บทที่ 213 ค่ำมืด

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 213

ค่ำมืด

ฮูหยินอวี้นั้นก็ได้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและอยากที่จะเอาเท้าของนางถีบหลังหลินซีเหยียน แต่ก็ไม่อาจที่จะทำได้ นางจึงทำได้แค่มองไปที่แผ่นหลังที่น่าเกลียดชังนั้นจากไปเรื่อยๆอย่างเย็นชา

ความรู้สึกช่วยไม่ได้เช่นนี้ทำให้นางรู้สึกรำคาญยิ่งนัก

“ท่านแม่”

ในขณะที่ฮูหยินอวี้กำลังเสียท่าทีของตัวเองอยู่นั้น หลินรั่วจิ่งจึงได้ดึงสติของนางกลับมา ฮูหยินอวี้ที่คืนสติของนางกลับมาได้ก็พบว่าดวงตาของมหาเสนาบดีหลินนั้นกำลังจับจ้องมาที่ใบหน้าของนาง

ฮูหยินอวี้จึงได้แสร้งทำเป็นอ่อนแรงลงแล้วกล่าว “ท่านพี่ ให้หลินหนานเฟิงกลับมาเช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่าจะให้เรือนไหนแก่เขาดีเจ้าคะ?”

เรื่องนี้ช่างเป็นปัญหาจริงๆ อย่างไรเสียในเวลานี้มีเรือนว่างๆอยู่แค่ 2 เรือน หนึ่งในนั้นกำลังปรับปรุงเพราะสภาพที่ทรุดโทรม ส่วนอีกที่นั้นก็ได้ให้องค์ชายจงอาศัยอยู่

“องค์ชายจงนั้นเป็นแขกคนสำคัญของเรา พวกเราไม่ควรจะไปรบกวนเขา” มหาเสนาบดีหลินก็ได้หรี่สายตาลงแล้วกล่าว “อีกเรือนหนึ่งก็กำลังปรับปรุงอยู่ ถ้าเช่นนั้นเราคงต้องทำผิดต่อหนานเฟิงชั่วคราวไปก่อน!”

ฮูหยินอวี้ก็ได้ก้มหัวลงแล้วผงกหัวอย่างว่าง่าย

ด้วยท่าทีที่ไม่ปกติของนางนั้น ทำให้มหาเสนาบดีหลินต้องจับจ้องไปที่นางอย่างช่วยไม่ได้ เขาที่ลังเลอยู่สักพักสุดท้ายก็ได้พูดออกมา “ช่วงนี้ข้าช่างทำผิดต่อฮูหยินอวี้เสียจริงๆ”

ฮูหยินอวี้ก็ได้พลันเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ตกใจ ดวงตาที่แดงและบวมของนางนั้น ทำให้นางนั้นดูน่าสงสารมาก

เมื่อเห็นว่าตอนนี้ก็ค่ำมากแล้ว มหาเสนาบดีหลินก็ได้ขยับหัวใจของเขาแล้วเดินเข้าไปหาฮูหยินอวี้ “ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว ให้ข้าทานอาหารค่ำร่วมกับเจ้าเถอะนะ!”

ฮูหยินอวี้ก็ได้ผงกหัวอย่างประหลาดใจ และมีแสงปรากฏขึ้นมาในดวงตาของนาง โดยที่ไม่ลืมที่จะจ้องมองไปยังเรือนของ ฮูหยินอิน นางนั้นจะต้องพยายามให้มากเพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นถูกตามใจไปมากกว่านี้แน่

หลังจากที่ทั้งสองคนนั้นได้เดินผ่านเรือนฮูหยินอินไปนั้น ฮูหยินอินก็ได้ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆเพราะความเพลีย ดวงตาของนางนั้นเต็มไปด้วยความโกรธโดยไร้ซึ่งความเหน็ดเหนื่อย

“ซิ่งเอ๋อ” เสียงที่หนาวเย็นหน่อยๆก็ได้ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง เพิ่มความน่ากลัวในห้องนั้นขึ้นมา

ซิ่งเอ๋อก็ได้รีบก้มหัวให้แล้วเดินไปที่ห้องนั้นด้วยสีหน้าเชื่อฟังมาก

แต่ก่อนที่นางจะมาถึงที่เตียง ฮูหยินอินก็ได้พุ่งเข้ามาหา ซิ่งเอ๋ออย่างเร็วมาก นางนั้นดูเหมือนผีกินคนมาก “ข้าจะทำอย่างไรดี? ข้าเสียลูกไปแล้วแต่ข้าก็ยังไล่ฮูหยินอวี้ออกไปไม่ได้”

ซิ่งเอ๋อก็ได้ลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้น และมีรอยข่วนอยู่ที่บนใบหน้าของนางเพราะเล็บของฮูหยินอิน นางนั้นสั่นกลัวและกล่าว “ฮูหยินอินอย่าเพิ่งโมโหเลยนะเจ้าคะ นายท่านบอกแล้วไงว่าท่านจะตามหาฆาตกรตัวจริงให้ได้น่ะเจ้าค่ะ”

“ฆาตกรตัวจริงก็เห็นอยู่ทนโท่แล้วนั่นไง แต่ก็กลับปัดไปยังสาวใช้เสียได้ แล้วข้าจะยอมรับได้อย่างไร?”

หลังจากนั้นฮูหยินอินก็ได้ลงไปนั่งกับพื้นแล้วนึกถึงรอยยิ้มที่สนใจของหลินซีเหยียนที่ปรากฏตรงหน้านางขึ้นมา ซึ่งทำให้นางรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา

แล้วนางก็ได้มองซิ่งเอ๋อด้วยดวงตาที่กระหายเลือด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนาวเหน็บมาก “เรื่องที่เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของท่านพี่ เจ้าไม่ได้เอาไปบอกคนอื่นใช่ไหม?”

ซิ่งเอ๋อก็ได้ผงกหัวอย่างเร่งรีบ และมองด้วยความกลัวและกระวนกระวาย “ฮูหยินอินเจ้าคะ ข้าน้อยไม่ได้บอกใครเลยจริงๆเจ้าค่ะ”

ฮูหยินอินก็ได้จ้องมองไปที่นางแล้วคิ้วขมวดราวกับว่า ถ้าซิ่งเอ๋อไม่ได้พูดออกมาแล้วหลินซีเหยียนจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของมหาเสนาบดีหลินน่ะ

หรือว่าเราจะจัดการกับคนพวกนั้นยังไม่เรียบร้อยดี?”

อย่างไรก็ดีจะปล่อยให้ซิ่งเอ๋ออยู่ต่อไปก็ไม่ได้ นางจะต้องหาโอกาสเหมาะๆกำจัดให้ได้!

อีกทางด้านหนึ่ง เมื่อหลินซีเหยียนออกมาจากจวนมหาเสนาบดี ก็ได้เดินไปยังโรงเตี๊ยมเพื่อไปพบหลินหนานเฟิง แต่ระหว่างทางชิงอวี่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมา อย่างที่รู้กันดีว่าถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ชิงอวี่นั้นจะคอยติดตามนางจากในความมืดตลอด

เมื่อเห็นชิงอวี่ปรากฏตัวออกมาเช่นนี้ หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงแล้วถามด้วยเสียงเบาๆ “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”

ชิงอวี่ก็ได้ผงกหัวแล้วพาหลินซีเหยียนไปยังมุมไกลผู้คนแห่งหนึ่ง จากนั้นนางก็ได้หยิบเอากระบี่สวรรค์ที่ปกติ หลินซีเหยียนจะพกไปไหนมาไหนออกมา แล้วนางก็พบว่ากระบี่สวรรค์นั้นกำลังสั่นไหวและเหมือนจะส่งเสียงออกมาด้วย

ปรากฏการณ์ที่แปลกเช่นนี้ทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกประหลาดใจ แล้วจากนั้นนางก็พอจะเดาได้รางๆ หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจียงหวายเย่?

ในขณะที่คิดเช่นนี้หัวใจของนางก็ได้เต้นเร็วขึ้นมาชั่วขณะ แล้วนางก็ได้พยายามใจเย็นลง นางนั้นนึกได้ว่าต่อให้เจียงหวายเย่นั้นไม่มีกำลังภายในก็ตาม แต่เขาก็ยังมีคนมากมายคอยอารักขาปกป้องเขาอยู่ จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

แล้วกระบี่สีฟ้าดูธรรมดาเล่มนั้นก็ได้สั่นอยู่อีกสักพักหนึ่งแล้วก็หยุดไป ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกโล่งอก

“ข้าจะพกกระบี่สวรรค์ไว้เอง!” พกกระบี่สวรรค์ไว้ข้างเอว แล้วหลินซีเหยียนก็ได้เข้าไปในโรงเตี๊ยม แต่ก็พบป้าเฉินอยู่ในห้องนั้นเพียงคนเดียว ส่วนหลินหนานเฟิงนั้นไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน

“คุณหนูรองเจ้าคะ คุณชายได้บอกเอาไว้ว่าเขามีธุระต้องออกไปทำและจะไม่กลับมาจนกว่าจะพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”

ป้าเฉินเมื่อเห็นหลินซีเหยียนก็ได้รีบลุกขึ้นมาแล้วยกน้ำชาให้หลินซีเหยียน “คุณหนูรองมาที่นี่ในเวลานี้ แสดงว่านายท่านยอมตกลงรับคุณชายเป็นทายาทแล้วให้กลับไปที่จวนได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”

เนื่องจากว่าเป็นป้าเฉิน หลินซีเหยียนจึงไม่คิดที่จะหลอกหรือปิดบังใดๆ และพูดบอกนางไปตามความจริง

หลังจากที่ได้ยินที่หลินซีเหยียนพูดแล้ว ดวงตาที่ขุ่นมัวของป้าเฉินก็ได้เต็มไปด้วยแสง และน้ำตาแห่งความดีใจก็ได้ค่อยๆไหลลงอาบแก้มที่เหี่ยวย่นของนางอย่างช้าๆ “สวรรค์มีเมตตาแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นวันที่คุณชายได้กลับไปเป็นทายาทและกลับไปที่จวนก่อนที่ข้าจะได้ลงไปอยู่ในพื้นปฐพีเช่นนี้”

หลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อของนางออกมาแล้วส่งให้ป้าเฉิน ป้าเฉินก็ได้รับมาแล้วเช็ดน้ำตาของนาง

“แล้วป้าเฉินรู้ไหมว่า ท่านพี่หลินหายไปไหนน่ะ?” หลินซีเหยียนคิดอยู่สักพักหนึ่ง แล้วนึกได้ว่านางยังมีเรื่องที่จำเป็นต้องพูดแบบซึ่งๆหน้าอยู่

แต่ทว่าป้าเฉินเองก็ไม่ทราบ “คุณชายกลัวว่าข้าจะเป็นกังวล เขาจึงไม่ชอบบอกว่าข้าว่าเขาจะทำอะไร รู้แค่ว่าเขามีธุระจะต้องไปทำเท่านั้นเจ้าค่ะ”

ธุระ? หลินซีเหยียนคิ้วขมวด ตอนนี้ก็ค่ำมืดแล้วด้วยเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะตามหาหลินหนานเฟิงพบ หลินซีเหยียนจึงได้ขอตัวลาแล้วกลับไปที่จวนมหาเสนาบดี

เมื่อกลับมานางก็พบว่าเทียนเอ๋อหายไป หลินซีเหยียนจึงได้นวดขมับ แต่นางก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าตัวแสบนั้นหายไปไหน

ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็คงจะไปหาองค์ชายสิบหกของรัฐจงเป็นแน่!”

“ชิงอวี่ เจ้ารออยู่ที่เรือนเชียนเหยียน ถ้าเทียนเอ๋อกลับมาแล้วเจ้าขยี้สิ่งนี้เสีย” หลินซีเหยียนก็ได้มอบอำพันให้กับชิงอวี่ ซึ่งมีหยดเลือดถูกขังอยู่ข้างในอำพันนี้

เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าสงสัยแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้อธิบาย “มีแมลงชนิดหนึ่งที่มักอยู่เป็นคู่อยู่ในนั้น ซึ่งต่อให้พวกมันถูกห่างกัน แต่ถ้าอีกตัวหนึ่งเป็นอะไรไป อีกตัวหนึ่งก็จะแสดงอาการเช่นเดียวกันกับอีกฝ่ายทันที”

ชิงอวี่ก็ได้ผงกหัวอย่างเข้าใจ แล้วหลินซีเหยียนก็ได้พา จี๋เฟิงไปและเตรียมเดินทางไปยังหมู่บ้านใกล้พระราชวังร้าง

“คุณหนูเจ้าคะ ค่ำมืดแล้วท่านจะไปที่ไหนเหรอเจ้าคะ?” ในเวลานี้ห้องครัวพร้อมจะยกอาหารแล้ว จิ่งชุนจึงอดไม่ได้ที่จะถามหลินซีเหยียนว่าจะไปที่ไหนอีก

หลินซีเหยียนก็ได้หยุดเพื่อให้ใจเย็นลงแล้วกล่าว “เทียนเอ๋อยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าไปเที่ยวเล่นที่ไหนอยู่ ข้าจะออกไปตามหาเขาอีกเดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะ”

แล้วจิ่งชุนก็ได้กล่าว “คุณหนูได้โปรดรอเดี๋ยวนะเจ้าคะ!”

จากนั้นก็ได้รีบวิ่งกลับไปที่ห้องเพื่อไปหยิบเสื้อคลุมแล้วใส่ให้หลินซีเหยียน “ลมยามค่ำคืนนั้นเย็นมาก คุณหนูจะต้องระวังร่างกายของตัวเองด้วยนะเจ้าคะ!”

หลินซีเหยียนก็ได้สวมเสื้อคลุมให้แน่นตามที่นางบอก จากนั้นก็ได้ควบม้าไปพร้อมกับจี๋เฟิงแล้วออกจากจวนมหาเสนาบดีไป