บทที่ 214
ถูกองค์ชายจงสะกดรอยตาม
ในขณะที่หลินซีเหยียนออกจากจวนไปนั้น ก็ได้มีคนเข้ามาในเรือนชิงซง คนผู้นี้สวมชุดสีดำสนิท ในเวลานี้เขาได้คุกเข่าลงตรงหน้าจงซู่เฟิงแล้วก้มหน้ารายงาน
ในห้องนั้นจงซู่เฟิงกำลังเอนตัวนอนอยู่ที่เก้าอี้และสีหน้าของเขานั้นหาได้ซีดเซียวไม่ เมื่อได้ยินรายงานจากลูกน้องของเขาแล้วเขาก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา “แม่นางหลินออกไปงั้นเหรอ?”
จงซู่เฟิงก็ได้หรี่สายตาลง โดยที่ไม่รู้ว่าเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วจากนั้นเขาก็ได้ถามด้วยเสียงเบาๆ “เจ้าได้ส่งใครไปสะกดรอยตามแล้วหรือยัง?”
ชายที่กำลังคุกเข่าอยู่นั้นก็ได้ผงกหัวอย่างเชื่อฟัง “ได้ส่งคนไปแล้วขอรับ เมื่อใดที่เขาถึงที่หมายแล้ว ก็จะแจ้งข่าวให้ทราบทันทีขอรับ”
แล้วทันใดนั้นเองโดยที่ไม่ทราบว่าจงซู่เฟิงนั้นคิดอะไรอยู่ จู่ๆเขาก็ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกล่าวอย่างขี้เกียจ “เจ้าไปหยิบชุดดำมาให้เปิ่นหวางหน่อย”
แล้วชายที่นั่งอยู่ที่พื้นก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าด้วยฝีเท้าที่เบามาก จากนั้นก็กลับมาพร้อมกับชุดคลุมสีดำ
จงซู่เฟิงก็ได้รีบสวมชุดแล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยเสียงที่เบามาก “เปิ่นหวางไม่อาจทนรอการรายงานอยู่เฉยๆได้ เราจะไปดูให้เห็นกับตาว่าที่ที่แม่นางหลินไปนั้นมีน้องสิบหกอยู่จริงๆไหม?”
แล้วคนในชุดดำก็ได้คิ้วขมวด จึงได้คิดที่จะบอกให้เจ้านายของเขาใคร่ครวญดูให้ดีก่อน แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไป เขาก็ต้องตกใจกับสายตาของจงซู่เฟิงจึงได้หุบปากเงียบสนิท
ในเวลานี้โรคเรื้อรังของจงซู่เฟิงนั้นได้หายดีแล้ว จึงเหมือนกับเสือร้ายที่ออกมาจากกรง ในเวลานี้สายตาของเขาช่างแหลมคมราวกับว่าเป็นคนละคน
เมื่อหลินซีเหยียนได้เดินทางมาถึงเรือนหนึ่งในพระราชวังร้างนั้น ก็ถูกมีดมาวางที่คอของนางก่อนที่จะได้เข้าไปข้างใน
ใบมีดที่สัมผัสกับผิวของนางนั้นเย็นมา ซึ่งทำให้ หลินซีเหยียนรู้สึกกลัวขึ้นมา
จี๋เฟิงก็ได้ตวาดออกไป “โอหัง! ผู้นี้คือแม่นางหลินว่าที่พระชายารัตติกาล ถ้าหากเจ้าทำร้ายพระชายา ข้าจะคอยดูว่าองค์ชายจะจัดการกับเจ้าอย่างไร?”
คนคุ้มกันที่ถือมีดนั้นเมื่อได้ยินที่พูดก็ได้รีบชักมีดกลับทันที แล้วสีหน้าที่เยือกเย็นและไร้อารมณ์นั้นก็ได้รีบเปลี่ยนกลายเป็นประจบประแจงทันที “ท่านจี๋เฟิง ไม่ใช่ว่าพวกเราต่างก็ทำตามคำสั่งหรอกเหรอ?”
หลังจากนั้นชายคนนั้นก็ได้รีบคุกเข่าลงต่อหน้า หลินซีเหยียน “ข้าน้อยเฟิ่งอันได้ทำผิดไปแล้ว ขอให้พระชายาโปรดลงโทษด้วย”
หลินซีเหยียนก็ได้โบกมือบอกให้เขาลุกขึ้นยืน “เจ้าก็แค่ทำตามหน้าที่ ข้าไม่มีอะไรจะโทษเจ้า แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่จะถามเจ้าหน่อย”
“ถ้าหากพระชายาอยากจะทราบสิ่งใดได้โปรดถามมาได้เลยขอรับ ข้าน้อยยินดีจะตอบท่านทุกเรื่องและทุกอย่างขอรับ”
เฟิ่งอันก็ได้มีสีหน้าที่ยินดีขึ้นมา ในเวลานี้เขาได้ลุกขึ้นยืน จึงทำให้นางมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะรอยยิ้มที่ประจบประแจงของเฟิ่งอันแล้วทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกขำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เนื่องจากนางมีธุระที่จะต้องรีบสะสางให้เสร็จจึงได้ถามออกไป “ในวันนี้เจ้าพอจะเห็นเด็กตัวเล็กๆมาที่นี่บ้างหรือเปล่า?”
คนคุ้มกันก็ได้ส่ายหัวแล้วกล่าว “ในวันนี้ข้าน้อยไม่เห็นใครมาที่พระราชวังนี้เลยขอรับ”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแต่นางก็ได้ยังไม่ได้ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปมองหาอยู่ดี อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเทียนเอ๋อก็สามารถมองหาหนทางหลบเลี่ยงสายตาคนได้ตลอด
จี๋เฟิงก็ได้เดินตามหลังหลินซีเหยียนเข้าไปในพระราชวัง พระราชวังแห่งนี้ทั้งกว้างใหญ่และว่างเปล่ามาก นอกจากนี้เพราะเป็นเวลาค่ำแล้วจึงได้มืดมาก
แต่แล้วจี๋เฟิงก็พบตะเกียงกระดาษน้ำมันก็ได้หยิบขึ้นมาถือ แล้วหยิบตะบันไฟขึ้นมาจุด แล้วทางข้างหน้าเขาก็ได้เห็นชัดขึ้นมา
มีห้องว่างมากมายอยู่ในพระราชวังร้างแห่งนี้ แต่ก็ได้ถูกทำลายโดยลม, ฝนและหิมะ และมีห้องหนึ่งที่ทำการซ่อมแซมอย่างง่ายๆและในเวลานี้ก็มีแสงไฟสีเหลืองของเทียนไขส่องออกมาจากในห้องนั้น
บางทีอาจเป็นเพราะได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก เหลิ่งเฟิงที่ออกมาข้างนอก หลังจากที่พบหลินซีเหยียนก็ได้มีแสงปรากฏออกมาจากในดวงตาของเขา “อ้าว แม่นางหลินไม่ทราบว่าได้ทานอาหารมาหรือยัง?”
หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัว แล้วมองผ่านเหลิ่งเฟิงเข้าไปในห้องนั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้เหลิ่งเฟิงก็ได้หยุดพูดอะไรต่อ แล้วเชิญ หลินซีเหยียนเข้ามาในห้องนั้น
ในห้องนั้นดูอบอุ่นมาก และที่โต๊ะในห้องนั้นก็มีอาหารน่าอร่อยมากมาย แล้วพบองค์ชายสิบหกที่กำลังนั่งรอทานอาหารอยู่
แต่ทว่าพอหลินซีเหยียนมองไปรอบๆก็ไม่พบแม้แต่เงาของเทียนเอ๋อ
“เทียนเอ๋ออยู่ที่ไหน?”
องค์ชายสิบหกก็ได้มองไปที่คนที่มีอำนาจคุกคามอย่างมากที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ก็ได้ทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายเข้าไปอึกหนึ่งและตะโกนออกมาในใจอย่างไร้เรี่ยวแรง: เจ้าตัวแสบเทียนเอ๋อ คราวนี้เจ้าทำข้าเจ็บมากนะ
“ท่านน้าเหยียน ทะ…เทียนเอ๋อไม่ได้อยู่กับข้าหรอกขอรับ”
หลังจากที่พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก องค์ชายสิบหกก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศของหลินซีเหยียนที่เปลี่ยนไปแย่อย่างมาก
ราวกับแม่เสือที่กำลังปกป้องลูกน้อยของมันในยามที่จะออกล่า
หลินซีเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่จ้องเขม็งไปที่ องค์ชายสิบหก แล้วเดินไปอย่างช้าๆก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้
“เพราะข้าเร่งรีบออกมา องค์ชายสิบหกคงไม่ว่าอะไร หากข้าจะร่วมทานกับท่านด้วยใช่ไหม?” แล้วริมฝีปากของ หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมา ราวกับว่าใบหน้าที่มืดครึ้มเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่นางยังไงอย่างงั้น
องค์ชายสิบหกนั้นรู้สึกกลัวหลินซีเหยียนอย่างมาก และพอหลินซีเหยียนพูดออกมาเช่นนั้น เขาก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
อาหารมื้อนี้หลินซีเหยียนทานอย่างช้าๆ ทำให้ เทียนเอ๋อที่หลบอยู่ใต้เตียงนั้น ได้กลิ่นหอมของอาหาร แล้วน้ำตาก็ได้ไหลออกมาอาบหน้าของเขา
เขานั้นรู้สึกได้รางๆว่าแม่ของเขานั้นจะต้องรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่แล้วเป็นแน่ แต่ในใจของเขาก็มีเสียงหนึ่งที่บอกกับเขาว่า ท่านแม่นั้นยังไม่รู้แต่กำลังใช้แผนหลอกให้เขาออกมาอยู่!
เมื่อลองคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในที่สุดเทียนเอ๋อก็ได้ยอมคลานออกมาจากใต้เตียงและพูดด้วยเสียงอ่อยๆ “ท่านแม่”
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาเมื่อนางได้ยินเสียง แต่นางก็ไม่ยอมหันไปมอง
ท่าทีของหลินซีเหยียนเช่นนี้ทำให้เทียนเอ๋อตัวสั่นด้วยความกลัว จากที่เขาจำได้การที่ดุด่าหรือตีนั้นยังไม่อันตรายเท่าไร แต่หากแม่ของเขานิ่งเงียบเมื่อไรมันจะอันตรายอย่างมาก
หลังจากที่ทานข้าวในชามเสร็จ หลินซีเหยียนก็ได้วางจานข้าวกับตะเกียบลง เสียงของชามเคลือบที่กระทบเข้ากับโต๊ะไม้นั้นทำให้เทียนเอ๋อกับองค์ชายสิบหกต้องตัวสั่นพร้อมกัน
“คุกเข่า”
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของเก้าอี้ดังขึ้นมา แล้วหลินซีเหยียนก็ได้หันข้างมา องค์ชายสิบหกก็ได้ลงไปคุกเข่ากับพื้นด้วย
หลินซีเหยียนก็มอง องค์ชายสิบหกที่ลงไปคุกเข่าอยู่ข้างๆเทียนเอ๋อ เหลิ่งเฟิงที่เห็นเช่นนั้นก็ได้มีสีหน้าตกใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาเช่นกัน
องค์ชายสิบหกนั้นอยากที่จะขุดหลุมหนีมาก เพราะท่านแม่ของเขาก็เป็นคนที่เข้มงวดมากเช่นกัน และมักจะสั่งให้เขาต้องคุกเข่าอยู่ตลอด พอเขาได้ยินว่าให้คุกเข่าจึงได้ตอบสนองลงไปคุกเข่าในทันที
องค์ชายสิบหกนั้นเป็นถึงองค์ชายของรัฐจง เขาไม่รู้ว่าการที่เขาลงไปคุกเข่าเช่นนี้หลินซีเหยียนจะรับได้หรือไม่ หลินซีเหยียนจึงได้ยื่นมือมาประคองเขาให้ลุกขึ้นยืน “องค์ชายสิบหกลุกขึ้นเถิด การที่ท่านคุกเข่าให้เช่นนี้มันจะเสื่อมเสียได้”
องค์ชายสิบหกนั้นรู้สึกอายเกินกว่าจะอธิบายว่าทำไมเขาถึงได้ลงไปคุกเข่า เขาจึงจำต้องพูดตามน้ำออกไป
“น้าเหยียน การที่เทียนเอ๋อแอบหนีออกมาก็เพราะว่าเขากลัวข้าจะเบื่อ ขอท่านน้าอย่าได้ลงโทษเขาเลย!”
เทียนเอ๋อที่ลงไปคุกเข่าอยู่นั้น เมื่อได้ยินที่องค์ชายสิบหกกล่าว เขาก็รู้สึกถึงความมีน้ำใจของฝ่ายตรงข้ามนัก ในเวลาเช่นนี้เขายังที่จะไม่ลืมช่วยไกล่เกลี่ยให้เขาอีก
เทียนเอ๋อจึงได้รีบอาศัยโอกาสนี้ รีบพูดยืนกรานออกไป “ท่านแม่ เทียนเอ๋อรู้ตัวดีว่าผิดไปแล้วจริงๆ”
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา เทียนเอ๋อนั้นเลี้ยงดูมาโดยนาง จึงเหมือนกับเป็นพยาธิในท้องของเขา นางจึงรู้นิสัยของเขาดีมากกว่าใคร “เจ้ารู้ว่าเจ้าทำผิด แต่เจ้าก็ยังจะคิดทำผิดอีกใช่ไหม?”
เทียนเอ๋อก็ได้ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้แล้วกล่าวอย่างประจบประแจง “ท่านแม่รู้แม้กระทั่งในสิ่งที่เทียนเอ๋อกำลังคิดเช่นนี้ เทียนเอ๋อยังจะกล้าทำผิดอีกได้อย่างไรกัน”