภาพยาชีวภาพ แต่ทุกครั้งที่กรีดเปิดแผลจะเจ็บมาก
เพราะฉะนั้นเธอจึงเป็นกังวลใจมาก!
เธอหยิบมีดออกมากรีดไปที่ข้อมือ ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย กำมือแน่นให้เลือดหยดเข้าไปในปากของหนานกงเย่
หนานกงเย่เองเม้มปากปิดสนิท ฉีเฟยอวิ๋นใช้มือเปิดปากของเขาออก แล้วเอาถ้วยมาแนบปากของเขา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ถ้าอยากให้แขนฟื้นฟูจนหายดี นี่เป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ดื่มให้เยอะหน่อย ท่านจะหายเร็วขึ้น”
ร่างกายของเจ้าของร่างเดิมเองก็จะได้สงบลงหน่อย!
**********************