ตอนที่ 210 เริ่มปฏิบัติการ!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ความเร็วของฉีหลงรวดเร็วมาก แทบจะเป็นเวลาเพียงพริบตาเดียว เนื่องจากตอนนี้ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากำลังเพ่งความสนใจทั้งหมดจับจ้องไปที่ลั่วล่าง เขาเลยนึกไม่ถึงว่าฉีหลงที่เฝ้ารักษาการณ์จะลอบโจมตี การจู่โจมที่เหนือความคาดหมายนี้ได้ซัดตรงไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าถูกพลังของหมัดนี้อัดจนกระเด็นลอยออกไปทันทีก่อนจะกระแทกลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง…

“หัวหน้า!” ลูกทีมที่อยู่ตรงนี้อุทานออกมาพร้อมกัน พวกเขาตกใจที่หัวหน้าถูกฝ่ายตรงข้ามชกใส่จนล้มลง และก็โกรธเคืองที่ฝ่ายตรงข้ามลอบโจมตีอย่างไร้ยางอาย

ลั่วล่าวเห็นดังนั้นก็หยุดมือแล้วยืนอยู่ด้านข้าง เขาเหลือบมองฉีหลงด้วยความไม่พอใจ “ฉันจัดการอีกฝ่ายได้” แววตานี้เย้ายวนใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!

ฉีหลงชูมือขวาขึ้นเผยให้เห็นอุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือโดยที่ไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ลั่วล่างเข้าใจทันที นี่ย่อมเป็นคำสั่งของลูกพี่หลานที่มาถึงแล้วแน่นอน

……….

“คนที่ลงมือในตอนนี้คือหัวหน้าทีมของเด็กหนุ่มเมื่อตะกี้นี้ใช่ไหม?” พันตรีที่อยู่ในห้องกัปตันรู้สึกสนใจฉีหลงที่ลงมืออย่างกะทันหัน

“น่าจะใช่นะ!” กัปตันนิ่วหน้า วิธีการลอบโจมตีของฉีหลงทำให้เขาไม่ชอบอยู่บ้าง

……….

ในขณะเดียวกัน ลูกเรือห้าหกคนในห้องอาหารที่กำลังโกรธเกรี้ยวก็พุ่งเข้าใส่ฉีหลงพร้อมกัน เตรียมตัวจะสั่งสอนไอ้เด็กชั่วช้าคนนี้

ฉีหลงยืนนิ่งไม่ไหวติง จ้องมองพวกลูกเรือที่พุ่งเข้ามาด้วยความเย็นชา ในขณะที่พวกเขากำลังแตะโดนร่างกายเขานั้น เขาพลันตะโกนเสียงดังลั่น ลมปราณในร่างกายโคจรอย่างฉับไว จากนั้นก็กระทืบขาซ้ายอย่างหนักหน่วง อาศัยแรงสะท้อนนี้พาร่างกายทะยานขึ้นสูง สองขาลอยขึ้นไปด้วยกัน…

‘ปัง!’ ‘ปัง!’ ‘ปัง!’

เสียงเตะใส่ร่างกายดังขึ้นติดต่อกัน ลูกเรือเหล่านี้กระเด็นกลับไปราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ก็ไม่ปาน จากนั้นพวกเขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรงแล้วกลิ้งไปทางด้านข้าง ถึงขนาดที่มีลูกเรือคนหนึ่งพุ่งชนไปทางลั่วล่าง ลั่วล่างที่เผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยร่างกายมนุษย์อย่างกะทันหันนี้ก็เขยิบไปก้าวหนึ่ง เบี่ยงตัวเล็กน้อย ลูกเรือคนนั้นก็เฉียดลั่วล่างไปก่อนจะกระแทกกับพื้น…

เวลานี้เอง ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าลุกขึ้นมาแล้ว เขาเห็นฉีหลงอัดลูกเรือห้าหกคนจนล้มลงอย่างสบายๆ ก็อดเอ่ยด้วยสีหน้ายากจะทานทนว่า “ระดับพลังปราณ!”

เขากัดฟันกล่าวสามคำนี้ออกมา ไม่นึกเลยว่าจะมีสัตว์ประหลาดแบบนี้ซ่อนตัวอยู่ในหมู่นักเรียนใหม่ของโรงเรียนทหารรุ่นนี้ ระดับพลังปราณตอนอายุสิบหก…นี่ย่อมเป็นตัวตนในตำนานแน่นอน

“ระดับพลังปราณ? นี่มันเป็นไปได้ยังไง?” กัปตันที่กำลังจดจ่ออยู่กับสถานการณ์ของห้องอาหารในห้องกัปตันได้ยินคำพูดของชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าก็อดอุทานขึ้นมาไม่ได้

พันตรีเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนว่า “บางทีสาเหตุที่สถาบันศูนย์กลางลูกเสือเงียบมาหลายปีขนาดนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาอาจจะทำเพื่ออบรมสั่งสอนสัตว์ประหลาดตัวนี้ก็ได้…” เยี่ยอีฝาน นายเตรียมตัวจะตอบโต้กลับแล้วใช่ไหม?

“โรงเรียนทหารอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จริงๆ แล้วสินะ” พันตรีกล่าวพลางถอนหายใจ

“ถ้าเกิดอีกฝ่ายเป็นระดับพลังปราณจริงๆ ละก็ เสี่ยวกุ่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน!” กัปตันเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันต้องเข้าไปดูหน่อยแล้ว” เขาไม่อาจปล่อยให้แผนการที่ทำดีมาตลอดต้องล่มไปจนสุดท้ายก็ไม่ได้สั่งสอนนักเรียนใหม่ของโรงเรียนทหาร แต่ตรงกันข้ามกลับทำให้ลูกน้องของเขาถูกโจมตีหยามหยันจนหดหู่ใจหรอกนะ

“อืม จำเป็นต้องให้นายไปยับยั้งสถานการณ์แล้ว” พันตรีเห็นด้วยอย่างยิ่ง ถ้าหากกำราบนักเรียนใหม่ของโรงเรียนทหารที่อยู่ระดับพลังปราณคนนั้นไม่ได้ เกรงว่าการประเมินของพวกเขาจะล้มเหลวแล้ว นักเรียนพวกนั้นไม่มีทางหวาดกลัวพวกเขาแน่นอน

“วางใจเถอะ ฉันจะสั่งสอนเขาให้ดี ยังไม่เคยมีใครกล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้ในอาณาเขตของฉันหรอกนะ” กัปตันทิ้งคำพูดประโยคนี้ไว้แล้วก็ออกจากห้องกัปตัน

เสี่ยวซื่อรายงานการเคลื่อนไหวผิดปกติของกัปตันให้หลิงหลานฟัง หลิงหลานพลันกำหมัดในใจ ตะโกนเสียงดังว่า YES ในที่สุดก็ล่อกัปตันออกจากห้องกัปตันได้สำเร็จ…

อย่างไรก็ตาม ยังต้องรออีกหน่อย…หลิงหลานฝืนสะกดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ ดวงหน้าดูเยือกเย็นผิดปกติ เธอนั่งอยู่บนที่นั่งเงียบๆ คอยจับตามองทิศทางการเคลื่อนไหวของกัปตัน

เวลานี้เอง นักเรียนบางคนในห้องโถงที่ไม่ได้มาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือรู้สึกสนใจกับสถานการณ์ที่มีคนมารวมตัวกันทางฝั่งหลิงหลานประมาณร้อยคนอย่างยิ่งยวด หนึ่งในนั้นแอบแทรกตัวไปที่ด้านข้างนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่อยู่วงนอกสุดอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ฉันขอถามหน่อยสิ พวกนายรวมตัวกันมากมายขนาดนี้ เตรียมตัวจะทำอะไรเหรอ?”

ความจริงแล้วนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกันว่าหลิงหลานเรียกให้พวกเขาเข้ามารวมกลุ่มกันเพื่อทำอะไรกันแน่ เท่าที่รู้คือต้องเป็นการปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่ทำให้คนตื่นเต้นแน่นอน เขายิ้มขอโทษอีกฝ่าย และก็ไม่ได้เอ่ยปากตอบ

เมื่อเห็นนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือไม่ต้องการตอบเขา คนผู้นั้นได้แต่กลับเข้าไปในกลุ่มเพื่อนของตัวเองด้วยความท้อแท้ใจ

“ได้ข้อมูลอะไรมาบ้างหรือเปล่า?” เพื่อนร่วมทีมหนึ่งในนั้นเอ่ยถามเสียงเบา

คนผู้นั้นส่ายศีรษะอย่างเศร้าใจ แต่เอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ต้องมีแผนการอะไรบางอย่างแน่นอน เพียงแต่พวกเขาไม่อยากให้พวกเรารู้เท่านั้น” เขามองไปยังเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ก่อนจะอดเอ่ยปากถามไม่ได้ “พี่สาม ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดี?”

เด็กหนุ่มที่กำลังใคร่ครวญถูกคำถามนี้เรียกสติกลับมา เขาขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมาแล้วปรายตามองไปทางหลิงหลาน เอ่ยว่า “รอ! คนมากมายขนาดนี้ไม่มีทางหายตัวไปอย่างกะทันหันแน่นอน สุดท้ายเราก็จะรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร”

ผ่านมาแล้วครึ่งค่อนวัน เขารู้คร่าวๆ แล้วว่านักเรียนพวกนี้มาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือทั้งนั้น ก่อนหน้านี้นักเรียนทุกคนในสถาบันนั้นต่างก็เป็นเป้าหมายที่พวกเขาอิจฉาริษยาเกลียดชังมาตลอด ทว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเขายืนอยู่บนจุดสตาร์ทเดียวกันแล้ว…

ด้วยเหตุนี้เอง เขาถึงไม่ยอมให้พวกเขาถูกอัจฉริยะเหล่านี้ทิ้งอยู่ด้านนอกหรอกนะ…

“ได้ พวกเราเชื่อฟังพี่สาม” คนเหล่านี้ต่างก็สอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้อย่างราบรื่นเพราะอีกฝ่าย ดังนั้นจึงยอมรับเขาอย่างสุดหัวใจ ยินดีทำตามความต้องการของอีกฝ่ายเป็นหลัก

………….

หลังจากที่หลิงหลานแน่ใจว่ากัปตันเดินเข้าไปในทางแยกเพื่อมุ่งไปยังห้องอาหารแล้ว หลิงหลานก็รู้ว่าเวลาของการปฏิบัติการมาถึงแล้ว เธอลุกขึ้นยืนฉับพลันก่อนจะกวาดมองเหล่านักเรียนข้างกายรอบหนึ่งและเอ่ยเสียงเบาว่า “เกมเริ่มแล้ว! พวกนายไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น แต่ตามหัวหน้าทีมของตัวเองไป อีกเดี๋ยวพวกเขาจะอธิบายให้พวกนายฟังเองว่าพวกเรากำลังจะทำอะไร?”

อู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยพยักหน้าให้หลิงหลานแล้วก็นำคนไปสามสิบกว่าคน พวกเขาเลือกไปยังเส้นทางที่แตกต่างกัน ออกจากห้องโถงไปแล้ว…สมาชิกทีมส่วนใหญ่เดินตามหัวหน้าทีมของตัวเองไปด้วยความงุนงง แต่หัวหน้าทีมสิบกว่าคนที่อยู่ที่นี่กลับรู้ว่าพวกเขาต้องทำอะไรบ้าง

เส้นทางที่อู่จย่งเลือกคือทางไปยังห้องเครื่อง เขาจำเป็นต้องยึดครองห้องเครื่องทันที ควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อห้องเครื่องถูกคนตัดพลังงาน ยานบินจะเข้าสู่สภาวะอัมพาต ระบบต่างๆ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ หากคิดจะควบคุมยานบิน จะขาดสถานที่แห่งนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากห้องเครื่องมีความสำคัญมาก ดังนั้นหลิงหลานเลยมอบภารกิจที่ยากลำบากยิ่งนี้ให้กับอู่จย่ง

ในขณะเดียวกัน สถานที่ที่หลี่อิงเจี๋ยไปก็คือเขตที่พักของลูกเรือ พวกเขาจำเป็นต้องควบคุมลูกเรือด้านในทันที ไม่อาจให้พวกเขามีโอกาสหายใจและรวมกลุ่มกันทำการตอบโต้กลับ

หลิงหลานกวาดตามองคนที่เหลืออยู่ตรงนี้และเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ตามฉันมา”

เธอเดินนำหน้าออกจากห้องโถง หานจี้จวินกับหลินจงชิงรีบตามไปติดๆ เพื่อนร่วมชั้นที่เหลืออยู่มองเพื่อนร่วมทีมข้างๆ แวบหนึ่งด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ก้าวเท้าตามไป ไม่กล้าอืดอาดยืดยาดเลยสักนิด

ภารกิจของหลิงหลานหนักหนาสาหัสมากที่สุด เส้นทางที่เธอเลือกนี้จำเป็นต้องควบคุมสองสถานที่ หนึ่งคือห้องควบคุมหลักของยานบิน ควรรู้เอาไว้ว่าอุปกรณ์รวมทั้งโปรแกรมทุกอย่างของยานบินต่างควบคุมสั่งการอยู่ข้างในนั้น ซึ่งในนั้นยังรวมไปถึงระบบไฟฟ้า ระบบแรงโน้มถ่วง ระบบสอดแนม ระบบอาวุธ ระบบหุ่นรบ ระบบตรวจสอบ ฯลฯ โดยให้เจ้าหน้าที่เฉพาะทางทำการควบคุมดำเนินการตรวจสอบ ระบบอื่นๆ หลิงหลานยังมองข้ามได้ แต่ว่าการจะล็อคประตูของเขตพื้นที่แตกต่างกันจำเป็นต้องควบคุมที่นั้นไว้

ถึงแม้หลิงหลานจะแน่ใจว่าฝ่ายยานบินไม่มีทางให้หน่วยหุ่นรบเคลื่อนไหวเป็นอันขาด แต่หลิงหลานยังคงตัดสินใจจะกำจัดภัยอันตรายแอบแฝง ดังนั้นหลิงหลานจึงตัดสินใจควบคุมห้องควบคุมหลัก ปิดห้องหุ่นรบที่เก็บหุ่นรบไว้ ทำให้อีกฝ่ายไม่มีโอกาสเข้าใกล้หุ่นรบ!

นอกจากสถานที่แห่งนี้แล้ว ยังมีสถานที่อีกแห่งที่จำเป็นต้องควบคุม นั่นก็คือห้องกัปตันที่อยู่ด้านหลังห้องควบคุมหลักซึ่งศูนย์กลางออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของยานบินอยู่ที่นั่น มีเพียงยึดครองห้องกัปตัน เจาะเข้าขอบเขตอำนาจในการสั่งการของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก แล้วได้รับอำนาจของมันมาเท่านั้นถึงจะนับว่าได้รับอำนาจในการควบคุมยานบินลำนี้อย่างแท้จริง

เดิมทีห้องกัปตันเป็นห้องที่ฝ่าเข้าไปยากมากที่สุด เพราะว่ากัปตันซึ่งเป็นคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดนั่งรักษาการณ์อยู่ในนั้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีปัญหาข้อนี้แล้วเนื่องจากแผนการของหลิงหลาน นี่จึงทำให้พวกหลิงหลานได้รับอำนาจควบคุมของยานบินง่ายดายมากขึ้น

ถึงแม้ว่าระดับความยากดูเหมือนลดลงไปมากแล้ว แต่หลิงหลานไม่ได้คลายความระมัดระวังลง เพราะเสี่ยวซื่อเตือนว่ายังมีคนอยู่ในห้องกัปตันอีกคน และหลิงหลานไม่รู้ความสามารถที่แน่ชัดของคนลึกลับผู้นี้เลย นี่จึงทำให้การปฏิบัติการของพวกมีความไม่แน่นอนในระดับหนึ่ง

นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือในห้องโถงไม่มีหลงเหลืออยู่สักคนอย่างรวดเร็ว

“พี่สาม พวกเราต้องตามทีมไหน?” หนึ่งในสมาชิกทีมที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์กลุ่มของหลิงหลานอย่างใกล้ชิดเห็นดังนี้ก็อดเอ่ยถามด้วยความร้อนใจไม่ได้

“ตามกลุ่มนี้ไป!” คนที่ถูกพวกเขาเรียกว่าพี่สามยังจำผู้นำกลุ่มนี้ได้ เขาเป็นคนที่ทำให้นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือทุกคนต่างเรียกขานเขาว่า ‘ลูกพี่หลาน’ ด้วยความเคารพ ความสนใจของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายรุนแรงมากที่สุด

คนกลุ่มนี้ตามประกบหลังกลุ่มหลิงหลานอย่างระมัดระวัง พวกเขาตามกลุ่มหลิงหลานซ่อนตัวเข้าไปในส่วนลึกของทางเดินช้าๆ

กลุ่มของหลิงหลานจัดตั้งหน่วยต่อสู้ขึ้นอย่างรวดเร็ว แบ่งเป็นสามคนต่อทีม มีทั้งหมดสิบสองทีม หลิงหลานที่เกินออกมาก็ตั้งขึ้นเป็นทีมคนเดียว ทุกครั้งที่มาถึงจุดที่มีลูกเรือซ่อนตัวอยู่ก็จะจัดแบ่งด้วยวิธีหนึ่งทีมรับมือหนึ่งคน

เดิมทีนักเรียนเหล่านี้ก็เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นเหนือใครของสถาบันศูนย์กลางลูกเสืออยู่แล้ว ความสามารถด้านการต่อสู้ของพวกเขาไม่ได้อ่อนแอเลย กอปรกับหนึ่งทีมที่มีสามคนจัดการกับลูกเรือหนึ่งคนทำให้พวกเขาบุกตะลุยอย่างที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้ตลอดทางที่เข้าไป เอาชนะยามคุ้มกันที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างทางได้โดยที่ไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมาย

อย่างไรก็ตาม ไม่นานพวกเขาก็เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บางทีการเดินทางอย่างราบรื่นอาจจะทำให้นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือวางใจอยู่บ้าง เมื่อโจมตีลูกเรือคุ้มกันกลุ่มที่สิบสองก็เจอกับคนที่อึดอยู่คนหนึ่ง นักเรียนสามคนโจมตีเขาแต่ไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้

ชายคนนั้นมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วมา เขาไม่ได้พยายามโจมตีกลับ หากแต่เตรียมตัวกดกริ่งแจ้งเตือนลับในมือทันที ในขณะที่ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างรุนแรง ลอบร้องว่า ‘แย่แล้ว’ มือที่กำลังจะสัมผัสโดนปุ่มของชายคนนั้นพลันหยุดชะงักลง หลังจากนั้นก็เห็นร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านไป ชายคนนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันที

เหล่านักเรียนถึงค่อยตระหนักได้ว่า หลิงหลานที่คอยรักษาการณ์มาโดยตลอดลงมือแล้ว เขาใช้ความเร็วสายฟ้าแลบโจมตีอีกฝ่ายจนสลบ

หลิงหลานกวาดตามองพวกเขาอย่างเย็นเยียบ ทำให้ทีมเล็กๆ ที่ทำผิดพลาดอดไม่ไหวต้องก้มศีรษะลงต่ำ หลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา

“ระวังหน่อย!” สามคำที่เย็นชานี้ทำให้ทั้งสามคนโล่งอก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าละอายใจจนยากจะต้านทานเอาไว้ได้

“ครับ!” ทั้งสามคนตอบกลับเสียงเบา ในใจก็เตือนตัวเองอย่างลับๆ ว่าจะหย่อนยานไม่ได้อีกเป็นอันขาด ถ้าหากทำพลาดอีกก็น่าขายหน้าแล้ว

พวกเขาไม่อยากเห็นแววตาผิดหวังของหลิงหลาน ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของหลิงหลานที่สั่งสมมาสิบปีได้ฝังลึกอยู่ในใจของพวกเขาแล้ว พวกเขาเชื่อว่าหลิงหลานจะต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงหวังว่าจะสามารถติดตามหลิงหลานได้ตลอดไป นี่เป็นความปรารถนาที่เกิดจากความเคารพนับถือจากใจ…