หากหลี่มู่อยู่ที่นี่จะต้องตกใจมากเป็นแน่
เพราะวังโลหะใต้ดินที่ประหลาดแห่งนี้เหมือนกับเทคโนโลยีชั้นสูงของโลกไม่ผิดเพี้ยน สิ่งที่แขวนอยู่บนเพดานคือหลอดไส้สีขาว ลวดลายบนกำแพงโลหะสีทึบประณีตวิจิตรอย่างยิ่ง บนกำแพงมีโคมไฟติดผนัง โต๊ะและโซฟาที่วางตบแต่งอยู่ในห้องล้วนไม่ใช่สิ่งที่เป็นของโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวัสดุ ล้วนเหมือนกับอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงจากโลกทุกประการ
ทั่วทั้งวังโลหะใต้ดินมีโครงสร้างเป็นห้องแบบสามห้องนอนสองห้องนั่งเล่น
ห้องรับแขกที่มีพื้นที่ประมาณสามสิบตารางเมตร มีชุดชงชากระเบื้องเคลือบลายครามชุดหนึ่งวางอยู่ ข้างหลังโต๊ะชามีเงาสะโอดสะองร่างหนึ่งกำลังชงชา เป็นสตรีทรงเสน่ห์ชวนให้คนลุ่มหลง ดูแล้วน่าจะประมาณสามสิบกว่า กี่เพ้าลายเมฆขาวแนบร่างยิ่งขับเน้นให้รูปร่างของสตรีผู้นี้น่าหลงใหล นิ้วเรียวยาวราวกับต้นหอมปอกใหม่ขยับอย่างสง่างาม ทุกๆ การเคลื่อนไหวกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ดุจท่วงทำนองแห่งเต๋า
นางผมดกดำ เมื่อก้มหน้าชงชา ผมยาวก็ทิ้งตัวลงมาราวน้ำตกสีนิล
ไม่ว่าจะมองจากทางไหนก็เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ
“สยงเอ๋อร์กลับมาแล้วรึ เกิดอะไรขึ้นเจ้าถึงได้โมโหจนเป็นเช่นนี้?”
เสียงของหญิงสาวน่าฟังเป็นที่สุด ทำให้คนรู้สึกเหมือนเสียงที่มาจากสรวงสวรรค์
ทว่าเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมา ผมดกดำสลวยแหวกออกสองข้างแก้มเผยให้เห็นใบหน้า แสงโคมในห้องรับแขกก็เหมือนหม่นแสงลงทันที เพราะความแตกต่างนั้นมากเกินไป นั่นเป็นใบหน้าของสัตว์ประหลาดที่มีก้อนเนื้องอกออกมา เครื่องหน้าไม่อาจจะแบ่งได้ชัด ดวงตาเบียดอยู่ระหว่างกลางก้อนเนื้อสองก้อน จมูกก็คือก้อนเนื้อดำคล้ำ ปากเมื่ออ้าออกจะเผยฟันดำโย้เย้ไม่เป็นระเบียบ ไม่เหมือนกับปากของมนุษย์
ยากจะจินตนาการได้ว่า ร่างที่งดงามแบบนั้นกลับมีใบหน้าที่อัปลักษณ์จนแทบใกล้เคียงกับสัตว์ประหลาด
กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่าหลี่สยงเคยชินดี เขาเดินมานั่งข้างโต๊ะ กระดกน้ำชาสีเข้มดุจอำพันหมดในอึกเดียว จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างอาฆาต “ท่านแม่ เจ้ามารหัวขนที่นังหญิงแพศยานั่นให้กำเนิดกลับมาแล้ว”
สตรีที่อัปลักษณ์อย่างที่สุดคนนี้คือมารดาของหลี่สยง และก็คือภรรยาเอกคนปัจจุบันของเจ้าเมืองหลี่กัง
“เอ๋? กลับมาก็กลับมาสิ แมลงตัวเล็กๆ จะสร้างความวุ่นวายอะไรได้ หรือมันทำให้เจ้าโมโห?” สตรีหน้าตาอัปลักษณ์เอ่ยน้ำเสียงสบายๆ ‘ยิ้ม’ พลางพูดขึ้น
“มันสอบจิ้นซื่อได้ เป็นจิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุดของจักรวรรดิ” หลี่สยงพูดอย่างเคียดแค้น
“เหอะๆ จิ้นซื่อที่ไร้พลังไร้อำนาจก็เหมือนมดปลวกตัวหนึ่ง” สตรีอัปลักษณ์ไม่ใส่ใจ
หลี่สยงกล่าวขึ้นอีก “แต่เด็กชั่วนั่นยังเป็นขุนนางเมืองของอำเภอขาวพิสุทธิ์ด้วย”
“อ้อ? อำเภอขาวพิสุทธิ์? ฮ่าๆ น่าสนใจ ที่นั่นอยู่ในอำนาจของพ่อเจ้า ขอแค่เจ้าต้องการ ลูกข้า เจ้าสามารถหาเรื่องมัน เล่นงานให้มันหัวหมุนได้ทุกเมื่อ” สตรีอัปลักษณ์ยังคงไม่สนใจ
“แต่ว่า มันยังเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์ด้วย” หลี่สยงพูดอีก
“หืม?” ก้อนเนื้อบนใบหน้าของสตรีอัปลักษณ์ขยับ น้ำเสียงมีร่องรอยความแปลกใจเพิ่มเข้ามา “ขั้นปรมาจารย์? เจ้าแน่ใจหรือไม่?”
หลี่สยงกัดฟันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตรอกไล่หมูคืนนี้ให้ฟัง “ท่านแม่ เจ้าเด็กชั่วนั่นเอาชนะโจวอีหลิงในกระบวนท่าเดียว ทั้งยังหยามหมิ่นข้า ท่านแม่ ข้าทนความอับอายนี้ไม่ได้ ท่านต้องแก้แค้นคืนให้ข้า”
“แก้แค้น? เจ้าอยากให้แม่ลงมือช่วยเจ้าฆ่ามัน หรืออยากจะลงมือเอง?” น้ำเสียงของสตรีอัปลักษณ์กลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง ราวกับกระจกที่ไร้ซึ่งระลอกคลื่น
ยอดฝีมือชั้นยอดขั้นปรมาจารย์ ทั้งยังเป็นจิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุดของจักรวรรดิ มีตำแหน่งขุนนาง และอายุเพียงแค่สิบห้าปีเท่านั้น…
ข้อมูลเช่นนี้รวมอยู่ด้วยกัน ก็มากพอจะทำให้ผู้นำระดับสูงทั้งหลายของจักรวรรดิใจสั่นได้ สิ่งเหล่านั้นแสดงถึงพลังอันไร้ขีดจำกัด แต่สตรีอัปลักษณ์คนนี้กลับไม่ใส่ใจ ราวกับแค่นางยินดีก็สามารถสังหารยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์เช่นหลี่มู่ได้ในเพียงชั่วความคิด
“แน่นอนว่าต้องลงมือด้วยตัวเอง ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ ด้วยมือของข้าต่อหน้าสายตาทุกคน แบบนี้ถึงจะล้างความอับอายในวันนี้ได้” หลี่สยงยังไม่คลายโมโห “ท่านแม่ ท่านต้องช่วยข้านะ”
“ช่วยเจ้านั้นย่อมได้ แต่ว่า เมื่อได้รับไปก็ต้องแบกรับอะไรเช่นกัน เจ้าพร้อมแล้วหรือ?” สตรีอัปลักษณ์ชงชาพลางพูดอย่างมีความนัย
ใบหน้าของหลี่สยงฉายแววหวาดกลัวทันที ประหนึ่งคิดเชื่อมโยงถึงเรื่องอะไรที่น่ากลัวอย่างมหันต์ สีหน้าซีดเผือดทันใด
แต่ว่า เมื่อเขาคลำใบหน้าของตนเองก็เหมือนยังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่รอยฝ่ามือหลี่มู่ฝากไว้ พอนึกถึงว่าหลี่มู่เจ้าเด็กชั่วเยาะเย้ยและเหยียดหยามตนในคืนนี้ ความรู้สึกไร้กำลังเมื่อเผชิญหน้ากับพลังแข็งแกร่งของอีกฝ่ายฝังลึกลงในใจหลี่สยง ความคิดสับสนยากจะตัดสินใจ สุดท้ายเขาเหมือนตัดสินใจครั้งใหญ่ได้ จึงพูดขึ้น “ท่านแม่ ต้องเข้าไปในของสิ่งนั้นหรือ?”
หญิงอัปลักษณ์พยักหน้า
สีหน้าของหลี่สยงเดี๋ยวคล้ำเขียวเดี๋ยวซีดขาว จากนั้นกัดฟันกล่าว “ได้ ท่านแม่ ข้าตกลง”
ก้อนเนื้อบนใบหน้าของนางขยับ น้ำเสียงเผยความยินดีและพอใจ “ดี สยงเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจเช่นนี้ สมกับที่เป็นลูกชายของข้า ‘หมอเทวดาหลิงเซียว’ สุดท้ายเจ้าก็คิดได้แล้ว แม่จะไม่ฝืนบังคับเจ้า แต่หากเจ้าตัดสินใจยอมรับจริงๆ เช่นนั้นแม่ก็จะทำให้เจ้าเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งฉางอันจริงๆ ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด ในโลกใบนี้มีเพียงพลังซึ่งเป็นของตนอย่างแท้จริงเท่านั้น ถึงจะเป็นที่พึ่งที่แข็งแกร่งที่สุด วางใจเถอะ แม่จะเปลี่ยนเจ้าให้เป็นคนใหม่โดยสิ้นเชิง”
……
เพียะ!
แส้ยาวที่เสริมด้วยเหล็กเส้นฟาดไปยังร่างของสตรีที่สวมเพียงเสื้อบางๆ อย่างโหดเหี้ยม เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทิศทันที
“นังแพศยา ไม่ร้องสักแอะใช่หรือไม่? ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะอดทนได้สักกี่น้ำ”
คฤหาสน์ของประธานสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผล ในสวนดอกไม้บริเวณเขตเรือนด้านหน้า นายน้อยโจวอวี่มีสีหน้าโมโห มือสะบัดแส้เหล็กเส้นยาวเฆี่ยนไปบนร่างของหญิงสาวที่ถูกจับแขวนไว้บนต้นไม้
หญิงสาวอายุประมาณยี่สิบ หน้าตาธรรมดา มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ทั้งกลมโตและเปล่งประกายโดดเด่นแตกต่างจากผู้อื่น
นางสวมเสื้อตัวบาง ถูกเฆี่ยนไปสิบกว่าทีแล้ว ร่างบอบบางผอมแห้งจึงเต็มไปด้วยรอยกระหน่ำเฆี่ยน เลือดไหลตามรอยแส้ลงมายังขาเรียวยาวขาวเนียน ก่อนมารวมกันยังปลายเท้าที่รองเท้าโดนถอดออก เลือดหยดติ๋งๆ ไปบนพื้นใต้ต้นไม้ใหญ่จนกลายเป็นแอ่งเลือดเล็กๆ และยังขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ
ผมเปียกชื้นแนบไปบนใบหน้าซีดขาว หญิงสาวกัดฟันแน่นไม่ร้องสักแอะ ราวกับว่าแส้ไม่ได้เฆี่ยนมาบนร่างของตนอย่างไรอย่างนั้น
“หึๆ สาวใช้ข้างกายของนังหญิงไร้ค่าเข้มแข็งดีนี่ คืนนี้ข้าจะระบายความคับแค้นนี่ เจ้าไม่อ้าปากร้องอ้อนวอนใช่หรือไม่?” ใบหน้าของโจวอวี่เหี้ยมเกรียม ในดวงตาฉายประกายชั่วร้าย “วันนี้ข้ายังทำอะไรหลี่มู่นั่นไม่ได้ แต่ชีวิตไร้ค่าของเจ้าอยู่ในกำมือข้า ข้าอยากเล่นอย่างไรก็จะเล่นอย่างนั้น แน่จริงเจ้าอย่าอ้าปากอ้อนวอนไปให้ได้ตลอดสิ วันนี้ต่อให้ข้าเฆี่ยนเจ้าจนตายก็ไม่มีใครขอความเป็นธรรมให้กับเจ้าหรอก ฮ่าๆ”
เพียะ เพียะ!
ว่าแล้วก็เฆี่ยนแส้ลงบนร่างของหญิงสาวอย่างรุนแรงอีกสองที
เลือดสดสาดกระเซ็น เนื้อแตกเหวอะหวะ
สาวใช้และองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นภาพน่าเวทนาเช่นนี้แล้วไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดังๆ ด้วยกลัวจะทำให้นายน้อยโจวอวี่ที่กำลังโมโหไม่พอใจเข้า
“หลี่มู่? เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? เป็นคุณชายมู่ คุณชายกลับมาแล้วรึ?” ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง ฉายแววกระปรี้กระเปร่าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และตื่นเต้นขึ้นมา
โจวอวี่หัวเราะเหี้ยมเกรียม “ใช่แล้ว เจ้าเด็กนอกคอกนั่นกลับมาแล้ว ฮี่ๆ น่าเสียดายที่มันกลับมาก็หาเรื่องคนที่ไม่ควรจะหาเรื่อง คุณชายสยงไม่มีทางปล่อยมันไปแน่ ฮ่าๆๆ เชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าจะได้เห็นศพของมันแล้ว ฮ่าๆๆๆ”
……
โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์
ในฐานะที่เป็นโรงฝึกยุทธ์ที่ยืนหยัดมาในเมืองฉางอันได้เกินร้อยปี เบื้องลึกเบื้องหลังไม่ธรรมดา หัวหน้าโรงฝึกคนแรก ‘ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์’ เป็นถึงผู้สืบทอดสำนักขั้นสองกระบี่สวรรค์ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนหนึ่งคนหนึ่งกระบี่สยบยอดฝีมือทั่วทุกสารทิศในเมืองฉางอัน สร้างชื่อเสียงลือเลื่อง จึงเปิดโรงฝึกสั่งสอนศิษย์ ไม่นานก็ยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในเมืองนี้ หลังผ่านการพัฒนาไปร้อยปี โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ในวันนี้อยู่อันดับสามของโรงฝึกยุทธ์ทั้งหลายในเมืองฉางอัน ยอดฝีมือในสำนักมีมากมาย
ถึงวันนี้ หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์คนปัจจุบัน ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงโดดเด่นเหนือรุ่นก่อน ถีบตัวเองขึ้นเป็นยอดฝีมือยี่สิบอันดับแรกของทั้งเมืองฉางอัน วิชากระบี่น่าพรั่นพรึงสะท้านไปทั่ว เป็นบุคคลคนสำคัญยิ่งผู้หนึ่ง
ลูกชายคนเดียวของจางเฉิงเฟิงชื่อจางชุยเสวี่ย สมญา ‘จอมกระบี่ไร้พ่าย’ อยู่ในเมืองฉางอันก็พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง
ยามดึก จางชุยเสวี่ยฝึกวิชากระบี่ในสวนดอกไม้หลังเรือนเสร็จ กลิ่นอายพลังก็ค่อยๆ สงบลง
‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ มองลูกชายฝึกกระบี่แล้วส่ายหน้า “กระบวนท่าชำนาญแล้ว แต่ท่วงท่ากระบี่ไม่ถูกต้อง มีรูปร่างแต่ไร้จิตวิญญาณ มีความตั้งใจแต่ไร้ความกล้า คิดจะยกระดับพลังต้องอาบเลือด ‘กระบี่สวรรค์สิบหกท่า’ ของตระกูลจางเรา หากอยากฝึกให้สำเร็จและเข้าใจอย่างถ่องแท้จะต้องอาบเลือด ใช้เลือดหล่อเลี้ยง พรุ่งนี้ข้าจะส่งองครักษ์ติดตามเจ้าไปรังโจรในเขานอกเมือง เจ้าสังหารคนฝึกความกล้าออกมาได้แล้วค่อยว่ากัน”
“อาบเลือด?” ในดวงตาของจางชุยเสวี่ยฉายแววเหี้ยมโหด “ท่านพ่อ ในเมื่อฝึกความกล้า เหตุใดไม่ลงมือคืนนี้เลย?”
จางเฉิงเฟิงตะลึงเล็กน้อย พูดขึ้นว่า “ลงมือคืนนี้ฉุกละหุกเกินไป”
“หรือในคฤหาสน์ของเราไม่มีใครที่ฆ่าได้เลย?” จางชุยเสวี่ยยิ้มเย็น ก่อนจะกล่าว “ท่านพ่อ คืนนี้ลูกอยากฆ่าคนคนหนึ่ง หากฆ่าคนคนนี้แล้ววิชากระบี่ก็จะสำเร็จ”
“หือ? ใครกัน?”
“ชิวอี้”
“ใคร? อ้อ ผู้หญิงคนนั้น…ข้าเห็นเจ้าจิตใจไม่สงบ เอาแต่เหม่อลอย วันนี้เจอเรื่องอะไรมาหรืออย่างไร?” อย่างไรเสียจางเฉิงเฟิงก็เป็นยอดยุทธ์สายตาเฉียบคม แค่แวบเดียวก็มองออกว่าวันนี้จางชุยเสวี่ยสีหน้าท่าทางผิดปกติไป
“ท่านพ่อ คืนนี้มีคนหยามหมิ่นลูก” จางชุยเสวี่ยไม่ปิดบัง เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตรอกไล่หมูให้ฟังอย่างละเอียด
จางเฉิงเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “หลี่มู่? ขั้นปรมาจารย์อายุสิบห้า?”
“ท่านพ่อ ลูกถูกมันหยามหมิ่น ต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ มันเหยียดหยามจิตกระบี่ของข้า หากข้าสังหารคนข้างกายมันไม่ได้ เกรงว่าเงามืดในใจคงทำลายยาก วันหลังได้พบเจอเกรงว่าจะกลัวมัน ชิวอี้คือสาวใช้ของมารดาเจ้าคนชั้นต่ำนั่น ยามเด็กก็เคยดูแลรับใช้มัน หากข้าสังหารชิวอี้ คืนนี้จิตกระบี่กล้าก็จะปรากฏ ขอท่านพ่อช่วยส่งเสริมด้วย” จางชุยเสวี่ยเอ่ยอย่างเด็ดขาดมุ่งมั่น
จางเฉิงเฟิงลังเลเล็กน้อย
จางชุยเสวี่ยจึงบอก “ท่านพ่อ หรือท่านก็กลัวเกรงหลี่มู่เหมือนกัน?”
จางเฉิงเฟิงหัวเราะเบาๆ “ลูกข้าเรียนรู้ที่จะใช้วิธียั่วยุแล้ว…หึๆ ก็ดี แค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น ฆ่าแล้วก็ฆ่าไป เวลาผ่านไปหลายปีขนาดนี้ คิดว่าคนคนนั้นคงไม่ปรากฏตัวขึ้นแล้ว”
……………………………………………………