ทุกคนลงจากรถ โดยมีเจิ้งหวาชิวเดินนำเข้าไปในโรงเตี๊ยม
อวิ๋นหว่านชิ่นกวาดตามอง และเห็นว่าทั่วทั้งโรงเตี๊ยมทุกทิศทุกทางมีทหารรักษาพระองค์คอยดูแลความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ชนิดไม่ให้ลมพัดผ่าน ซึ่งเหล่านายกองและทหารได้ขยายแนวป้องกันออกไปอีกหนึ่งลี้รอบรัศมี เมื่อฝ่าบาทเสด็จ ย่อมต้องเข้มงวดกวดขัน
หลังจากเดินผ่านประตูหลายบาน อ้อมหนึ่งระเบียงทางเดิน ทุกคนก็ตามเจิ้งหวาชิวมาถึงมุมตะวันออกเฉียงเหนือของโรงเตี๊ยม เห็นเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง ชานเรือนเงียบสงัด หัวมุมเป็นอาคารสูงสามชั้น ประตูทางเข้ามีขันทีเฝ้าอยู่สองคน
หลินลั่วหนานรู้สึกไม่ถูกต้อง จึงขมวดคิ้ว “พี่เจิ้ง ให้ข้าพักที่นี่หรือ ข้าเห็นคุณหนูของรถม้าคันอื่นๆ ล้วนพักที่เรือนด้านหน้า ทำไมข้า…”
พูดยังไม่ทันจบ เจิ้งหวาชิวก็ขัดคอด้วยการผายมือออก “เชิญคุณหนูทุกท่านตามบ่าวขึ้นชั้นบน”
หลินลั่วหนานจึงต้องกลืนน้ำลายลงอย่างไม่พอใจ ก่อนเดินตามคนอื่นๆ ขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด แล้วเดินเข้าไปในห้องที่อยู่สุดปลายระเบียง
ห้องถูกพรมปูพื้นแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านในเป็นห้องนอน เรียบง่ายมาก มีเตียงใหญ่อยู่หนึ่งเตียง แต่เป็นการนำเตียงเดี่ยวสองเตียงมาประกบกัน
ห้องของลูกสาวขุนนางท่านอื่นๆ อย่างน้อยในพื้นก็ต้องมีเตาทำความร้อน มีเตียงสูง มีที่นอนนุ่ม แต่ห้องนี้เรียบง่ายจนผิดสังเกตยังว่าไปอย่าง บนเตียงกลับมีแค่ผ้าห่มบางๆ ไม่กี่ผืน ซึ่งไม่น่าจะแบ่งกันพอที่จะทำให้อุ่น
หลินลั่วหนานยืนกอดอก พลันกัดฟันตัวสั่น ก่อนตะโกนลั่น “ลมพัดมาจากไหนเนี่ย…”
และพอทุกคนหันมองไปรอบๆ ก็พบว่าผนังและหลังคาบางแห่งของห้องมีรู ทำให้ลมพัดเข้ามาได้ เมืองยงโจวตั้งอยู่ทางตอนเหนือ ลมในยามค่ำคืนจึงเป็นลมเหนืออันหนาวเหน็บ เวลาโดน ผิวหนังจะเหมือนถูกมีดบาดอย่างไรอย่างนั้น
พอมองไปอีกที บนหัวเตียงยังมีหน้าต่างบานเล็กที่แง้มออกนิดๆ ด้วยปิดไม่สนิท
“คืนนี้ เชิญคุณหนูทุกท่านพักที่นี่ ส่วนผู้ติดตามก็พักอยู่นอกฉากกั้น จะได้ดูแลกันสะดวกหน่อย” เจิ้งหวาชิวกล่าวสั้นๆ
หลินลั่วหนานเห็นนางกำลังจะไปโดยไม่สนใจอะไร ก็รีบเอะอะโวยวาย
“เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งรีบไป นี่เป็นห้องพักของเราหรือ จำผิดหรือเปล่า นี่ยังเทียบไม่ได้กับที่พักของบ่าวในวังด้วยซ้ำ คุณหนูท่านอื่นๆ ต้องไม่ได้อยู่ในที่โทรมๆ แบบนี้แน่”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงก้าวออกมา ก่อนหยั่งเชิงเบาๆ
“พี่เจิ้ง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องห้องมีรู เครื่องนอนก็มีให้ไม่พอ เข้าผิดห้องหรือเปล่า”
“จริงด้วยพี่เจิ้ง” เฉาหนิงเอ๋อร์ก้าวเข้ามาช่วยพูด หรือแม้แต่หานเซียงเซียงที่นิ่งๆ ก็ยังก้าวออกมา
เดิมทีเจิ้งหวาชิวกะทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่พอถูกบีบเช่นนี้ก็อับจนหนทาง จึงถอนหายใจ แล้วว่า
“ไม่ผิดหรอก เบื้องบนเขาจัดมาน่ะ”
“เบื้องบน?” หลินลั่วหนานหัวเราะเย็นชา แล้วอารมณ์ก็ขึ้นทันที
“เบื้องบนคนไหน! จัดการเป็นหรือเปล่า! ทำงานได้ห่วยแตกมาก! ข้าอยากเจอหน้าหน่อย! เจ้าไปบอกว่าน้องสาวหลินต้าเย่หัวหน้าทหารรักษาพระองค์เรียก…”
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเจิ้งหวาชิวหน้าดำคร่ำเครียด ก็ดึงหลินลั่วหนานไว้ “ฟังพี่เจิ้งพูดให้จบก่อน”
หลินลั่วหนานกำลังเดือด จึงสะบัดมืออวิ๋นหว่านชิ่นดัง ‘ฟึ่บ’
“พวกเจ้าชอบอยู่ห้องโกโรโกโสแบบนี้ก็อยู่ไป มาห้ามข้าทำไม…”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ทันระวัง ไม่คิดว่านางจะสะบัดแรงขนาดนี้ แขนจึงไปชนกับเสาที่อยู่ข้างๆ
เฉาหนิงเอ๋อร์รีบก้าวเข้ามา “เป็นไรหรือเปล่า”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงพับแขนเสื้อขึ้นดู แล้วลูบข้อศอกไปมา “ไม่เป็นไร”
หานเซียงเซียงเห็นก็ขมวดคิ้ว ก่อนพูดเสียงต่ำ “เขียวไปหนึ่งจ้ำ ยังว่าไม่เป็นไรอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายศีรษะ บอกใบ้ว่าไม่เป็นไรจริงๆ
เจิ้งหวาชิวเห็นหลินลั่วหนานฟาดงวงฟาดงา จนวุ่นวายไปหมด จึงพูดเสียงเย็นชา
“ในเมื่อคุณหนูหลินไม่พอใจและต้องเอาเรื่องให้ได้เช่นนี้ บ่าวก็ต้องบอกว่า การเสด็จประพาสของฝ่าบาทนั้น เรื่องน้อยใหญ่ระหว่างทางทั้งหมด กองกิจการภายในเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้น เรื่องอาหารการกิน เครื่องใช้ไม้สอย และที่พักอาศัยของคุณหนูทุกๆ ท่าน กองกิจการภายในย่อมเป็นผู้จัด”
คำพูดนี้พอหลุดออกจากปาก บรรยากาศในห้องก็นิ่งค้าง กลุ่มคนอึ้งไปสักพัก กระทั่งหลินลั่วหนานก็เป็นดั่งลูกโป่งที่ฟีบลม อ่อนลงกว่าเดิมมาก
เพราะหมายความว่า หัวหน้ากองกิจการภายในเป็นคนจัดการให้เช่นนี้
หัวหน้ากองกิจการภายในก็คือ อวี้เฉิงกัง ขุนนางชั้นหนึ่งแห่งราชสำนัก ซึ่งมีภูมิหลังไม่ธรรมดา ดูจากแซ่ก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคนสกุลอวี้ และลุงของเขาก็คือสมุหนายกอวี้เหวินผิง ต่อให้หลินลั่วหนานใจกล้าหน้าด้านแค่ไหน ไฉนจะกล้าเอาเรื่องกับหัวหน้าอวี้ ทว่าให้คิดก็คิดไม่ออกว่า เหตุใดหัวหน้าอวี้ถึงได้กลั่นแกล้งตนเช่นนี้ จึงเตะเก้าอี้ไปทีหนึ่ง แล้วนั่งลงบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วแบบนี้จะให้นอนยังไงล่ะ นอนรวมกัน? เกิดมาจนป่านนี้ ข้าก็ยังไม่เคยนอนแบบนี้!”
พูดเช่นนี้ แต่ตัวเองก็รีบฉวยโอกาสที่อีกสามคนยังไม่เข้ามา จองที่นอนในส่วนที่กว้างสุด ก่อนเรียกสาวใช้
“ชุ่ยเอ๋อร์ หย่าเจวียน ยังไม่รีบเข้ามาปัดฝุ่นบนเตียงให้ข้าอีก!”
นอกฉากกั้น พอสาวใช้ทั้งสองของบ้านสกุลหลินได้ยิน ก็รีบก้าวเข้าไปรับใช้
เมี่ยวเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านนอก ได้ยินคำพูดของพี่เจิ้งอย่างชัดเจน จึงเดินตามเข้าไป แล้วโน้มตัวเข้าหาอวิ๋นหว่านชิ่น “คุณหนูใหญ่ ต้องเป็นอวี้โหรวจวงแน่ที่วางกับดัก…”
หัวหน้ากองกิจการภายใน ผู้ดูแลขบวนตามเสด็จในครั้งนี้ ก็คือหลานของอวี้เหวินผิง หรือญาติผู้พี่ของอวี้
โหรวจวง การทำอะไรนิดหน่อยเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ง่ายมากมิใช่หรือ
อวี้โหรวจวงนี่ ภายนอกดูสูงส่งสง่างามใจกว้าง แต่จริงๆ แล้วใจแคบยิ่งกว่าปลายเข็มเสียอีก ในที่สุดอวิ๋นหว่านชิ่นก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดก่อนเดินเข้าโรงเตี๊ยม เจิ้งหวาชิวถึงได้มองตนเองด้วยสายตาแฝงความนัยอย่างลึกล้ำ ราวกับพอนางได้ยินขันทีน้อยของกองกิจการภายในบอกว่า ที่อวี้เฉิงกังจัดห้องโกโรโกโสนี้ไว้ให้ เพราะตนเป็นต้นเหตุ ดูไปแล้วเจิ้งหวาชิวก็เป็นคนใจดี คิดปกป้องตน ไม่อยากให้ตนถูกคุณหนูอีกสามคนปล่อยเกาะ อีกทั้งกลัวว่า คนที่ชอบซ้ำเติมผู้อื่นอย่างหลินลั่วหนานจะฉวยโอกาสเบ่งกับตน จึงไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนจัดการเรื่องนี้แต่แรก และไม่ได้บอกสาเหตุที่แท้จริงต่อหน้าเหล่าคุณหนู
พอเจิ้งหวาชิวเห็นกลุ่มเด็กสาวสงบนิ่งลง ไม่โวยวายอีก จึงพูดเสียงเบา
“นี่ก็ค่ำแล้ว อีกประเดี๋ยวบ่าวในโรงเตี๊ยมก็จะยกข้าวเย็นขึ้นมาให้ คุณหนูทุกท่านทานอิ่มแล้วก็เข้านอนเร็วหน่อยก็แล้วกัน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า บ่าวอยู่ห้องข้างๆ ถ้ามีเรื่องอะไร ก็ส่งคนมาเรียกได้ทุกเมื่อ” ว่าแล้วก็เดินออกไปก่อน