ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 136 จวนสกุลหลี่

จอมศาสตราพลิกดารา

ราตรีมาเยือนแล้วโดยสมบูรณ์ เมืองฉางอันถูกปกคลุมอยู่ภายใต้รัศมีสีเงินจากดวงจันทร์อันเย็นเยียบทั้งสอง

ต่อให้เป็นที่ที่เจริญรุ่งเรืองเพียงใด ก็มีจุดที่ความครึกครื้นเข้าไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่นชุมชนแออัดเขตเมืองตะวันตกแห่งนี้

เจิ้งฉุนเจี้ยนเมื่อได้รับคำสั่งจากหลี่มู่แล้วก็ไม่กล้าชักช้า หมุนตัวจากไปจัดการทันที

หลี่มู่ก็ไม่กลัวว่าเขาจะไปแล้วไม่กลับมา

ครั้งนี้เขาไม่คิดจะมาเงียบๆ อยู่แล้ว ดังนั้นถึงได้มีเรื่องอย่างคืนนี้เกิดขึ้น เจ้าเมืองหลี่กังจะต้องได้ยินข่าวที่ตนมาแล้วอย่างแน่นอน ผู้ชายสารเลวที่ปกครองเมืองฉางอันมาสิบกว่าปีผู้นี้จะใช้ไม้ไหน หลี่มู่ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก อย่างดีก็หาวิธีรับมือเท่านั้น ต่อให้ตอนนี้เจิ้งฉุนเจี้ยนกลับที่ว่าการเจ้าเมืองไปรายงาน เขาก็ไม่กังวลแม้แต่น้อย

บาดแผลที่ขาของเจิ้งฉุนเจี้ยนเกือบหายดีแล้ว แต่ในกายยังมีวิชาเวท ‘ยันต์เป็นตาย’ อยู่ ความเป็นตายของเขาขึ้นอยู่กับเพียงเสี้ยวความคิดของหลี่มู่เท่านั้น

คนที่รักชีวิตอย่างเจิ้งฉุนเจี้ยนต้องรู้ดีว่าควรจะทำตัวอย่างไรแน่นอน

หลี่มู่กวาดสายตามองบริเวณเรือนอันเงียบเหงา กำแพงดินที่ถล่มลง กระท่อมในเขตเรือน บ่อน้ำ และต้นไม้โบราณสองสามต้น ในใจพลันเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมา ความเงียบเหงาแบบนี้เหมือนทิวทัศน์ในวัดหรานเติงบนโลกเลย

‘ต่อไปยังต้องอยู่ในเมืองฉางอันอีกหลายวัน ถึงออกไปหาโรงเตี๊ยมข้างนอก อย่างไรเสียก็ยากจะรู้ตื้นลึกหนาบาง ในเมื่อเจ้าเมืองเฮงซวยปกครองเมืองฉางอันมานานหลายปี พูดได้ว่าแทรกซึมอยู่ในทุกด้าน ตัวเราเองไม่ต้องกังวลอะไร แต่แม่กับพี่ชุนเฉ่า…’

หลี่มู่กำลังยืนขบคิดอยู่ใต้แสงจันทร์

สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจได้

“ไม่ไปแล้ว อยู่ที่เรือนแห่งนี้ก็แล้วกัน”

คิดได้ถึงตรงนี้ ใจก็พลันกระจ่างแจ้ง

หากอยู่ในเขตชุมชนแออัดแห่งนี้ คิดจะปกป้องความปลอดภัยของท่านแม่หลี่และสาวรับใช้ยังต้องทำอะไรบางอย่างอีก

สายตาของหลี่มู่กวาดไปรอบๆ เขตที่พัก ในใจค่อยๆ มีแผนการผุดขึ้น

ต้องวางค่ายกลด้วย

เขาเริ่มวางค่ายกลในบริเวณเรือนเล็ก

หลังจากผ่านประสบการณ์การวาง ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ที่อำเภอขาวพิสุทธิ์มาแล้ว ความเข้าใจเรื่องการวางค่ายกลของหลี่มู่ก็ยิ่งชำนาญขึ้น ในอาณาบริเวณเล็กๆ เช่นนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องลำบากวางค่ายกลที่ร้ายกาจขนาดนั้น ทุกอย่างจึงง่ายขึ้นเยอะมาก เขาคนเดียวก็สามารถจัดการได้

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม เจิ้งฉุนเจี้ยนขี่รถม้ากลับมาอีกรอบหนึ่ง

ในรถม้าบรรทุกของใช้ในชีวิตประจำวันบางอย่างที่มากพอให้คนสิบกว่าคนใช้ได้ถึงห้าหกวัน

“ข้าน้อยใช้เส้นทางลับของตัวเอง ดังนั้นท่านเจ้าเมืองจึงไม่รู้ขอรับ” เจิ้งฉุนเจี้ยนอธิบายให้หลี่มู่ฟัง

เขาเรียกลมเรียกฝนในเมืองฉางอันได้นานถึงเพียงนี้ พูดได้ว่าเป็นเจ้าเมืองคนที่สองในโลกมืดก็ว่าได้ ถึงมีเส้นทางลับของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ตกใจอะไร เหตุที่พูดแบบนี้แน่นอนว่าเพื่อแสดงความภักดีของตนต่อหลี่มู่

หลี่มู่พยักหน้า จูงม้าเข้ามา

“นี่คือข้อมูลที่คุณชายต้องการ” เจิ้งฉุนเจี้ยนยืนซองจดหมายไปให้

เขาฉีกออก ข้างในมีกระดาษจดหมายอยู่หนึ่งแผ่น บันทึกร่องรอยของเซี่ยจวี๋ ชิวอี้ และตงเสวี่ยสาวใช้แต่ละคนไว้

“จวนสกุลหนิงกักตัวตงเสวี่ยเอาไว้…”

ขณะมองตัวอักษรบนกระดาษ ในหัวของหลี่มู่ก็มีข้อมูลบางอย่างผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ในเมืองฉางอันอาจจะมีคนแซ่หนิงมากมาย แต่จวนสกุลหนิงนั้นมีเพียงแห่งเดียว นั่นก็คือจวนแม่ทัพใหญ่หนิงที่ตั้งอยู่กลางถนนอำนาจยุทธ์เขตเมืองฝั่งตะวันออก เจ้าของคือแม่ทัพใหญ่หนิงหรูซาน บรรดาศักดิ์สืบทอดตามสายเลือด บรรพบุรุษที่เป็นทหารกองหน้าได้สร้างคุณูปการครั้งใหญ่เมื่อครั้งศึกบูรพาในรัชสมัยของจักรพรรดิกวงอู่ ภายหลังบาดเจ็บหนักขอพักราชการ ยามจักรวรรดิฉินย้ายเมืองหลวงไปเมืองฉินก็ไม่ได้ตามไป ยังคงอยู่ที่เมืองฉางอัน

ลูกหลานสกุลหนิงสืบทอดบรรดาศักดิ์มาทุกรุ่น เมื่อถึงรุ่นของแม่ทัพใหญ่หนิงหรูซานกลับไม่มีบุคคลที่เยี่ยมยอดปรากฏขึ้น คุณูปการที่บรรพบุรุษสร้างไว้ในอดีตค่อยๆ เลือนหาย สกุลหนิงไม่มีอำนาจเหมือนในตอนนั้นอีกแล้ว แต่ในเมืองฉางอันยังนับว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งได้อยู่

จากการบรรยายในข้อมูลที่เจิ้งฉุนเจี้ยนและหลี่ปิงเขียนขึ้นเมื่ออยู่ในห้องมืดที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ หนิงหรูซานคนนี้อารมณ์ฉุนเฉียว เจ้าอารมณ์ เหี้ยมโหดอำมหิต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายจะไม่เลือกซึ่งวิธีการ

ตงเสวี่ยถูกส่งไปจวนสกุลหนิงได้อย่างไร?

หลี่มู่ค่อนข้างแปลกใจ

ด้วยตำแหน่งในเมืองฉางอันของสกุลหนิง ทำไมต้องแย่งเด็กรับใช้ข้างกายมารดาหลี่มู่ไปด้วย?

หลี่มู่สงสัย อ่านสารในจดหมายทั้งหมดรวดเดียว

“ชิวอี้อยู่ที่ ‘โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์’ ส่วนเซี่ยจวี๋อยู่ที่สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผล บังเอิญขนาดนี้เชียว?”

ในหมู่ทายาทขุนนางและคหบดีที่ตามหลี่สยงมาก่อกวนยังที่พักของหลี่มู่วันนี้ ก็มีหัวหน้าโรงฝึกน้อยจางชุยเสวี่ยแห่ง ‘โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์’ และโจวอวี่บุตรชายคนโตของประธานสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลด้วย

หลี่มู่อ่านจบ ขบคิดในใจ แล้วจึงพูดขึ้น “เอาละ ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ หากมีเรื่องอะไรข้าจะติดต่อเจ้าเอง”

เจิ้งฉุนเจี้ยนเอ่ยลาแล้วหันหลังจากไป

หลี่มู่เก็บจดหมาย ก่อนจะไปวางค่ายกลในบริเวณที่พักอาศัยต่อ

……

“หลี่มู่…หลี่มู่!”

ภายในรถม้า ความเหี้ยมเกรียมฉายอยู่เต็มใบหน้าของหลี่สยง เส้นเลือดปูดโปนอยู่บนในหน้าเขาราวกับงูพิษเลื้อย สองหมัดทุบไปยังรถม้าอย่างรุนแรง ความโกรธและความอับอายมากมายจนแทบจะท่วมเขาจนมิด

นับจากที่เขามายังเมืองฉางอัน เขาก็ได้รับความรักเอ็นดูมากมาย เคยถูกหยามเหยียดเช่นคืนนี้เสียที่ไหน

 “หลี่มู่ ข้าสาบาน ข้าจะต้องทำให้เจ้าตายอย่างน่าอนาถ รวมถึงนังเฒ่านั่น สาวใช้พวกนั้นด้วย…ข้าจะให้เจ้าทุกข์ทรมานเฝ้าโทษตัวเอง และเสียใจที่ล่วงเกินข้า”

หลี่สยงหอบหายใจรุนแรง

ความแข็งแกร่งที่หลี่มู่แสดงออกมาคืนนี้ทำให้เขายากจะรับได้

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นลูกชายที่เจ้าเมืองภูมิใจที่สุด เขาเองก็หยิ่งทะนง ดูถูกมารหัวขนที่ผู้หญิงคนนั้นให้กำเนิดมา ภายหลังหลี่มู่ออกจากบ้าน หายไปแปดปี เขาค่อยๆ ลืมน้องชายต่างมารดาคนนี้ไปแล้ว แต่เมื่อหลี่มู่กลับมากลับเป็นจิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุดของจักรวรรดิ เป็นขุนนางเมือง อีกทั้งยังมีวรยุทธ์ที่ร้ายกาจถึงขนาดนี้…นี่ทำให้หลี่สยงผู้เย่อหยิ่งถูกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก

เขาพบว่าตัวเองสู้หลี่มู่ไม่ได้ในทุกๆ ด้าน

นี่มันอะไรกัน?

สู้ลูกที่ถูกทอดทิ้งก็ยังไม่ได้หรือ?

รถม้าวิ่งทะยานมาถึงจวนสกุลหลี่ในที่สุด

หลังปกครองเมืองฉางอันมาสิบกว่าปี หลี่กังสร้างคฤหาสน์ของตัวเองไว้กลางเมือง ไม่พักอาศัยในที่ว่าการนานแล้ว หลายปีมานี้หลี่กังทำงานอยู่ในจวนสกุลหลี่ ไปที่ว่าการน้อยครั้งนัก

ดึกดื่นแล้ว

หลี่กังยังไม่เข้านอน

ปีนี้เขาอายุราวสี่สิบกว่า รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวดุจหยกมีเคราดำ เครื่องหน้าทั้งห้าคมคาย ชุดสีขาวรับกับกลิ่นอายทรงภูมิและสง่างามทั่วร่าง นับเป็นชายวัยกลางคนที่หล่อเหล่าแน่นอน ยามหนุ่มจะต้องเป็นพวกที่งดงามจนทำให้สตรีมากมายหลงใหลเป็นแน่ ตอนนั้นเกี้ยวพามารดาหลี่มู่ดอกไม้ที่งดงามเฉิดฉายที่สุดในจักรวรรดินี้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขามีต้นทุนตรงนี้อยู่

ภายใต้แสงไฟสว่าง หลี่กังกำลังหารืออะไรกับบรรดาที่ปรึกษาคนสนิท

ทันใดนั้น ประตูห้องหนังสือพลันเปิดออก หลี่สยงพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านพ่อ ท่านต้องจัดการให้ข้า…” เขาบุกเข้ามา

การหารือถูกขัดจังหวะ

หลี่กังสีหน้าเรียบนิ่ง แม้ไม่โมโหแต่รัศมีอำนาจฉายชัด “ร้อนรนเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน?” น้ำเสียงเขาไม่พอใจ แต่ไม่นับว่าเป็นการตำหนิ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นกล้าบุกเข้ามาในห้องหนังสือเช่นนี้ เกรงว่าคงโดนลากลงไปโบยนานแล้ว เมื่อเดือนก่อน อนุคนใหม่อาศัยว่าตนเป็นที่โปรดปรานของหลี่กัง เข้ามายังห้องหนังสือโดยไม่แจ้ง จึงถูกหลี่กังที่อยู่ในอารมณ์กรุ่นโกรธสั่งให้โบยจนตาย

“ใต้เท้า พวกข้าน้อยขอตัวลาก่อน”

“ข้าน้อยขอลา”

ครั้นเห็นคุณชายใหญ่เข้ามา กุนซือทั้งหลายก็ลุกขึ้นเอ่ยลาอย่างรู้กาลเทศะ

ไม่นานนัก ในห้องก็เหลือเพียงหลี่กังพ่อลูกเท่านั้น

“ให้เจ้าฝึกฝนกับมารดาของเจ้า ทำไมแม้แต่ความสามารถเล็กน้อยของนางเจ้าก็ไม่ได้ติดตัวมา ซ้ำยิ่งโตยิ่งอารมณ์ร้อน?” หลี่กังมองสีหน้าที่อารมณ์โกรธฉายชัดของหลี่สยงพลางกล่าวอย่างไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้น? ว่ามาเถอะ”

หลี่สยงเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้ฟัง

สุดท้ายเขาก็เอ่ย “ท่านพ่อ เด็กชั่วนั่นไม่เพียงแต่ดูหมิ่นข้า แต่ยังไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาสักนิด หนีจากหน้าที่มาเมืองฉางอันโดยพลการ นี่เป็นโทษมหันต์ จะให้มันมีชีวิตกลับอำเภอขาวพิสุทธิ์ไปไม่ได้ มิฉะนั้นปล่อยเสือเข้าป่า จะเกิดภัยตามมาอีกไม่มีสิ้นสุด”

หลี่กังฟังจนจบอย่างอดทน สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่งแล้ว”

“แต่ว่าท่านพ่อ…” หลี่สยงยังอยากจะพูดอะไรอีก

หลี่กังโบกมือ “เจ้าไปหามารดาของเจ้าเถอะ นางมีเรื่องหาเจ้า ปีนี้เจ้าก็อายุสิบแปดแล้วกระมัง ถึงอายุที่ควรจะเรียนรู้อะไรบ้างแล้ว จะอาศัยชื่อเสียงจอมปลอม ‘คุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองฉางอัน’ ลอยไปลอยมาไม่ได้อีกแล้ว”

หลี่สยงเห็นสีหน้าของบิดาเคร่งขรึม อยากจะพูดอะไรอีกก็ได้แต่กลืนกลับลงไป เขาทำความเคารพอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงหันหลังออกจากห้องหนังสือไป

หลี่กังนั่งเงียบงันอยู่บนเก้าอี้ไต้ซือ[1]อยู่นาน

ทันใดนั้น นิ้วทั้งห้าข้างขวาของเขาขยับเล็กน้อย หมอกหนาทึบสีดำประหนึ่งงูนิลจากปรโลกเลื้อยออกมาจากปลายนิ้วชี้ พันรัดอยู่ที่ข้อมือของเขา แลบลิ้นดำดูมีชีวิตชีวา

“ไปเถอะ พาข้าไปดูสักหน่อย”

เขากล่าว

งูดำตัวนั้นขดงอ ก่อนจะดีดหายไปจากห้องหนังสือราวเส้นแสง

……

หลังจากที่หลี่สยงออกมาจากห้องหนังสือก็เดินผ่านเฉลียง ผ่านประตูเหล็กอีกหลายบาน จนมาถึงยังเขตเรือนด้านหลัง

เรือนด้านหลังจวนสกุลหลี่มีน้อยคนเท่านั้นที่จะเข้าไปได้

น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในเรือนด้านหลังมีอะไรอยู่

หลี่สยงมาถึงห้องเหล็กห้องหนึ่งอย่างรู้ทางเป็นอย่างดี ก่อนก้าวไปยังบันได ประตูโลหะหนาหนักบานหนึ่งปรากฏให้เห็น ข้างประตูมีกล่องขนาดประมาณฝ่ามือที่ส่องแสงสีเขียวอ่อน หลี่สยงยื่นมือแตะไปบนกล่องสีเขียวนั้น

‘แสกนลายนิ้วมือผ่าน’

เสียงเครื่องกลดังขึ้น

ประตูโลหะเปิดออก

ข้างหลังประตูเป็นบันไดเหล็กทอดตัวลงไปใต้ดิน

เมื่อหลี่สยงเดินเข้าไปในทางเดินแล้ว ประตูโลหะก็ปิดลงทันที

เดินไปตามบันไดหกสิบขั้นมาถึงใต้ดินของจวนสกุลหลี่ประมาณจั้งกว่าๆ ทางเดินที่ผนังติดกระจกก็ปรากฏ ครั้นเดินผ่านทางเดินไปข้างหน้าจะเป็นประตูโลหะสีเงินอีกบานหนึ่ง ทักษะการขึ้นรูปโลหะเกินระดับของช่างในโลกใบนี้ไปมาก ข้างประตูโลหะมีกล่องขนาดประมาณฝ่ามือกะพริบแสงสีเขียวอ่อนอีกอัน

หลี่สยงยื่นหน้าเข้าไปใกล้

‘แสกนม่านตาผ่าน’

เสียงเครื่องกลดังขึ้นอีกครั้ง

ประตูโลหะเปิดออก

แสงหลอดไฟสีขาวสาดออกมาจากข้างหลังบานประตู หลี่สยงเห็นจนชินตาแล้ว เขาเดินเข้าไปก่อนตะโกนขึ้นเสียงดัง “ท่านแม่ ข้าไม่รู้ละ ท่านจะต้องแก้แค้นให้ข้านะ”

……………………………………………………

[1] เก้าอี้ไต้ซือ คือเก้าอี้แบบโบราณของจีน ข้างหลังมีพนักพิง สองข้างมีที่วางแขน แกะสลักอย่างงดงามวิจิตร บ้างมีการฝังมุก นิยมใช้มากในหมู่ขุนนาง