บทที่ 16 ของลับ

 

ในเวลานี้หนานกงเย่ดูดีขึ้น สีหน้าของเขาดูมีเลือดฝาดเล็กน้อย

ฉีเฟยอวิ๋นก็เหนื่อยจนไร้เรี่ยวแรงเช่นกัน นางเสียเลือดมากเกินไปและจำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษาร่างกายเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าหนานกงเย่ไม่เป็นอะไรแล้ว นางจึงลุกขึ้นยืน

“คืนนี้ข้าต้องดูแลท่าน ข้าจะไปพักผ่อนก่อน”

ฉีเฟยอวิ๋นมองดูอาหารที่เตรียมไว้บนโต๊ะและเดินไปนั่ง หลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว นางก็เอนตัวลงบนเก้าอี้และเผลอหลับไป

ในห้องเงียบผิดปกติ หนานกงเย่มองใบหน้าที่หลับสนิทของฉีเฟยอวิ๋น นางสกปรกไปทั้งตัว แต่นางก็หลับอย่างสบาย

หนานกงเย่หันหน้าหนีแล้วหลับไปเช่นกัน

ในเวลานี้พ่อบ้านก็มองผ่านรอยแยกของประตู แล้วถอนหายใจอย่างโล่งใจ

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็มืดแล้ว และในห้องก็ไม่มีใครอยู่เลย

เธอลุกขึ้นไปดูหนานกงเย่ ในเวลานี้หนานกงเย่หลับสนิทแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นลูบมือและใบหน้าของหนานกงเย่ และเมื่อแน่ใจว่าเขาไม่มีไข้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงไปเตรียมยาที่ต้องใช้สำหรับคืนนี้

หนานกงเย่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและมองไปที่เงาที่อยู่ด้านข้าง แต่เพราะไร้เรี่ยวแรง เขาจึงหลับตาลงอีกครั้ง

หลังจากหนึ่งชั่วยามต่อมา ฉีเฟยอวิ๋นก็เตรียมยาเสร็จและเหนื่อยจนหายใจหอบ นางเดินกลับไปนั่งลงข้าง ๆ หนานกงเย่และวางถ้วยในมือลง

ภายในถ้วยเป็นสีดำทะมึนและมีกลิ่นแปลก ๆ

ด้วยเหตุนี้หนานกงเย่จึงลืมตาขึ้นมามอง:“อะไร ทำไมกลิ่นเหม็นเยี่ยงนี้?”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“นี่เรียกว่าน้ำมันหยก รักษาเส้นเอ็นและกระดูกหัก”

ฉีเฟยอวิ๋นคิดชื่อที่สูงส่งไม่ออก ดังนั้นจึงเรียกชื่อนี้ไปก่อน

“แขนของท่านต้องฟื้นฟูให้หายดี จึงทำได้เพียงอาศัยสิ่งนี้ หากเป็นคนธรรมดาแขนคงจะพิการไปแล้ว แต่ท่านดื่มเลือดของข้าแล้ว อีกไม่นานก็คงจะหายดี ส่วนบาดเจ็บบนตัวท่าน พรุ่งนี้เช้าก็คงจะหายสนิท”

อันที่จริงฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้อยากช่วยหนานกงเย่ พวกเขาเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย

เพียงแต่ในเมื่อตอนนี้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว จึงไม่มีหนทางอื่น

ในขณะฉีเฟยอวิ๋นพูด นางก็ฉีกแขนเสื้อของหนานกงเย่

เพื่อที่จะได้สะดวก นางจึงจับแขนของหนานกงเย่ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วเอาน้ำมันหยกมาทาให้ทั่วแขนของหนานกงเย่

น้ำมันหยกอันเยือกเย็นเข้าสู่ร่างกาย หนานกงเย่รับรู้ได้ถึงความเย็นสบาย และมือของฉีเฟยอวิ๋นที่คอยทายาให้เขาอยู่ตลอด

หนานกงเย่จ้องมองอย่างเย็นชา:“ที่แท้เจ้าก็ยังคิดร้าย คิดว่าข้าจะซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้างั้นหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เงยหน้าขึ้น:“หากท่านอ๋องรู้สึกซาบซึ้งจริง ๆ ได้โปรดให้ข้าได้พักบ้าง ข้าจะซาบซึ้งในบุญคุณเป็นอย่างยิ่ง”

หลังจากทายาเสร็จแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็หยิบผ้าขาวมาพันแผลให้หนานกงเย่ จากนั้นก็วางลงบนแผ่นกระดานแล้วยึดให้แน่น ฉีเฟยอวิ๋นไปล้างมือและทำความสะอาด

เมื่อกลับมานางก็เผชิญหน้ากับสายตาที่เย้าหยอกของหนานกงเย่

ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจ ที่แท้เจ้าของร่างเดิมก็งมงายไม่เปลี่ยน ทำให้ท่านอ๋องที่ยึดมั่นในตนเองผู้นี้ไม่เชื่อคำพูดของนาง?

นางหยิบขวดเล็ก ๆ ออกจากตัว จากนั้นก็บีบปากของหนานกงเย่แล้วเทผงยาเข้าไป หลังจากนั้นก็ตามด้วยน้ำอุ่น

หลังจากดื่มน้ำแล้ว หนานกงเย่ก็นอนต่อ แล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เฝ้าอยู่ในห้อง

ฉีเฟยอวิ๋นหาที่นั่ง และนึกถึงการทดลองในชาติก่อน จากนั้นนางก็เริ่มเหม่อลอย

ในตอนนี้ร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นสกปรกและสีหน้าของนางดูเหม่อลอย เดิมทีหนานกงเย่ต้องการจะดุด่านางและไล่ให้นางไปนอน แต่เมื่อเห็นใบหน้าของนางแล้วก็ใจลอย

ในวันปกติหนานกงเย่จะเห็นฉีเฟยอวิ๋นแต่งหน้าจัด แต่วันนี้นางไม่ได้แต่งหน้า ซึ่งหาได้ยากมาก

ดวงตาของฉีเฟยอวิ๋นเป็นเหมือนหยดน้ำที่ขาวสะอาด สว่างราวกับหิมะ แต่ในยามค่ำคืนที่มืดมิดกลับกว้างใหญ่ไพศาลและไร้ขอบเขต

ชุดสีขาวราวหิมะเปื้อนไปด้วยเลือด

หนานกงเย่ไม่เพียงแต่จะขมวดคิ้ว แต่รู้สึกเหมือนผู้หญิงคนนี้เป็นธรรมชาติอีกด้วย!

ความหงุดหงิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนานกงเย่ เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นธรรมชาติได้อย่างไร?

หนานกงเย่หันหน้าหนีแล้วหลับตาลง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้น แล้วมองดูว่าฉีเฟยอวิ๋นจะเหม่อลอยไปถึงเมื่อไหร่

ในที่สุดฉีเฟยอวิ๋นก็จำได้ว่าเกิดระเบิดดังสนั่นในตอนที่นางกำลังทำการทดลองอยู่ในห้องปฏิบัติการ ในช่วงเวลาที่เกิดการระเบิด นางก็ตื่นจากการทดลองและสะดุ้งตกใจ

“ฮู……” ฉีเฟยอวิ๋นตบหน้าอกของตัวเอง โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปแล้ว

หนานกงเย่ยิ้มเยาะ:“ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าจะสร้างความบันเทิงให้ตัวเองได้!”

ฉีเฟยอวิ๋นมองขึ้นไปที่หนานกงเย่ที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเมินเฉย นางเช็ดหน้าด้วยแขนเสื้อที่สกปรกของตัวเอง จากนั้นก็เอนหลังลงบนโต๊ะและนอนต่อ

ถูกเมินเฉย!

ผู้หญิงโง่คนนี้ โง่เขลาและใสซื่อเหมือนหมาตัวหนึ่ง

หนานกงเย่ด่าทอในใจ

นานมากแล้วเขาจึงลองขยับกล้ามเนื้อและกระดูก เขารู้สึกว่ามนสามารถขยับได้ จึงลุกขึ้นจากเตียง

หนานกงเย่นั่งอยู่บนเตียงและมองดูบาดแผลบนตัวเอง

แผลหายเร็วมาก เขาได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ก็สามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้ว

แววตาของหนานกงเย่ปล่อยรังสีอันเยือกเย็นออกมา และมองไปที่ข้อมือของฉีเฟยอวิ๋น หรือว่าเลือดของนางเป็นยาวิเศษที่หาได้ยากในโลกนี้?

แม้ว่าหนานกงเย่จะไม่เชื่อว่าในโลกนี้มียาวิเศษ แต่ในเวลานี้ในใจของเขายังคงหวนนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ และเริ่มเชื่อขึ้นมาเล็กน้อย

หนานกงเย่ลุกเดินออกไปด้านข้าง ด้านหลังห้องของเขามีห้องส้วมอยู่

ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวและตื่นขึ้นมา นางลืมตาและเห็นหนานกงเย่กำลังเดินไปด้านหลัง เธอรู้สึกแปลก ๆ ไม่มีอะไร?

นางลุกขึ้นและเดินตามไป นางเห็นร่างที่เปื้อนเลือดของหนานกงเย่ เขายืนหันหลังแล้วกางขาออก จากนั้นนั้นก็ดึงอะไรบางอย่างออกมา

แขนของเขาถูกพันไว้ข้างหนึ่ง เขาจึงใช้มืออีกข้าง ดูแล้วก็แปลก ๆ

จู่ ๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ ในเวลาแบบนี้ยังมีกะจิตกะใจจะชักว่าวอีกเหรอ?

ฉีเฟยอวิ๋นไม่รีรอและรีบเดินไป

“ท่านรู้ไหมว่าท่านดูหมิ่นผลงานของข้า สิ่งที่ผู้บาดเจ็บห้ามทำมากที่สุด……จำเป็นต้องรักษาและบำรุงร่างกาย หากท่านใช้กำลังมากเช่นนี้ การรักษาก่อนหน้านี้ของท่านก็จะสูญเปล่า”

หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบ นางก็ก้มลงไปมอง

และเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มือของนางก็สั่นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นการเข้าใจผิด ในเวลานี้นางเหมือนถูกตีหัวจนไม่สามารถเงยหัวขึ้นได้

ใบหน้าของเขาดูโกรธมากจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาและสีหน้าของเขาก็แดงก่ำ:“เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้นะ”

ฉีเฟยอวิ๋นเบิกตากว้างและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเห็นท่านหันหลังแล้วทำเช่นนั้น……ข้าเป็นห่วงสภาพร่างกายของท่าน ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ อีกอย่างข้าก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

“หุบปาก!ออกไป!”

ฉีเฟยอวิ๋นรีบอธิบายอยู่ข้างนอก และเสียงตะโกนของหนานกงเย่ก็ดังมาจากข้างใน

ฉีเฟยอวิ๋นทำอะไรไม่ถูก อวัยวะของร่างกายก็เหมือน ๆ กัน ส่วนใหญ่จะใหญ่กว่านิดหน่อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านอ๋องผู้สง่าผ่าเผย เขาต้องไม่ใช่คนประเภทที่รักษาตนให้บริสุทธิ์ดั่งหยกเป็นแน่ ก็แค่มองเท่านั้นและไม่ได้มองนาน ไม่เห็นต้องโกรธเช่นนั้นเลย!

“เจ้ารอก่อนเถอะ ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า!”

หนานกงเย่ยืนอยู่ข้างในด้วยความโกรธและเกลียดชัง เขาอดกลั้นไว้จนใบหน้าแดงก่ำ

ยิ่งเขาอยากจะแก้ไขเร็ว ๆ ก็ยิ่งแก้ไม่ได้ ซึ่งปกติจะแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว แต่วันนี้ดูเหมือนจะถูกกระทบกระเทือน มันไม่ตั้งตระหง่านขึ้นมา เขาได้แต่อดกลั้นไว้อย่างอึดอัดใจ

ในเวลานี้ดูเหมือนร่างกายจะถูกฉีกออกด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วนจนเลือดลมพลุ่งพลาน ร่างกายของเขาโอนเอนไปมาจะล้มมิล้มแหล่

วินาทีถัดมาก็มีเสียงดังขึ้น

ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินตรงเข้าไป

นางเห็นหนานกงเย่นอนอยู่บนพื้น ในท่าที่มือข้างหนึ่งจับของลับไว้ ใบหน้าของเขาแดงก่ำและหายใจหอบ เขาจ้องมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ฉีเฟยอวิ๋นเขินอาย นางรีบหันหน้าหนีแล้วคุกเข่าลง นางช่วยดึงมือของหนานกงเย่ออกแล้วช่วยสวมกางเกงให้เขา

 

 

**********************