บทที่ 215
ลอบโจมตี
“เจ้าคิดว่าแม่หลอกง่ายนักรึยังไง? และไม่ต้องมาหวังให้คนอื่นช่วยด้วย ดูสิข้าจะสั่งสอนเจ้ายังไงดีนะ”
แล้วก็ไปคว้าเอาไม้ปัดฝุ่นที่ใช้ทำความสะอาดแจกันมา แล้วจากนั้นก็เดินไปหาเทียนเอ๋อ
ในขณะที่เทียนเอ๋อกำลังหนีไปรอบๆอยู่นั้น เทียนไขในห้องนั้นจู่ๆก็ไฟดับ แล้วจากนั้นก็มีเสียงร้องดังมาจากด้านนอก “มีคนลอบโจมตี”
ท่ามกลางความมืด หลินซีเหยียนก็ได้กลิ่นยาที่คุ้นเคยที่ปลายจมูกของนาง จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงอาวุธปะทะกันแล้วตามมาด้วยเสียงร้องขอความช่วยเหลือขององค์ชายสิบหก “เหลิ่งเฟิง ท่านน้าเหยียนช่วยข้าด้วย!”
โดยไม่สนว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากหรือไม่ หลินซีเหยียนก็ได้เข้าไปช่วย นางได้ขว้างเข็มเงินออกไปตามที่มาของเสียง แล้วจากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องขึ้นมา
จากนั้นก็ปรากฏเสียงที่แหบมากดังขึ้นมาในห้องนั้น เสียงฟังดูแปลกๆมาก ราวกับว่าคนร้ายตั้งใจดัดเสียง
แต่ทว่าเขาทำเช่นนั้นไปทำไมกัน? เหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นเกรงว่าจะมีคนจำเสียงได้
แล้วทำไมพวกเขาต้องกลัวด้วย? หรือว่าอีกฝ่ายจะรู้จักนาง?
แล้วความคิดนี้ก็ได้ถูกลืมชั่วคราว เพราะว่าสิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือการช่วยองค์ชายสิบหกให้ได้ก่อน
ความสัมพันธ์ระหว่างเทียนเอ๋อกับองค์ชายสิบหกนั้นก็ได้สนิทสนมมากขึ้นเรื่อยๆด้วย เมื่อเห็นว่าองค์ชายสิบหกถูกชิงตัวไปเช่นนี้ เทียนเอ๋อก็ได้เตรียมที่จะไล่ตามไป
แต่หลินซีเหยียนจะปล่อยให้เทียนเอ๋อทำอะไรเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร? นางก็ได้คว้าชายเสื้อของเทียนเอ๋อเอาไว้
ภายใต้สายตาที่สงสัยของอีกฝ่าย นางก็ได้กล่าว “เจ้ารอแม่อยู่ที่นี่ แม่จะไล่ตามองค์ชายสิบหกเอง”
หลังจากที่พูดจบหลินซีเหยียนกับจี๋เฟิงก็ได้ไล่ตามไปในความมืด เพราะเดิมทีองค์ชายสิบหกนั้นเป็นคนที่ทางราชสำนักกำลังต้องการตัวอยู่ พวกนางจึงไม่สามารถส่งเสียงดังได้
ในเวลานี้ชายชุดดำที่ถูกเข็มเงินของหลินซีเหยียนเข้าไปนั้น ก็ได้ลากตัวพาองค์ชายสิบหกมายังบ้านธรรมดาๆแห่งหนึ่ง
จากนั้นก็ผลักองค์ชายสิบหกเข้าไปในห้องนั้นแล้วปิดประตู แล้วชายชุดดำก็ได้หมดเรี่ยวแรงและนั่งลงกับพื้นราวกับหมดสติ
องค์ชายสิบหกก็ได้เดินไปหาชายชุดดำอย่างกล้าหาญ หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นยังไม่ตอบสนองใดๆ เขาก็รู้สึกโล่งอกและคิดที่จะหนีไป
แต่ในขณะที่กำลังเดินผ่านชายชุดดำไปนั้น เขาก็รู้สึกสงสัยตัวตนของอีกฝ่ายขึ้นมา
“แอบดูสักหน่อยดีกว่า ยังไงเสียเขาก็ยังสลบอยู่คงไม่เป็นอะไรหรอก”
องค์ชายสิบหกพูดปลอบตัวเองแล้วค่อยๆเข้าไปหาและเอื้อมมือไปจับหน้ากากของชายชุดดำ
หลังจากที่มือจับที่หน้ากากเขาก็ได้ดึงออกมาอย่างแรง ซึ่งหลังจากที่เขาเห็นหน้าของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ได้ตกใจและตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
หลังจากที่ตั้งสติได้ ก็ได้พูดขึ้นมา “ท่านพี่ ท่านจะตายไม่ได้นะ!”
ชายชุดดำนั้นก็คือจงซู่เฟิงที่สะกดรอยตามหลินซีเหยียนมานั่นเอง เพราะว่าเขาถูกพิษของหลินซีเหยียน ริมฝีปากของ จงซู่เฟิงก็ได้เป็นสีม่วงและใบหน้าที่ซีดเซียว
ในขณะที่องค์ชายสิบหกกำลังเสียใจอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงดังมาจากข้างนอกบ้าน ในชั่วขณะนั้นเองเขาก็นึกว่าเป็น หลินซีเหยียน
“จริงด้วยวิชารักษาของน้าเหยียนนั้นสุดยอดมาก ท่านน้าจะต้องรักษาท่านพี่ได้แน่ๆ”
ในขณะที่เขาลูกขึ้นยืนแล้วกำลังจะร้องเรียกให้คนมาช่วยอยู่นั้น เขาก็พลันนึกอะไรบางอย่างออกได้ ท่านพี่คงจะต้องไม่อยากให้น้าเหยียนรู้ตัวจริงแน่ๆ เขาจึงได้ลอบเข้ามาเช่นนี้!
แล้วเราจะทำอย่างไรดี?
องค์ชายสิบหกนั้นก็มีท่าทีที่กระวนกระวายอย่างมาก แล้วเขาก็ได้เค้นหมัดของเขาอย่างร้อนรนแล้วจากนั้นก็คลายออกมา
เขานั้นมักถูกตามใจโดยจงซู่เฟิงและท่านแม่ของเขาที่เป็นนางสนมในวัง ในเวลานี้เขาจึงไม่มีความคิดและไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี
ในขณะที่เขากำลังลำบากอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของ เหลยถิงและเหลิ่งเฟิงดังมาจากข้างนอก
ในชั่วขณะนั้นเอง องค์ชายสิบหกก็เหมือนจะได้พบกับความหวังขึ้นมา เขาจึงได้เปิดประตูออกไปแล้ววิ่งไปหาอ้อมแขนของเหลิ่งเฟิง “ท่านพี่ถูกพิษ ข้าจะทำอย่างไรดี? ข้าไม่อยากที่จะให้ท่านพี่ต้องตาย!”
เหลิ่งเฟิงก็ได้ลูบหลังขององค์ชายสิบหกแล้วหันไปมองกับเหลยถิง จากนั้นเหลยถิงก็ได้พาจงซู่เฟิงเหาะกลับไปยัง จวนมหาเสนาบดี
ส่วนหลินซีเหยียนที่ได้ไล่ตามชายชุดดำมายังเขตพักอาศัย แล้วพบว่าบ้านแถวนี้ล้วนดูปกติมากและไม่มีเงื่อนงำอะไรเลยด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางต้องยอมรับว่านางคลาดกันเสียแล้ว
หลังจากนั้นสักพัก จี๋เฟิงก็ได้มาหานางจากอีกทางหนึ่ง
โดยไม่ได้ถามอะไร หลินซีเหยียนก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายก็คงจะเหมือนกับนาง
แล้วตาของหลินซีเหยียนก็ได้เต็มไปด้วยความยุ่งยากใจขึ้นมา แล้วสุดท้ายนางก็ได้กะพริบตาแล้วกล่าว “กลับไปหา เทียนเอ๋อที่เรือนนั้นกันเถอะ”
หลังจากที่ทั้งสองคนกลับไปที่เรือนเดิม นางก็พบดวงตาที่คาดหวังของเทียนเอ๋อก่อนที่บรรยากาศจะหนักอึ้งขึ้นมา
หลินซีเหยียนก็ได้ลูบหัวของนางแล้วกอดเขา “กลับไปที่จวนมหาเสนาบดีก่อนนะ ส่วนองค์ชายสิบหกนั้นแม่จะต้องหาให้พบอย่างแน่นอน”
“เทียนเอ๋อเชื่อท่านแม่ขอรับ” เทียนเอ๋อก็ได้ทำตัวดีอย่างที่เห็นได้ยากนัก
หลังจากกลับไปที่จวนมหาเสนาบดี หลินซีเหยียนก็พลันนึกถึงกลิ่นยาที่คุ้นเคยขึ้นมาได้ แล้วจากนั้นก็ได้พอจะเดาได้รางๆในใจของนาง และเพื่อที่จะพิสูจน์เรื่องนี้นางจึงได้ไปที่เรือนชิงซง
ในเวลานี้เรือนชิงซงนั้นกำลังตกอยู่ในความมืด ซึ่งทำให้สงสัยว่าหรืออีกฝ่ายนั้นกำลังจะพักผ่อนกันอยู่?
หรือว่าจะไม่มีใครอยู่ที่นั่น?
หลินซีเหยียนก็ได้เคาะประตูเรียก แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมา ซึ่งทำให้มีแสงปรากฏในแววตาของหลินซีเหยียน แล้วจากนั้นนางก็ได้ผลักประตูเข้าไป แล้วหยิบตะบันไฟขึ้นมาจุดที่เทียนไข
“แม่นางหลิน?”
เมื่อแสงสีเหลืองจากเทียนไขได้สาดส่องเข้าไปในห้องนั้น ก็มีเสียงที่ฟังดูอบอุ่นดังขึ้นมา
เมื่อหลินซีเหยียนมองไปก็พบจงซู่เฟิงกำลังถอดสายคาดเอวของเขาอยู่ ทำให้เผยเรือนร่างส่วนใหญ่ของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว สีหน้าของเขานั้นก็รู้สึกสับสนอย่างมากราวกับถูกรบกวนขณะพักผ่อนและทำสายตาตกตะลึงอย่างชัดเจน
หลังจากที่ได้ยินเสียงกระแอมของหลินซีเหยียน เขาก็ได้รีบหันหลังและจัดเสื้อผ้าของเขาเสียใหม่
หลังจากที่เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ได้หันกลับมาแล้วกล่าวกับหลินซีเหยียน “ไม่ทราบว่าแม่นางหลินมีธุระอะไรถึงได้มาหากลางดึกเช่นนี้?”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่ใบหน้าของจงซู่เฟิงด้วยดวงตาที่ลุกโชน “คืนนี้ขณะที่ข้ากำลังทบทวนวิชารักษาอยู่นั้น ข้าพลันนึกวิธีการฝังเข็มวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ ซึ่งเชื่อว่ามันจะต้องเป็นประโยชน์กับท่านมากแน่ๆ หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่งข้าก็ได้ตัดสินใจที่จะมาบอกท่านที่นี่น่ะ”
หลังจากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้เข้าหาจงซู่เฟิงอย่างช้าๆแล้วกล่าว “ในเมื่อท่านอยู่ที่นี่แล้ว ก็ขอข้าจับชีพจรขององค์ชายจงหน่อยสิ!”
“วันนี้เรารู้สึกดีมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากแม่นางหลินในเวลาเช่นนี้หรอก”
จงซู่เฟิงก็ได้เอนตัวหลบ
แล้วริมฝีปากของหลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมา แล้วนางก็ได้ทำการจู่โจมจงซู่เฟิงอย่างพยายาม “องค์ชายจงก็คิดมากเกินไป คืนนี้ข้าเห็นสีหน้าของท่านดูซีดมาก ข้าเกรงว่าอาการโรคเรื้อรังของท่านอาจจะกำเริบขึ้นมาก็ได้ ขอให้ข้าได้ตรวจอาการท่านหน่อยเถอะ!”
ในห้องแคบๆนั้นทั้งสองคนก็ได้วิ่งไล่จับกันอย่างว่องไวมาก
แต่ในสายตาของหลินซีเหยียนแล้ว ซึ่งในเวลานี้ได้ทำให้นางสงสัยขึ้นมาว่าอ่อนแรงของเขานั้นเป็นเพราะว่าเขาอยากที่จะพักผ่อนจริงหรือเป็นเพราะว่าถูกพิษกันแน่?
“ก็แค่ตรวจชีพจรเอง ใช้เวลาไม่นานหรอก”
หลินซีเหยียนที่พูดจบในขณะที่จงซู่เฟิงนั้นกำลังหอบ นางจึงได้เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าจงซู่เฟิงนั้นกลับเคลื่อนไหวเร็วกว่านาง
ในเวลานี้หลินซีเหยียนไม่เพียงแต่จะจับข้อมือของ จงซู่เฟิงไม่ได้ แต่นางยังถูกจับเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่ายอีกต่างหาก